title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยพิเศษ เน้นย้ำการยึดมั่นในระบบพหุภาคีและความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 อย่างยั่งยืน | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยพิเศษ เน้นย้ำการยึดมั่นในระบบพหุภาคีและความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 อย่างยั่งยืน
นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยพิเศษ เน้นย้ำการยึดมั่นในระบบพหุภาคีและความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 อย่างยั่งยืน
วันนี้ (วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563) เวลา 03.05 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงผ่านระบบออนไลน์ ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยพิเศษ ครั้งที่ 31 ว่าด้วยการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีและรู้สึกเป็นเกียรติ การจัดประชุมฯ เพื่อเป็นโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และหารือแนวทางความร่วมมือในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ร่วมกัน ทั้งนี้ วิกฤติโรคระบาดที่เกิดขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้ตระหนักได้ว่าประชาคมโลกจำเป็นต้องร่วมมือกันเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุขเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยประชาชนควรได้รับความคุ้มครองภายใต้ระบบสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียทางสังคมและเศรษฐกิจ และทำให้ประเทศและประชาชนฟื้นตัวจากวิกฤติได้โดยเร็ว
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แบ่งปันประสบการณ์ของไทยในการรับมือกับโควิด-19 โดยระบุว่า ความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วนของประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาด พร้อมทั้งเพิ่มเติมความเห็นที่เป็นประโยชน์ ดังนี้
การสนับสนุนการดำเนินมาตรการป้องกันระดับพื้นฐานตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก รวมถึงการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยเฉพาะ อ.ส.ม. ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับการแพร่ระบาด
ความร่วมมือในด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยาสำหรับโควิด-19 รวมถึงการผลักดันให้วัคซีนและยาโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะที่เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ทั้งนี้ รัฐบาลไทยยินดีที่ได้มีส่วนร่วมโดยการมอบเงินผ่านองค์การอนามัยโลกเพื่อสนับสนุน
การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาบริหารจัดการข้อมูลและวิเคราะห์สถานการณ์ในพื้นที่ ให้คำปรึกษาการแพทย์ทางไกลแก่ชุมชน ซึ่งไทยได้ริเริ่มโครงการระบบวิถีใหม่ทางด้านสาธารณสุขไประยะหนึ่งแล้ว และจะขยายให้ครอบคลุมภายในปี 2564
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันไทยพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานของสหประชาชาติเพื่อผลักดันให้ 10 ปีข้างหน้าเป็นทศวรรษแห่งการลงมือปฏิบัติ รวมถึงส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายเพื่อบรรลุ 17 เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป้าหมายด้านสาธารณสุข ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการยึดมั่นในระบบพหุภาคีและความเป็นหนึ่งเดียวของรัฐสมาชิก เพื่อจะผ่านพ้นวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เช่นเดียวกับที่สมาชิกอาเซียนมีมาตรการที่เข้มแข็งในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด 19 ผ่านข้อริเริ่มต่าง ๆ ร่วมกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37282 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคม ให้เข้าถึงแหล่งทุน | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
ออมสิน พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคม ให้เข้าถึงแหล่งทุน
ออมสิน จับมือสมาคมธุรกิจเพื่อสังคม SE ประเทศไทย “ร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคม ส่งเสริม พัฒนาชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน” เผย พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคม ให้เข้าถึงแหล่งทุน และส่งเสริมให้ธุรกิจเพื่อสังคม
ออมสิน จับมือ สมาคมธุรกิจเพื่อสังคม SE ประเทศไทย “ร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคม ส่งเสริม พัฒนาชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน” เผย พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคม ให้เข้าถึงแหล่งทุน และส่งเสริมให้ธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise ในประเทศไทยมีพลัง และเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับสมาคมธุรกิจเพื่อสังคมแห่งประเทศไทย ครั้งนี้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของธนาคารออมสินกับบทบาทการเป็นธนาคารเพื่อสังคมอย่างแท้จริง เพื่อสร้างผลกระทบหรือการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมอีกโครงการหนึ่ง โดยความร่วมมือมีวัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการยกระดับมาตรฐานการประกอบธุรกิจเพื่อสังคมให้แก่ผู้ประกอบการซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมธุรกิจเพื่อสังคม ทั้งการให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจมากยิ่งขึ้น และช่วยสร้างองค์ความรู้เพื่อยกระดับกิจการให้สามารถช่วยเหลือชุมชนและสังคมได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการดำเนินกิจกรรมด้านการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์โครงการ โดยการร่วมกันจัดโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน
“โดยธนาคารออมสิน จะดำเนินกิจกรรมในการเสริมสร้างขีดความสามารถและการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารกิจการ เช่น จัดการฝึกอบรมให้ความรู้ทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs และ Start up โดยให้สิทธิพิเศษกับสมาชิกของสมาคมธุรกิจเพื่อสังคมในการเข้าร่วมการฝึกอบรม รวมถึงการสนับสนุนสมาชิกฯ ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน บริการ และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของธนาคาร เป็นต้น ซึ่งความร่วมมือได้เกิดขึ้นแล้ว โดยธนาคารได้ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับโครงการโดยเฉพาะได้แก่ สินเชื่อธุรกิจ ออมสินขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง หรือเพื่อต่อเติมซ่อมแซมสถานที่ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ประกอบกิจการ โดยให้วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย มีทั้งเงินกู้ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ปีที่ 3 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย MOR ต่อปี (ปัจจุบัน MOR ของธนาคารฯ = 5.995%) และเงินกู้ระยะยาวให้กู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ปีแรกไม่ต้องชำระเงินต้น คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ปีที่ 3-10 คิดอัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี (ปัจจุบัน MLR ของธนาคารฯ = 6.150%) ทั้งนี้หากวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ใช้บุคคลค้ำประกันร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ส่วนวงเงินกู้ 3-10 ล้านบาท สามารถใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันได้ และขณะนี้ได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคมไปแล้ว รวมกว่า 17 ล้านบาท และในอนาคตจะได้มีความร่วมมือในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องต่อไป”
ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล นายกสมาคมธุรกิจเพื่อสังคมแห่งประเทศไทย (Social Enterprise Thailand Association: SE Thailand) เปิดเผยว่า สมาคมธุรกิจเพื่อสังคมแห่งประเทศไทย หรือ SE ประเทศไทย มีจุดมุ่งหมายในการผสานความร่วมมือระหว่างสมาชิกด้วยกัน ตลอดจนสมาชิกกับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจเพื่อสังคมประสบความสำเร็จในการประกอบการ ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหา พัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นพลังขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) โดยมีวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้ ธุรกิจเพื่อสังคมในประเทศไทยมีความเข้มแข็ง สามารถรวมกลุ่มช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งความร่วมมือกับธนาคารออมสินครั้งนี้ จะทำให้การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคมเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง คล่องตัว เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ เพราะที่ผ่านมาปัญหาสำคัญข้อหนึ่งของธุรกิจเพื่อสังคมคือ ปัญหาทางการเงินและการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน การมีสถาบันการเงินเข้ามาช่วยสนับสนุนให้เดินต่อไปได้ ก็จะส่งผลให้ผู้ประกอบการเพื่อสังคมในประเทศไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน
“ขอบเขตความร่วมมือครั้งนี้ โดยสมาคมธุรกิจเพื่อสังคมจะสนับสนุนการจัดกิจกรรมเพื่อสื่อสารและสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับข้อมูลทางด้านธุรกิจเพื่อสังคมจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อยกระดับมาตรฐานการประกอบกิจการวิสาหกิจเพื่อสังคม อาทิ การจัดอบรมสัมมนาร่วมกัน หรือสนับสนุนให้ธนาคารได้เข้าร่วมในการนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของธนาคารในกิจกรรมการประชุมสัมมนา การจัดอบรม และการจัดกิจกรรมแสดงสินค้าและบริการของสมาคมธุรกิจเพื่อสังคม เป็นต้น”
https://www.gsb.or.th/news/pr-seth/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37256 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมชมนิทรรศการ สายธารน้ำพระทัย.... สานสายใย "ยุติธรรม" ภายในงาน ความสุขที่พ่อให้ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมชมนิทรรศการ สายธารน้ำพระทัย.... สานสายใย "ยุติธรรม" ภายในงาน ความสุขที่พ่อให้ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ สายธารน้ำพระทัย.... สานสายใย "ยุติธรรม" ของกระทรวงยุติธรรม ภายในงานนิทรรศการ ความสุขที่พ่อให้ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ในวันพุธที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๓๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ สายธารน้ำพระทัย.... สานสายใย "ยุติธรรม" ของกระทรวงยุติธรรม ภายในงานนิทรรศการ ความสุขที่พ่อให้ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ณ บริเวณตรงข้ามสถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน อาคารสวนเจ้าเชตุ ถนนสนามไชย เขตพระนคร กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร น้อมนำพระวิสัยทัศน์ของพระบรมวงศานุวงศ์ตามแนวทางการพัฒนาที่เชื่อมั่นใน "คน" การให้โอกาสผู้ที่พลั้งพลาด และการพัฒนากฎหมาย กฎเกณฑ์ ที่จะเอื้ออำนวยความยุติธรรมที่เท่าเทียมให้แก่ทุกคน โดยกระทรวงยุติธรรม ได้น้อมนำพระราชดำริและแนวทางในการพัฒนาดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมในหลากหลายมิติตามภารกิจของกระทรวงยุติธรรม
สำหรับกิจกรรมดังกล่าวกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๑ - ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ - ๒๑.๐๐ น. ณ ท้องสนามหลวง บริเวณลานหน้ากระทรวงกลาโหม ถนนสนามไชย สวนสราญรมย์ และมิวเซียมสยาม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37278 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยครองตำแหน่ง Bank of the Year 2020 in Thailand จาก The Banker ตอกย้ำผู้นำ Digital Banking เคียงข้างคนไทยในทุกมิติ | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
กรุงไทยครองตำแหน่ง Bank of the Year 2020 in Thailand จาก The Banker ตอกย้ำผู้นำ Digital Banking เคียงข้างคนไทยในทุกมิติ
ธนาคารกรุงไทยตอกย้ำความเป็นธนาคารชั้นนำ คว้ารางวัล Bank of the Year 2020 in Thailand จากนิตยสาร The Banker เป็นครั้งที่ 3 และรางวัล Best Social Impact Bank -Thailand 2020 จากวารสาร Capital Finance International (CFI) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4
ธนาคารกรุงไทยตอกย้ำความเป็นธนาคารชั้นนำ คว้ารางวัล Bank of the Year 2020 in Thailand จากนิตยสาร The Banker เป็นครั้งที่ 3 และรางวัล Best Social Impact Bank -Thailand 2020 จากวารสาร Capital Finance International (CFI) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากความมุ่งมั่นคิดค้นนวัตกรรมทางการเงิน พัฒนาบริการทางการเงินดิจิทัล และบทบาทสำคัญสนับสนุนนโยบายรัฐบาลฟันฝ่าวิกฤติโควิด-19 ส่งผลให้ธนาคารคว้า 10 รางวัลจากเวทีใหญ่ระดับโลกและภูมิภาค
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิเผยว่า จากผลการดำเนินงานที่มีความโดดเด่น ด้านการบริหารจัดการในทุกมิติ มุ่งมั่นคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์บริการทางการเงินดิจิทัล ตลอดจนสนับสนุนและผลักดันนโยบายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ธนาคารได้รับรางวัล Bank of the Year 2020 in Thailand จากนิตยสาร The Banker เป็นครั้งที่ 3 และรางวัล Best Social Impact Bank -Thailand 2020 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากวารสาร Capital Finance International (CFI) ซึ่งเป็นนิตยสารชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงินระดับโลกจากประเทศอังกฤษ
“จากสภาพแวดล้อมการแข่งขันทางธุรกิจในปัจจุบันและกระแสดิจิทัลดิสรัปชันที่ทำให้พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ธนาคารได้ปรับตัวในการดำเนินธุรกิจด้วยยุทธศาสตร์คู่ขนาน หรือ 2 Banking Model โดยการเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจแบบดั้งเดิม (Carrier) พร้อมกับการดำเนินธุรกิแบบใหม่ (Speed Boat) ที่เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลบน Digital Platform เพื่อขยายธุรกิจไปยังกลุ่มเป้าหมาย 5 Ecosystems ตลอดจนสนับสนุนภาครัฐผลักดันนโยบาย Thailand 4.0 พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มให้ประชาชนทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน เพื่อให้ประเทศก้าวสู่สังคมไร้เงินสดอย่างแท้จริง และเป็นกลไกในการลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด ธนาคารได้ยืนหยัดเคียงข้างสังคมไทยช่วยเหลือคนไทยในทุกมิติ ทั้งการออก 5 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ในวงเงินรวมกว่า 1.12 ล้านล้านบาท สร้าง Digital Platform อำนวยความสะดวกลูกค้า ประชาชนในการเข้าถึงมาตรการการช่วยเหลือของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น เราไม่ทิ้งกัน เราเที่ยวด้วยกัน การพัฒนาแพลตฟอร์มไทยชนะ และโครงการคนละครึ่ง”
ก่อนหน้านี้ธนาคารได้รับ 8 รางวัลจากเวทีใหญ่ระดับโลกและภูมิภาค ได้แก่ รางวัล The Asian Banker Leadership Achievement Award for The Best Managed Bank during COVID-19 in Thailand และรางวัล The Asian Banker Leadership Achievement Award for The Best CEO Response to COVID-19 in Thailand จากนิตยสาร The Asian Banker รางวัล Thailand Digital Excellence Awards 2020 สาขา Thai Digital Champion for Tech Innovation & AI จากสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (Thailand Management Association : TMA) รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2563 ได้แก่ รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น รางวัลการบริหารจัดกาองค์กรดีเด่น รางวัลความสามารถในการจัดการวิกฤตโควิด-19 ดีเด่น และบริษัท LINE ประเทศไทยมอบรางวัล Best Official Account of The Year ให้กับ Krungthai Connext และรางวัล Best Smart Channel in Finance & Insurance ให้กับ Krungthai Care
ทีม Marketing Strategy
โทร 0-2208-4174-8
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37268 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3-2/2563 | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3-2/2563
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3-2/2563 ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (3 ธันวาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3-2/2563 เพื่อร่วมกันพิจารณาโครงสร้าง บทบาทหน้าที่หน่วยงานของกระทรวงอุตสาหกรรมในต่างประเทศ โดยมี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเสน่ห์ นิยมไทย ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37270 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยสถานการณ์น้ำท่วม กำชับทุกหน่วยงานเร่งช่วยเหลือประชาชน ขณะที่โฆษกฯ แจงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่ยุติ วอนใช้เวทีพูดคุยผ่านคณะกรรมการสมานฉันท์ | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
นายกฯ ห่วงใยสถานการณ์น้ำท่วม กำชับทุกหน่วยงานเร่งช่วยเหลือประชาชน ขณะที่โฆษกฯ แจงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่ยุติ วอนใช้เวทีพูดคุยผ่านคณะกรรมการสมานฉันท์
นายกฯ ห่วงใยสถานการณ์น้ำท่วม กำชับทุกหน่วยงานเร่งช่วยเหลือประชาชน ขณะที่โฆษกฯ แจงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่ยุติ วอนใช้เวทีพูดคุยผ่านคณะกรรมการสมานฉันท์
วันนี้ (3 ธ.ค. 63) เวลา 15.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ที่ใน 7 จังหวัด 58 อำเภอที่ได้รับความเสียหาย ได้แก่ จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช จ.พัทลุง จ.ตรัง จ.สงขลา จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส ซึ่งขณะนี้ จ.นครศรีธรรมราช ระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีฝนตกในพื้นที่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีสั่งการให้เร่งระดม
กำลังพล อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรกลสาธารณภัยจากทุกหน่วยงาน ทั้งทหาร พลเรือน ตำรวจ มูลนิธิอาสาสมัคร ประชาชนจิตอาสา เข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบขณะนี้ ให้ความสำคัญกับการจัดระดับดูแลประชาชนให้มีสิ่งของจำเป็นในการดำรงชีพ พร้อมจัดตั้งโรงครัวพระราชทานในการประกอบเลี้ยงเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วต้องเร่งสำรวจความเสียหายเพื่อดำเนินการให้ที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน การเกษตร สิ่งสาธารณประโยชน์ สาธารณูปโภค กลับสู่สภาพเดิม ตามระเบียบฟื้นฟูของทางราชการ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียังไม่มีกำหนดการตรวจเยี่ยมในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนได้เต็มที่ พร้อมสั่งให้รายงานสถานการณ์ประจำวันเพื่อเร่งหาวิธีการแก้ไขช่วยเหลืออย่างเร็วที่สุด
นายกรัฐมนตรียังกำชับผู้ว่าราชการจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่ติดชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ
เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังและป้องกันการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย หากพบการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้านก็จะต้องถูกดำเนินการอย่างเข้มงวด พร้อมสั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบเข้าเมืองจะต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน ว่าประเทศไทยมีแนวทางป้องกันลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายอย่างรัดกุม ปลอดภัยไม่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังวอนให้ชาวไทยที่จะลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายให้คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนร่วม หากต้องการจะเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทย ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดกรองโรค และกักตัวสังเกตอาการ 14 วัน ตามกฎหมาย แม้ว่าจะลักลอบออกนอกประเทศอย่างไม่ถูกต้อง แต่หากลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมายจะสร้างผลกระทบต่อคนไทยในประเทศโดยรวม รวมทั้ง ขอความร่วมมือประชาชนเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง สาธารณสุข ตำรวจ ทหาร และ อสม. ร่วมกันทำงานอย่างเข้มแข็ง ช่วยกันตรวจสอบคนแปลกหน้าในพื้นที่ ทั้งนี้ รัฐบาลได้เร่งดำเนินการจัดหาวัคซีนป้องกันให้ได้เร็วที่สุด แต่ต้องไม่ “การ์ดตก” สวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ และรักษาระยะห่าง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมนำคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมสถานีกลางบางซื่อ พร้อมทดลองการเดินขบวนรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีกลางบางซื่อ- สถานีดอนเมือง-สถานีกลางบางซื่อ ในวันอังคารที่ 15 ธันวาคม นี้ หลังจากที่เคยได้เดินทางมาตรวจติดตามงานก่อสร้าง เมื่อเดือนมีนาคม 62 ครั้งนี้จะได้นำคณะรัฐมนตรีมาร่วมตรวจสอบความพร้อมงานบริการก่อนเปิดให้ประชาชนได้ใช้บริการเต็มรูปแบบในปี 2564
กรณีการพักอาศัยบ้านพักรับรองในค่ายทหารของนายกรัฐมนตรีนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้วถือว่าจบสิ้นในส่วนของกระบวนการในการพิจารณาเนื่องจากบ้านพักอาศัยของผู้ถูกร้องเปลี่ยนสถานะเป็นบ้านพักรับรองตามระเบียบกองทัพบกว่าด้วยเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก พ.ศ. 2548 ซึ่งกำหนดให้อดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบกซึ่งทำคุณประโยชน์ให้กับกองทัพบกและประเทศชาติและเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาแล้ว มีสิทธิเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก และความเป็นรัฐมนตรีของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ จึงอยากให้ทุกองค์กร ทุกภาคส่วนได้ยึดคำตัดสินนี้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวในช่วงท้ายโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังย้ำว่า ณ ปัจจุบันนี้ เป็นเวลาที่ประเทศกำลังพัฒนาก้าวหน้าไปได้ด้วยดี ทั้งการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ปัญหาเศรษฐกิจ และการเตรียมระบบพื้นฐานของประเทศเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ จึงไม่ต้องการให้นำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคำวินิจฉัยนี้ไปเป็นผลทางการเมือง และวอนให้คิดถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลได้ส่ง (ร่าง) พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติไปยังสภาแล้ว ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมายและระเบียบราชการแผ่นดิน และขอให้ผู้ที่เห็นต่างได้พยายามใช้เวทีพูดคุยผ่านกรรมการสมานฉันท์ เพื่อให้ประเทศชาติเดินต่อไปได้ด้วยดีและด้วยความสงบ
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37277 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมงาน“วันพ่อแห่งชาติ” จัดนิทรรศการน้อมรำลึกถึงพระอัจฉริยภาพ ด้านการสื่อสารในหัวข้อ “พระบิดาแห่งการสื่อสาร” | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส ร่วมงาน“วันพ่อแห่งชาติ” จัดนิทรรศการน้อมรำลึกถึงพระอัจฉริยภาพ ด้านการสื่อสารในหัวข้อ “พระบิดาแห่งการสื่อสาร”
ดีอีเอส ร่วมงาน“วันพ่อแห่งชาติ” จัดนิทรรศการน้อมรำลึกถึงพระอัจฉริยภาพ ด้านการสื่อสารในหัวข้อ “พระบิดาแห่งการสื่อสาร”
เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๓ นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เข้าร่วมงาน “วันพ่อแห่งชาติ” โดยได้เยี่ยมชมการจัดนิทรรศการในบูทของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานในสังกัดกระทรวง สมาคมนักวิทยุสมัครเล่นแห่งประเทศไทย,สำนักงานกสทช. ซึ่งร่วมกันจัดนิทรรศการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับพระอัจฉริยภาพด้านการสื่อสารในหัวข้อ “พระบิดาแห่งการสื่อสาร” เป็นการนำเสนอพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กับการสอนใช้วิทยุศูนย์สายลม VR009 โดยสมาคมนักวิทยุสมัครเล่นแห่งประเทศไทย การนำเสนอภาพฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์วาดภาพแสดงการเดินเรือของพระมหาชนก พระอัจฉริยภาพด้านสถิติ การนำเสนอโครงการการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม การฉายภาพยนต์กาตูนแอนิเมชั่น เรื่อง พระมหาชนก รวมทั้งการจำหน่ายอากรแสตมป์เฉลิมพระเกียรติ หายาก เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบรมวงศานุวงศ์ นอกจากนี้ภายในบูทนิทรรศการยังมีการจัดกิจกรรมให้ร่วมสนุกและรับของที่ระลึกอีกมากมาย ทั้งนี้กิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑ – ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. – ๒๑.๐๐ น. ณ บริเวณ ถนนสนามชัย สวนสราญรมย์ และมิวเซียมสยาม
******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37295 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นฤมล ชี้ พ.ร.บ.ส่งเสริม ช่วย สปก. เทรนแรงงานได้ปีละกว่า 4 ล้านคน | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
นฤมล ชี้ พ.ร.บ.ส่งเสริม ช่วย สปก. เทรนแรงงานได้ปีละกว่า 4 ล้านคน
รมช.แรงงาน ชี้ พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานประกอบกิจการ (สปก.) ร่วมพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่พนักงานได้ปีละกว่า 4 ล้านคน เพื่อสร้างแรงงานคุณภาพ ปูรากฐานเศรษฐกิจของประเทศ
วันที่ 3 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายหน้าที่ที่สำคัญ เพื่อช่วยแก้ปัญหาแรงงานขาดทักษะฝีมือ หรือมี แต่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการเพียงกระทรวงแรงงานเพียงกระทรวงเดียว แต่ต้องมีภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและพัฒนาทักษะ รวมถึงภาคเอกชนที่ต้องร่วมมือกัน ทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนทรัพยากรที่มีภายใต้ภารกิจของตนเอง ในส่วนกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เป็นหน่วยงานที่ตนเองกำกับดูแลนั้น มีบทบาทสำคัญในการพัฒนากำลังแรงงานให้มีศักยภาพ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งกำลังแรงงานในสถานประกอบกิจการมีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชน ดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมีมาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบกิจการได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ เป็นจำนวนร้อยละร้อยของรายจ่ายที่จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมรวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน มีการปรับปรุงระบบเพื่ออำนวยความสะดวกให้สถานประกอบกิจการ สามารถยื่นคำขอรับสิทธิประโยชน์จากการฝึกอบรมฝีมือแรงงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ซึ่งหลังจากนายทะเบียนให้ความเห็นชอบหลักสูตร รายละเอียดที่เกี่ยวข้องและรายการค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมแล้ว สถานประกอบกิจการสามารถจัดพิมพ์หนังสือรับรองได้ด้วยตนเอง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป สำหรับการยื่นขอรับรองหลักสูตรที่ สปก.จัดอบรมแบบออนไลน์นั้น อยู่ระหว่างดำเนินการร่างกฎหมาย กำหนดรายละเอียด ขั้นตอนและวิธีการตรวจสอบ รวมถึงรูปแบบการฝึกอบรมออนไลน์ที่จะสามารถรับรองได้ และในปี 2564 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มีเป้าหมายดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนให้ สปก.ฝึกอบรมฝีมือแรงงาน ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 4 ล้านคน
ด้านนายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ระหว่างวันที่ 3-4 ธันวาคม 2563 กพร. ได้จัดสัมมนา ชี้แจงแนวทางการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 ขึ้น เพื่อให้ผู้อำนวยการสถาบันหรือผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกว่า 200 คน ได้รับทราบเป็นแนวทางการส่งเสริม สปก.ในการพัฒนาฝีมือแรงงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ต่อไป อีกทั้ง จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือ สปก.ที่อยู่ในข่ายบังคับต้องยื่นแบบแสดงการส่งเงินสมทบกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ประจำปี พ.ศ. 2563 ด้วยการลดสัดส่วนจำนวนลูกจ้างที่จัดให้มีการพัฒนาฝีมือแรงงาน จากร้อยละ 50 เหลือเพียงร้อยละ 10 โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 มีจำนวนสถานประกอบกิจการ ที่เป็นเป้าหมายที่ต้องได้รับคำแนะนำจำนวน 14,704 แห่ง ดังนั้นเจ้าหน้าที่ กพร.จะต้องมีความพร้อม เพื่อให้การปฏิบัติงานมีความชัดเจนเป็นไปในแนวทางเดียวกัน จึงได้จัดโครงการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามพ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานในครั้งนี้
“สถานประกอบกิจการที่ต้องดำเนินการตามพ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน แต่ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนต่างๆ สามารถติดต่อหน่วยงานในสังกัดกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ทั่วประเทศทั้ง 76 จังหวัดและในกรุงเทพมหานคร หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 เพราะการได้รับความร่วมมือจากสถานประกอบกิจการ จะส่งผลต่อศักยภาพของแรงงานไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37269 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เข้าตรวจเยี่ยมเรือนจำกลางเชียงราย และเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย พร้อมให้คำแนะนำเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เข้าตรวจเยี่ยมเรือนจำกลางเชียงราย และเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย พร้อมให้คำแนะนำเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง
เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เข้าตรวจเยี่ยมเรือนจำกลางเชียงราย และเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย พร้อมให้คำแนะนำเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง
ในวันพุธที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๓ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ ได้เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมเรือนจำกลางเชียงราย และเรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จังหวัดเชียงราย เพื่อดูสภาพความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง โดยได้แจ้งนโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมให้คำแนะนำในเรื่องการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง การรักษาพยาบาลให้ถูกสุขลักษณะ การบริหารจัดการเพื่อลดความแออัดภายในเรือนจำ และการฝึกวิชาชีพ รวมทั้งได้พูดให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่และผู้ต้องขังเพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับสู่สังคมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37285 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กบข. คว้ารางวัลรัฐบาลดิจิทัล 2 ปีซ้อน” | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
“กบข. คว้ารางวัลรัฐบาลดิจิทัล 2 ปีซ้อน”
กบข.รับรางวัล “รัฐบาลดิจิทัล” เป็นปีที่ 2 จากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในงานมอบรางวัล Digital Government Awards 2020 จัดโดย สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ซึ่ง กบข. เป็น 1 ใน 10 หน่วยงานระดับกรมที่ได้รับรางวัลรัฐบาลดิจิทัล
ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เข้ารับรางวัล “รัฐบาลดิจิทัล” เป็นปีที่ 2 จากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในงานมอบรางวัล Digital Government Awards 2020 จัดโดย สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ซึ่ง กบข. เป็น 1 ใน 10 หน่วยงานระดับกรมที่ได้รับรางวัลรัฐบาลดิจิทัล จาก 1,928 หน่วยงานทั่วประเทศที่เข้ารับการสำรวจ
ความสำเร็จในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบให้บริการสมาชิก กบข. อย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกสมาชิกในการเข้าใช้บริการผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลาย พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภายใน โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลด้านกระบวนการอัตโนมัติเข้ามาบูรณาการ เพื่อช่วยลดขั้นตอนการทำงานและขยายแพลตฟอร์มในการทำงานออนไลน์ นอกจากนี้ยังปรับปรุงการดำเนินงานเกี่ยวกับข้อมูลสมาชิกให้สอดคล้องตามหลักธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ ควบคู่ไปกับการกำกับดูแลคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทั้งยังมุ่งมั่นพัฒนาระบบงานสารสนเทศเพื่อรองรับการต่อยอดนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้ในกระบวนการทำงานต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ พิธีมอบรางวัลดังกล่าวจัดขึ้น ณ สโมสรทหารบก เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563
เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กำหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.02 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 30 พ.ย.. 2563)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , [email protected]
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37272 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรวงยุติธรรม ร่วมจัดนิทรรศการ ความสุขที่พ่อให้ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
กระทรวงทรวงยุติธรรม ร่วมจัดนิทรรศการ ความสุขที่พ่อให้ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓
กระทรวงทรวงยุติธรรม ร่วมจัดนิทรรศการ ความสุขที่พ่อให้ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ในวันอังคารที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ กระทรวงทรวงยุติธรรม ร่วมจัดนิทรรศการ ความสุขที่พ่อให้ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ณ ถนนสนามไชย เขตพระนคร กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
โดยกระทรวงยุติธรรมนําเสนอนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่พลาดพลั้งและได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สามารถพลิกฟื้นคืนสู่ชีวิตใหม่ใต้ร่มพระบารมี
ทั้งนี้ ในเวลา ๑๖.๐๐ น. นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้นำคณะสื่อมวลชนเช้าชมกิจกรรมดังกล่าว ณ บูธกระทรวงยุติธรรม ด้วย
สำหรับกิจกรรมดังกล่าวกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๑ - ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ - ๒๑.๐๐ น. ณ ท้องสนามหลวง บริเวณลานหน้ากระทรวงกลาโหม ถนนสนามไชย สวนสราญรมย์ และมิวเซียมสยาม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37276 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เข้าร่วมงานการจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดฝีพระหัตถ์ และงาน Gala Dinner เฉลิมพระเกียรติ | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.เข้าร่วมงานการจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดฝีพระหัตถ์ และงาน Gala Dinner เฉลิมพระเกียรติ
รมว.วธ.เข้าร่วมงานการจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดฝีพระหัตถ์ และงาน Gala Dinner เฉลิมพระเกียรติ
วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมงานการจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดฝีพระหัตถ์ และงาน Gala Dinner เฉลิมพระเกียรติ และถวายพระพรชัยมงคล น้อมเกล้าฯ แสดงความยินดี ในโอกาส ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงรับพระราชทานปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะจิตรกรรมประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมี น.ส.วิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วม ณ ห้องวายุภักษ์แกรนด์บอลรูม ชั้น ๔ โรงแรมเซนทารา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37265 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ติวเข้มจัดหลักสูตร เทคนิคการเขียนหนังสือราชการ-รายงานการประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส ติวเข้มจัดหลักสูตร เทคนิคการเขียนหนังสือราชการ-รายงานการประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ
ดีอีเอส ติวเข้มจัดหลักสูตร เทคนิคการเขียนหนังสือราชการ-รายงานการประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตร เทคนิคการเขียนหนังสือราชการ และการเขียนรายงานการประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีข้าราชการ พนักงานราชการ และผู้เกี่ยวข้อง จากสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ จำนวน 55 เข้าร่วม โดยจัดอบรมระหว่างวันที่ 3-4 ธันวาคม 2563 ณ ห้องประชุม 803 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำหรับหัวข้อสำคัญได้แก่ หลักการและสาระสำคัญของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณและหลักสำคัญในการเขียนหนังสือราชการ และการฝึกปฏิบัติการเขียนหนังสือราชการประเภทต่างๆ รวมทั้งความสำคัญและรูปแบบการประชุม บทบาทผู้เข้าร่วมประชุม หลักการจดบันทึกรายงานการประชุม และการฝึกปฏิบัติการจดบันทึกรายงานการประชุม
*******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37294 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.สั่ง การ รมต.นร ลงพื้นที่เร่งสำรวจความเสียหาย ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ นำความห่วงใยจากรัฐบาลมอบให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ ยืนยันรัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
นรม.สั่ง การ รมต.นร ลงพื้นที่เร่งสำรวจความเสียหาย ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ นำความห่วงใยจากรัฐบาลมอบให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ ยืนยันรัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
นรม.สั่ง การ รมต.นร ลงพื้นที่เร่งสำรวจความเสียหาย ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ นำความห่วงใยจากรัฐบาลมอบให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ ยืนยันรัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
วันนี้ (3 ธันวาคม 2563) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ 5 จังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ที่ประสบภัยน้ำท่วมฉับพลัน ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา นราธิวาส และจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยสั่งการให้ส่วนราชการในพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง กำชับให้เร่งช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง พร้อมทั้งแจ้งให้อำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเตรียมพร้อมบรรเทาความเดือดร้อน อพยพประชาชนไปยังที่ปลอดภัย และขอให้พี่น้องประชาชนติดตามการแจ้งเตือน รวมถึงข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนเองลงพื้นที่เพื่อสำรวจความเสียหาย ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ พร้อมนำความห่วงใยจากรัฐบาลไปมอบให้กับประชาชน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรียืนยัน รัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิภาคไหน เชื่อว่าความรักความสามัคคีของคนไทยจะช่วยให้ทุกคนปลอดภัย และก้าวผ่านสถานการณ์ไปด้วยกัน
-------------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37262 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมพิธีเปิดงานมหกรรม "ภูมิพลังแผ่นดิน" | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมพิธีเปิดงานมหกรรม "ภูมิพลังแผ่นดิน"
นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมพิธีเปิดงานมหกรรม "ภูมิพลังแผ่นดิน"
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.ทองเปลว กองจันทร์) ร่วมพิธีเปิดงานมหกรรม "ภูมิพลังแผ่นดิน" ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันที่ 3-6 ธันวาคม 2563 ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จังหวัดปทุมธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และพระอัจฉริยภาพ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้านการจัดการดินและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมวันดินโลก 5 ธันวาคมของทุกปี รวมทั้งเผยแพร่และถ่ายทอดองค์ความรู้เกษตรเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านนิทรรศการพิเศษ การอบรมวิชาของแผ่นดิน อบรมเชิงปฏิบัติการ ตลาดนัดองค์ความรู้เกษตรเศรษฐกิจพอเพียง และกิจกรรมต่างๆ แก่ผู้เข้ามาร่วมงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37273 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” หารือแผนดำเนินงาน “กิจกรรม 5 ส ประจำปี 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
“ดีอีเอส” หารือแผนดำเนินงาน “กิจกรรม 5 ส ประจำปี 2564
“ดีอีเอส” หารือแผนดำเนินงาน “กิจกรรม 5 ส ประจำปี 2564
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563 นางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกิจกรรม 5 ส ครั้งที่ 1/2564 โดยมีวาระเพื่อทราบ เรื่องโครงการ “กิจกรรม 5 ส สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษกิจและสังคม ประจำปี 2564” ซึ่งกระทรวงฯดำเนินกิจกรรมดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2560 ทั้งนี้เพื่อให้สถานที่ทำงานมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น เพื่อให้บุคลากรทุกระดับได้มีส่วนร่วม รวมทั้งปลูกฝังให้เจ้าหน้าที่ให้มีจิตสำนึก ทัศนคติและมีวินัยมากขึ้น และนำกิจกรรม 5 ส มาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพงานทุกระบบงานของบุคลากร ณ ห้องประชุม 802 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37292 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. รับมอบที่ราชพัสดุ “ยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ต สู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
สธ. รับมอบที่ราชพัสดุ “ยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ต สู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก
กระทรวงสาธารณสุข รับมอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุจากกระทรวงการคลัง จัดทำโครงการ “ยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ต สู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก” ให้โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตจัดสร้างศูนย์บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ระดับนานาชาติค
กระทรวงสาธารณสุข รับมอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุจากกระทรวงการคลัง จัดทำโครงการ “ยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ต สู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก” ให้โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตจัดสร้างศูนย์บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ระดับนานาชาติครบวงจร, ศูนย์อภิบาลสุขภาพผู้ป่วยสูงอายุนานาชาติ, ศูนย์ใจรักษ์ และจัดสร้างศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูครบวงจร
บ่ายวันนี้ (3 ธันวาคม2563) ที่ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 กระทรวงการคลัง กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับมอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ ภก 153 (บางส่วน) ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ประมาณ 141-2-64 ไร่ จากกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับจังหวัดภูเก็ต จัดทำโครงการ “ยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ต สู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก โดยขอใช้พื้นที่ราชพัสดุ ของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง เพื่อมอบให้โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตดำเนินโครงการจัดสร้างศูนย์บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ระดับนานาชาติครบวงจร (International Health Plaza) จัดสร้างศูนย์อภิบาลสุขภาพผู้ป่วยสูงอายุนานาชาติ (Premium Long Term Care) จัดสร้างศูนย์ใจรักษ์ (Hospice Care) และจัดสร้างศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูครบวงจร (Rehabilitation Center) ภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อเป็นการกระตุ้นมูลค่าทางเศรษฐกิจของจังหวัดภูเก็ตและประเทศ อำนวยความสะดวกประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวเข้าถึงบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐาน ให้บริการครบวงจร วิสาหกิจชุมชนเข้ามาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่ได้รับการจ้างงานเพิ่มขึ้น กระจายรายได้สู่ชุมชน เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสู่ภูมิภาคอื่นๆ
ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า โครงการนี้ ได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์ ศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) และนำเสนอในวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นด้วยในหลักการเพื่อรองรับการท่องเที่ยวคุณภาพตามวิถีใหม่ (New Normal) และมอบให้กระทรวงสาธารณสุขบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการประจำปี มอบให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาศึกษาและให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการต่อไป โดยใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี จากนั้นในเฟสที่ 2 จะจัดตั้งสถาบันบำราศนราดูรสาขาภาคใต้ ศูนย์รังสีรักษามะเร็ง เวชศาสตร์เขตร้อน ซึ่งจะทำให้ประชาชนในพื้นที่เข้าถึงบริการที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงเพิ่มมากขึ้น
************************************** 3 ธันวาคม 2563
***********************************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37274 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 สั่งระดมความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ เน้นย้ำปรับแผนการช่วยเหลือให้เหมาะสมกับพื้นที่ | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
มท.1 สั่งระดมความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ เน้นย้ำปรับแผนการช่วยเหลือให้เหมาะสมกับพื้นที่
มท.1 สั่งระดมความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ เน้นย้ำปรับแผนการช่วยเหลือให้เหมาะสมกับพื้นที่
วันนี้ (3 ธ.ค. 63) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ที่ประสบสถานการณ์อุทกภัย โดยได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเร่งติดตามสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยเร็วที่สุด
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ได้สั่งการให้ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เรียกประชุมด่วนกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางเพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยร่วมกับกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด โดยให้พิจารณาถึงรายละเอียดลักษณะการเกิดสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่ พร้อมปรับแผนการใช้เครื่องมือ เครื่องจักรกลสาธารณภัย และชุดเจ้าหน้าที่ อาทิ เรือท้องแบน รถเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย ไฟส่องสว่าง ให้เหมาะสมกับพื้นที่ และเร่งแจกจ่ายถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนอย่างทั่วถึง
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า ในขณะนี้ สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดตรังและนครศรีธรรมราชยังคงมีความรุนแรง เนื่องจากมีปริมาณน้ำไหลเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้เข้าช่วยเหลือประชาชนครบทุกพื้นที่แล้ว และเน้นย้ำให้มีการตรวจสอบซ้ำในทุกพื้นที่ ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ต้องการขอรับความช่วยเหลือสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในทุกพื้นที่ได้ทันทีเพื่อประสานการช่วยเหลือโดยเร่งด่วนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37301 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมประชุมคณะทำงานกำกับทิศทางและติดตามประเมินผลการดำเนินงานปรับปรุงภาพลักษณ์สินค้าและเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ของผู้กระทำผิดผ่านช่องทางออนไลน์ ครั้งที่ ๔/ | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรมประชุมคณะทำงานกำกับทิศทางและติดตามประเมินผลการดำเนินงานปรับปรุงภาพลักษณ์สินค้าและเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ของผู้กระทำผิดผ่านช่องทางออนไลน์ ครั้งที่ ๔/
กระทรวงยุติธรรมประชุมคณะทำงานกำกับทิศทางและติดตามประเมินผลการดำเนินงานปรับปรุงภาพลักษณ์สินค้าและเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ของผู้กระทำผิดผ่านช่องทางออนไลน์ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓
ในวันพฤหัสบดีที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ชั้น ๒ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานกำกับทิศทางและติดตามประเมินผลการดำเนินงานปรับปรุงภาพลักษณ์สินค้าและเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ของผู้กระทำผิด ผ่านช่องทางออนไลน์ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ในระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) เพื่อพิจารณาความคืบหน้าแนวทางการดำเนินงานโครงการสำรวจความเป็นไปได้ในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผู้ต้องขังบนเว็บสื่อกลางการจัดจำหน่ายสินค้าออนไลน์ (e-marketplace) โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม คณะทำงานฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ
โดย ที่ประชุมได้รับทราบ คำสั่งสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่ ๑๔๘๔/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานกำกับทิศทางและติดตามประเมินผลการดำเนินงานปรับปรุงภาพลักษณ์สินค้าและเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ของผู้กระทำผิดผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน และได้ติดตามประเด็นการผลิตและคัดเลือกผลิตภัณฑ์ฝีมือผู้ต้องขัง กรมราชทัณฑ์ สำหรับจำหน่ายผ่านทางตลาดสินค้าออนไลน์ ทั้งนี้ ประชาชนผู้สนใจสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ผู้ต้องขัง ผ่านทางตลาดออนไลน์ Shopee ภายใต้ชื่อ วันสุข (Wansook)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37291 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 14/2563" | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
ประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 14/2563"
รองปลัดเกษตรฯ “อำพันธุ์” ประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 14/2563"
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 14/2563 ในฐานะกรรมการ (ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) โดยมี นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ณ ห้องประชุม ชั้น 1 สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ซึ่งที่ประชุมได้มีการหารือและพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1) การกำหนดราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักร ประจำฤดูกาลผลิตปี 2563/2564 ตามประกาศ กอน. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2562 2) หลักเกณฑ์การจัดทำประมาณการรายได้ การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่าผลิตน้ำตาลทรายและอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานเพื่อใช้ในการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/64 และ 3) การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายฤดูการผลิต 2562/2563 รวมถึงที่ประชุมฯ ได้รับทราบแนวทางการเรียกเงินคืนกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37284 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบรางวัล DG Awards 2020 เดินหน้าใช้ดิจิทัลแก้ความยากจน เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล สร้างทัศนคติราชการยุคดิจิตอล | วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีมอบรางวัล DG Awards 2020 เดินหน้าใช้ดิจิทัลแก้ความยากจน เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล สร้างทัศนคติราชการยุคดิจิตอล
นายกรัฐมนตรีมอบรางวัล DG Awards 2020 เดินหน้าใช้ดิจิทัลแก้ความยากจน เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล สร้างทัศนคติราชการยุคดิจิตอล
วันนี้ (3 ธ.ค. 63) เวลา 09.30 น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบรางวัล DG Awards 2020 (รางวัลรัฐบาลดิจิทัลประจำปี 2563) โดยนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานวัตถุประสงค์ของการมอบรางวัลเพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐเห็นความสำคัญและประโยชน์ในการพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยมีนายดิสทัตย์ โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ประธานกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการยกระดับการบริหารจัดการและการบูรณาการข้อมูลภาครัฐ ด้วยการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ เพิ่มประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกในการให้บริการและเข้าถึงของประชาชน เปิดเผยข้อมูลภาครัฐต่อสาธารณชนและสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ส่งผลไทยได้รับการจัดอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ประจำปี 2563 (E-Government Development Index: EGDI 2020) โดยองค์การสหประชาชาติ ปรับขึ้นอยู่อันดับที่ 57 เป็นอันดับที่ 3 ของอาเซียน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ข้อมูลเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อการทำงานของภาครัฐ ดังนั้น ภารกิจหนึ่งของรัฐบาลดิจิทัล คือ ส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูล รับฟังความคิดเห็น รวมไปถึงการร่วมกันกำหนดนโยบายภาครัฐ จึงส่งเสริมให้หน่วยงานรัฐจัดทำข้อมูลเปิดในรูปแบบมาตรฐานเดียวกัน ให้เปิดเผยข้อมูลภาครัฐผ่านศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ ยึดหลักการ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเสรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และร่วมตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐด้วย
ทั้งนี้ สถานการณ์ COVID-19 ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่เป็นแรงส่งในการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล บังคับให้หน่วยงานภาครัฐต้องทำงานผ่านระบบดิจิทัล หลายหน่วยงานทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ประชุมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ปรับเปลี่ยนวิธีการให้บริการประชาชนเป็นแบบออนไลน์ได้ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หน่วยงานภาครัฐไทยมีความพร้อมที่จะทำงานผ่านระบบดิจิทัลได้อย่างแน่นอน และในปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการตราพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 ที่มีการกำหนดให้จัดทำแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐทราบกรอบและทิศทางการบริหารงานภาครัฐและการจัดทำบริการสาธารณะในรูปแบบของเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการพัฒนาประเทศ โดยหวังให้เกิดการเปลี่ยนผ่านหน่วยงานภาครัฐสู่รัฐบาลดิจิทัล สู่เป้าหมายประเทศ 4 ด้าน คือ ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการและสวัสดิการของประชาชน เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย สนับสนุนให้เกิดการอำนวยความสะดวกการประกอบธุรกิจผ่านช่องทางดิจิทัล รวมถึงสตาร์ทอัพ วิสาหกิจชุมชนที่ต้องร่วมขับเคลื่อนด้วย ภาครัฐมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาบริการของภาครัฐและกำหนดนโยบายสำคัญของประเทศ เสนอประเด็นการพัฒนาประเทศผ่านช่องทางดิจิทัล
โดยช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียังย้ำว่า ในช่วงโควิด-19 หากไม่มีการเตรียมการไว้ก่อน วันนี้คงแก้ไขไม่ได้ แต่เพราะมีการเตรียมการและได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน อาทิ การทำธุรกรรมต่างๆ การออกพาสปอร์ต ที่ใช้ระบบออนไลน์ ช่วยอำนวยความสะดวก สอดคล้องกับมาตรการปรับการท่องเที่ยวไม่ให้ผลกระทบมากนัก เกิดการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ และมีศักยภาพ รวมทั้งการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ ทั้งในส่วนของภาครัฐ และในภาคส่วนอื่นๆ ที่ต้องเชื่อมโยงกัน ใช้ระบบคลาวด์กลางภาครัฐในการเก็บข้อมูล เปิดเผยได้ ลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน สร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการรวมทั้งการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัลรัฐบาลดิจิทัลให้แก่หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ประกอบด้วย การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และกรมสรรพากร และเยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับผลงานของผู้ได้รับรางวัล ด้วย
……………………………………………..
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37261 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ดีอีเอส ประชุมสมัชชาใหญ่ สมัยที่ ๑๕ (General Assembly : GA) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ร่วมพิจารณาแผนยุทธศาสตร์รอบ ๓ ปี พร้อมเลือกตั้งเลขาธิการ-รองเลขาธิการ GA | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
ปลัดฯ ดีอีเอส ประชุมสมัชชาใหญ่ สมัยที่ ๑๕ (General Assembly : GA) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ร่วมพิจารณาแผนยุทธศาสตร์รอบ ๓ ปี พร้อมเลือกตั้งเลขาธิการ-รองเลขาธิการ GA
ปลัดฯ ดีอีเอส ประชุมสมัชชาใหญ่ สมัยที่ ๑๕ (General Assembly : GA) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ร่วมพิจารณาแผนยุทธศาสตร์รอบ ๓ ปี พร้อมเลือกตั้งเลขาธิการ-รองเลขาธิการ GA
เมื่อวันที่3ธันวาคม2563นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดีอีเอสได้เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสมัชชาใหญ่สมัยที่๑๕(General Assembly : GA)และได้กล่าวเปิดการประชุมฯในฐานะประธานGAในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ณสำนักงานใหญ่APTถนนแจ้งวัฒนะ การประชุมGAเป็นองค์กรสูงสุดของAPTจัดขึ้นทุกๆ3ปีเพื่อร่วมกันพิจารณาแผนยุทธศาสตร์สำหรับรอบ3ปีรวมทั้งการเลือกตั้งเลขาธิการ(Secretary General)และรองเลขาธิการ(Deputy Secretary General)โดยในการประชุมGAครั้งนี้นางสาวกัลยาชินาธิวรผู้อำนวยการกองการต่างประเทศได้รับเลือกให้ทำหน้าที่รองประธานGA
APTเป็นองค์การฯทางด้านโทรคมนาคมของภูมิภาคภายใต้ความอุปถัมภ์ของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก(UNESCAP)ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกก่อตั้งAPTเมื่อปีพ.ศ. 2522และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ณถนนแจ้งวัฒนะกรุงเทพฯปัจจุบันมีนางสาวอารีวรรณฮาวรังษีเป็นเลขาธิการ(Secretary General)และมีMr. Masanori KONDO (ประเทศญี่ปุ่น)เป็นรองเลขาธิการ(Deputy Secretary General)ประกอบด้วยประเทศสมาชิกจำนวน38ประเทศสมาชิกสมทบจำนวน4เขตปกครองพิเศษและสมาชิกในเครือจำนวน141หน่วยงาน
**********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37340 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนตุลาคม 2563 | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนตุลาคม 2563
ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2563 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 867 ราย ใน 73 จังหวัด
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2563 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 867 ราย ใน 73 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (514 ราย) รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง (136 ราย) ภาคเหนือ (113 ราย) ภาคตะวันออก (61 ราย) และภาคใต้ (43 ราย) ตามลำดับ ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังได้เปิดให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2563 ได้มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 347,668 บัญชี รวมเป็นวงเงิน 8,649.09 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 24,877.44 บาทต่อบัญชี ซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
(1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2563 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิทั้งสิ้น 870 ราย ใน 75 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 782 ราย ใน 73 จังหวัด (เพิ่มขึ้น 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดยะลา) โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (67 ราย) กรุงเทพมหานคร (59 ราย) และขอนแก่น (45 ราย)
(2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2563 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสสะสมสุทธิทั้งสิ้น 111 ราย ใน 39 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 85 ราย ใน 29 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (14 ราย) อุดรธานี (8 ราย) และอุบลราชธานี (7 ราย)
(3) ภาพรวมสถานะสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 มียอดสินเชื่อคงค้างจำนวนทั้งสิ้น 157,350 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 3,607.23 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชำระ 1 - 3 เดือน สะสมรวมทั้งสิ้น 21,645 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 534.31 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 14.81 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจำนวน 24,862 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 570.76 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15.82 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม ซึ่งมีแนวโน้มลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับยอด NPL ของเดือนสิงหาคม 2563 (ร้อยละ 16.39)
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมายจำนวนสะสม 7,636 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2563 จำนวน 160 ราย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่
• สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599
• ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร. 0 2255 1898
• ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1155
• ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567
• ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359
• ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร. 0 2575 3344
สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
โทร. สายด่วน 1359
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37331 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล เยือนเมืองนนท์ ยกช่างแอร์สู่ License | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
นฤมล เยือนเมืองนนท์ ยกช่างแอร์สู่ License
รมช.แรงงาน ลงพื้นที่นนทบุรี ตรวจเยี่ยมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ช่างแอร์ รับอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ พร้อมมอบวุฒิบัตรผู้ผ่านการฝึกอบรม ส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ
วันที่ 4 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดนนทบุรี รับฟังผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงานในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี โดยมีนายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับ พร้อมมอบวุฒิบัตรให้แก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมและเยี่ยมชมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ณ สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานนนทบุรี
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า ในวันนี้มีโอกาสมามอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านการฝึกอบรม ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ก็ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมทุกคน และขอให้นำความรู้ไปประกอบอาชีพ เพื่อให้มีรายได้ดูแลตนเองและครัวครัวต่อไป ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มุ่งหวังที่จะช่วยเหลือแรงงานทุกกลุ่มให้ได้รับโอกาสในการพัฒนาตนเอง ยกระดับมาตรฐานฝีมือเพื่อรับอัตราค่าจ้างที่สูงขึ้นด้วย ดังนั้น วันนี้จึงได้ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานการจัดทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็กอีกด้วย ซึ่งได้รับความสนใจจากแรงงานทั่วไปและผู้ประกอบอาชีพด้านนี้เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเข้าทำงานในสถานประกอบกิจการได้แล้ว ยังสามารถประกอบธุรกิจส่วนตัวมีรายได้ประมาณ 1,000-2000 บาทต่อวัน อีกทั้ง เป็นสาขาช่างที่มีความเกี่ยวเนื่องกับช่างไฟฟ้า ที่กำหนดให้ผู้ประกอบอาชีพช่างไฟฟ้า เป็นสาขาอาชีพแรกที่ต้องดำเนินการโดยผู้ที่ได้รับหนังสือรับรองความรู้ความสามารถแล้วเท่านั้น โดยคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ารับการประเมินความรู้ความสามารถนั้น ต้องผ่านทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติเป็นลำดับแรก
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า ช่างเครื่องปรับอากาศจึงเป็นสาขาอาชีพที่กำลังจะประกาศให้ต้องดำเนินการโดยผู้ที่มีหนังสือรับรองความรู้ความสามารถเช่นเดียวกันกับช่างไฟฟ้า ผู้ที่ประกอบอาชีพช่างเครื่องปรับอากาศ จึงต้องรีบมาเข้ารับการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ อีกทั้งผู้ที่ผ่านมาตรฐานแล้ว กรณีที่เข้าทำงานในสถานประกอบกิจการ ยังได้รับอัตราค่าจ้างอย่างเป็นธรรมตามอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมืออีกด้วย ปัจจุบันมีประกาศอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแล้ว 83 สาขาอาชีพ เช่น ผู้ที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ระดับ 1 จะได้รับอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือไม่ต่ำกว่าวันละ 440 บาท ระดับ 2 ไม่ต่ำกว่าวันละ 550 บาทและระดับ 3 ไม่ต่ำกว่าวันละ 660 บาท เป็นต้น
“หน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคทั่วประเทศทั้ง 76 จังหวัดและในกรุงเทพมหานคร เป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญต่อการพัฒนากำลังแรงงานของประเทศ การมีหน่วยงานตั้งอยู่ในทุกพื้นที่ จะช่วยให้สามารถบริการประชาชนในการพัฒนาทักษะฝีมืออย่างทั่วถึง รวมถึงการบูรณาการการทำงานทั้ง 5 เสือแรงงาน ที่ต้องทำภารกิจเกี่ยวข้องกัน ขอให้ร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37313 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ จุลพงษ์ ร่วมการประชุมระดมความคิด บทบาทการดำเนินงานของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยในอนาคต | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
รองปลัดฯ จุลพงษ์ ร่วมการประชุมระดมความคิด บทบาทการดำเนินงานของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยในอนาคต
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุมระดมความคิด บทบาทการดำเนินงานของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยในอนาคต ณ โรงแรม รามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ
วันนี้ (4 ธันวาคม 2563) นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุมระดมความคิด บทบาทการดำเนินงานของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยในอนาคต โดยมี นายพสุ โลหารชุน ประธานสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย นางชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เข้าร่วม โรงแรม รามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37304 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของรัฐบาลไทย คว้า 2 รางวัลจาก The Asset | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของรัฐบาลไทย คว้า 2 รางวัลจาก The Asset
การออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของประเทศไทยได้รับรางวัล Thailand’s Best Sustainable Bond และรัฐบาลไทยได้รับรางวัล Thailand’s Best Issuer for Sustainable Finance ประจำปี พ.ศ. 2563 ในการจัดอันดับรางวัลTriple A Country Awards 2020
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า การออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของประเทศไทยได้รับรางวัล Thailand’s Best Sustainable Bond และรัฐบาลไทยได้รับรางวัล Thailand’s Best Issuer for Sustainable Finance ประจำปี พ.ศ. 2563 ในการจัดอันดับรางวัลTriple A Country Awards 2020 ของสำนักข่าว The Asset
การออก Sustainability Bond ดังกล่าว ถือเป็นการออก Sustainability Bond ครั้งแรกของรัฐบาลไทย และเป็น Sustainability Bond รุ่นแรกที่ออกโดยรัฐบาล (Sovereign Issuance) ของภูมิภาค ASEAN ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้นำเม็ดเงินที่ระดมทุนผ่านการออก Sustainability Bond รุ่นดังกล่าวไปสนับสนุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และโครงการช่วยเหลือ เยียวยา และบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (Covid-19) ซึ่งเป็นโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นประโยชน์ต่อสังคม และมีแผนที่จะดำเนินการออก Sustainability Bond อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มวงเงินคงค้างของพันธบัตรอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อสภาพคล่อง ทั้งนี้ สบน. มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ และมีส่วนร่วมในการผลักดันประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้ง 17 ด้าน (Sustainable Development Goals) ขององค์กรสหประชาชาติ
The Asset เป็นสำนักข่าวชั้นนำในวงการสื่อและสิ่งพิมพ์ด้านตลาดการเงินที่มีฐานผู้อ่านและเครือข่ายครอบคลุมผู้ออกตราสารและนักลงทุนที่กว้างขวางในภูมิภาคเอเชีย และการจัดอันดับรางวัลดังกล่าวเป็นผลมาจากการสำรวจความคิดเห็นจากผู้อ่าน สถาบันการเงิน นักลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดการเงินเพื่อนำมาจัดอันดับและมอบรางวัลให้กับผู้ออก สถาบันการเงิน และธุรกรรมการเงินในตลาดการเงินที่มีความโดดเด่นในแต่ละปี
ในการนี้ สบน. ขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกรายที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมและช่วยให้ประเทศไทยได้รับรางวัลในครั้งนี้ สบน. คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนา Sustainability Bond ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย จะเป็นก้าวย่างที่สำคัญในการช่วยแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลอดจนเป็นการกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนของประเทศไทยมีการออกพันธบัตรเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อสังคม และธรรมาภิบาลที่มากขึ้น
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร 02-271-7999 ต่อ 5804 และ 5810
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37307 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานส่งมอบบ้านห้วยขาบให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัยดินโคลนถล่มเมื่อปี 2561 เน้นย้ำ “ประชาชนต้องพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานส่งมอบบ้านห้วยขาบให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัยดินโคลนถล่มเมื่อปี 2561 เน้นย้ำ “ประชาชนต้องพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานส่งมอบบ้านห้วยขาบให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัยดินโคลนถล่มเมื่อปี 2561 เน้นย้ำ “ประชาชนต้องพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย”
วันนี้ (4 ธ.ค. 63) เวลา 09.00 น. ณ บ้านห้วยขาบ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจาก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งมอบบ้านห้วยขาบ โดยมี นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) นายอภิชาติ โตดิลกเวช สมาชิกวุฒิสภา นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายนิพันธ์ บุญหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และพี่น้องชาวบ้านห้วยขาบ ให้การต้อนรับ
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์ดินโคลนถล่มทับบ้านเรือนของพี่น้องประชาชนบ้านห้วยขาบ หมู่ที่ 7 อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2561 ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน สร้างความเดือดร้อนเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนจำนวนมาก หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและมีความห่วงใยต่อพี่น้องผู้ประสบภัย โดยได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน และเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพี่น้องประชาชนที่ประสบภัย จึงมีแนวคิดในการแก้ไขปัญหาโดยให้ย้ายออกจากจุดเสี่ยงและไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย โดยทำการสร้างบ้านพักถาวร “บ้านห้วยขาบ” จำนวน 60 หลังคาเรือน ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จำนวนกว่า 22.5 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานภาครัฐ คือ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และองค์การบริหารส่วนตำบลดงพญา ได้สนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภคและการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชน กระทั่งเกิดเป็นบ้านห้วยขาบวันนี้ขึ้น ซึ่งในนามของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกครัวเรือนที่ให้ความร่วมมือ รวมถึงทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่เข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนในหลาย ๆ ด้าน ทำให้บ้านห้วยขาบกลายเป็นหมู่บ้านที่มีความปลอดภัยโดยใช้ชุมชนเป็นฐานในการจัดการภัยพิบัติ
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กล่าวว่า บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ต้องขอขอบคุณ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ให้คำปรึกษาและคำแนะนำว่า “เราจะต้องพัฒนาและสร้างสรรค์การทำงานให้กลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม (Better stronger)” และให้โอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนและส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนบ้านห้วยขาบมีความมั่นคงและปลอดภัย นอกจากนี้ ยังได้มีทักษะทางด้านอาชีพและพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน และประการสำคัญ คือ การเพิ่มพูนทักษะในด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งบัดนี้ การจัดสร้างบ้านของพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน 60 หลัง ได้สำเร็จลุล่วงเรียบร้อยแล้ว จึงขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ประสานงานกับทางจังหวัดน่านในการขอใช้พื้นที่ของกรมป่าไม้ รวมทั้งด้านระบบสาธารณูปโภค ซึ่งหลังจากนี้ พวกเราทุกภาคส่วนจะได้ร่วมกันผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับหมู่บ้านแห่งนี้ต่อไป
จากนั้น นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ได้เชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี มอบให้กับผู้ใหญ่บ้าน และนายฐาปน สิริวัฒนภักดี มอบป้ายที่อยู่อาศัยจำนวน 60 หลังให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน พร้อมมอบอุปกรณ์กู้ชีพกู้ภัยให้กับชุดปฏิบัติการจิตอาสาบรรเทาภัยพิบัติประจำตำบล และอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และเยี่ยมชมนิทรรศการผลผลิตของชาวบ้านและพบปะประชาชนในพื้นที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37324 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ. เปิดโรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม จ.ฉะเชิงเทรา | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
ปลัดสธ. เปิดโรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม จ.ฉะเชิงเทรา
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดโรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม (พุทธโสธร2) จ.ฉะเชิงเทรา รองรับเส้นทางสู่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC ให้บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป ทันตกรรม การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดโรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม (พุทธโสธร2) จ.ฉะเชิงเทรา รองรับเส้นทางสู่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC ให้บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป ทันตกรรม การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
เช้าวันนี้ (4 ธันวาคม 2563) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดโรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา โดยมีนายแพทย์อภิชาต รอดสม สาธารณสุขนิเทศ เขตสุขภาพที่ 6 นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา และแพทย์หญิงสมบัติ ชุติมานุกูล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพุทธโสธร เข้าร่วมพิธี
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า โรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม ก่อสร้างตามเจตนารมณ์ของท่านเจ้าคุณพระประชาธรรมนาถ เจ้าอาวาสวัดสมานรัตนาราม ในนามประธานคณะกรรมการดำเนินงานก่อสร้างโรงพยาบาลฯ ฝ่ายบรรพชิต เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2556 โดยท่านเจ้าคุณพระประชาธรรมนาถ ได้รวบรวมเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา ก่อสร้างบนพื้นที่ 4 ไร่ 1งาน 74 ตารางวา อาคาร 9 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 38,000 ตารางเมตร พร้อมด้วยอาคารสนับสนุนบริการอีก 1 อาคาร สถานที่ตั้ง ณ หมู่ 11 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา คาดการณ์มูลค่าก่อสร้างประมาณ 700-1,000 ล้านบาท มีเป้าหมายให้เป็นโรงพยาบาลขนาด 150 เตียง ที่มีความพร้อมด้านการแพทย์ และการพยาบาล เพื่อให้การดูแลรักษาประชาชนที่อยู่ในเขตจังหวัดฉะเชิงเทราและจังหวัดใกล้เคียงให้ได้รับการบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน เท่าเทียมและเสมอภาคและยังรองรับแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า เริ่มเปิดบริการตั้งแต่วันนี้ ให้บริการผู้ป่วยนอกทั่วไป ทันตกรรม การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก บริการพื้นฐานทางห้องปฏิบัติการ เอกซเรย์ เภสัชกรรม โดยได้รับการสนับสนุนบุคลากรด้านการแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด้านสาธารณสุขจากโรงพยาบาลพุทธโสธร และได้รับการสนับสนุนเครื่องมือทางการแพทย์ จากท่านเจ้าคุณพระประชาธรรมนาถ เจ้าอาวาสวัดสมานรัตนาราม ร่วมกับมูลนิธิโรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม ได้รับงบประมาณบางส่วนจากสำนักงานเขตสุขภาพที่ 6
สำหรับในระยะที่ 2 ปี 2564 จะเปิดให้บริการหอผู้ป่วยสงฆ์อาพาธชั้น 9 และพัฒนาพื้นที่ชั้น 5-6 เป็นศูนย์การดูแลผู้สูงอายุครบวงจรโดยแพทย์เฉพาะทาง และเปิดบริการคลินิกไตเทียม และระยะที่ 3 ปี 2565 พื้นที่ชั้น 7-8 เป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร (Senior House) เน้นการดูแลระยะกลาง (Intermediate care) เพื่อให้ผู้สูงอายุที่ฟื้นตัวหลังพ้นภาวะวิกฤตได้เตรียมตัวก่อนกลับบ้าน ลดระยะเวลาอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ หรือต้องกลับมาพักรักษาต่อในโรงพยาบาล
************************************** 4 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37328 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขอประชาชนมั่นใจ กำแพงเพชรและพิจิตร มีระบบเฝ้าระวังป้องกันโรคโควิด 19 เข้มแข็ง | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
สธ.ขอประชาชนมั่นใจ กำแพงเพชรและพิจิตร มีระบบเฝ้าระวังป้องกันโรคโควิด 19 เข้มแข็ง
ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอประชาชนในพื้นที่ จ.กำแพงเพชรและพิจิตรมั่นใจ กระทรวงสาธารณสุขมีระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคโควิด 19 เข้มแข็ง มีระบบการดูแลรักษาตามมาตรฐาน ให้ดูแลตัวเองอยู่เสมอ ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้า
ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอประชาชนในพื้นที่ จ.กำแพงเพชรและพิจิตรมั่นใจ กระทรวงสาธารณสุขมีระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคโควิด 19 เข้มแข็ง มีระบบการดูแลรักษาตามมาตรฐาน ให้ดูแลตัวเองอยู่เสมอ ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ จะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
วันนี้ (4 ธันวาคม 2563) นายธนิตพล ไชยนันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่ติดตามระบบการเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ สร้างความมั่นใจประชาชนในพื้นที่ ที่โรงพยาบาล ลานกระบือ จ.กำแพงเพชร ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน แม้ผู้ติดเชื้อที่ได้รับรายงานที่ จ.กำแพงเพชร จะเป็นผู้ติดเชื้อรายเก่า ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเป็นสารพันธุกรรมหรือซากเชื้อ ไม่ใช่การติดเชื้อในพื้นที่ โดยได้ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมดจำนวน 10 ราย เข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังตามมาตรการแล้ว ผลการตรวจทุกรายไม่พบติดเชื้อ ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำจำนวน 11 ราย อยู่ในระบบการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม มอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ และสถานพยาบาลทุกแห่ง สื่อสารสร้างความรู้ความเข้าใจประชาชนทันที เพื่อลดความตระหนก ไม่ประมาท การ์ดไม่ตก
นายธนิตพลกล่าวต่อว่า โรงพยาบาลลานกระบือ ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ผู้ติดเชื้อพำนักอยู่ มีมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด ทั้งการคัดกรองผู้ใช้บริการ คลินิกไข้หวัด (ARI Clinic) ความพร้อมห้องแยกโรค ยา เวชภัณฑ์และบุคลากร โดยทำงานร่วมกับโรงพยาบาลกำแพงเพชรหากพบการแพร่ระบาดในพื้นที่ ส่วนการเฝ้าระวังในชุมชน ทำงานร่วมกับฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รพ.สต. อสม. ช่วยกันสอดส่องดูแลเป็นพิเศษในกลุ่มผู้ที่เดินทางข้ามจังหวัด/ เดินทางมาจากต่างประเทศ/ แรงงานต่างด้าว และในผู้ที่กลับมาจากการกักตัว รวมทั้งผู้ที่กักตัวที่บ้านและในสถานที่กักตัวของรัฐ ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการระบาดของโรคโควิด 19 ยังไม่พบผู้ติดเชื้อในจังหวัด โดยมีประชาชนมาขอรับการตรวจหาเชื้อแล้ว 144 ราย
สำหรับ จ.พิจิตร หลังพบผู้ติดเชื้อเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา เบื้องต้นพบผู้สัมผัส 580 คน เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด 9 คน ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 535 คน และเสี่ยงต่ำ 36 คน ขณะนี้ได้ประสานผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเข้ารับการตรวจหาเชื้อ และเข้ารับการกักตัว โดยมีรถเก็บตัวอย่าง ตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานให้บริการจำนวน 1 คัน นอกจากนี้ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจิตร ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีการดำเนินการปิดสถานที่เสี่ยง 3 วัน เพื่อทำความสะอาด และออกตรวจสถานประกอบการและเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นในพื้นที่ ในส่วนความพร้อมของสถานที่กักตัวในจังหวัดพิจิตร (Local Quarantine ) จำนวน 2 แห่งมีเตียงรองรับ 74 เตียง พบว่าได้ปฏิบัติตามมาตรการที่ภาครัฐกำหนดอย่างเคร่งครัด
“ขอให้ประชาชนมั่นใจในระบบเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ให้ดูแลตัวเองอยู่เสมอด้วยการสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ จะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ในส่วนบุคลากรขอให้เตรียมความพร้อมและตื่นตัวในการปฏิบัติหน้าที่ยึดถือความปลอดภัยสำคัญที่สุด ให้ใช้วิกฤติเป็นโอกาส การพบผู้ติดเชื้อเป็นเรื่องปกติสามารถพบได้ ส่วนกลางพร้อมสนับสนุน ทั้งงบประมาณ เครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และบุคลากร หากพบการแพร่ระบาดในพื้นที่” นายธนิตพลกล่าว
************************************** 4 ธันวาคม 2563
******************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37334 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ส่งผู้ช่วยฯ มอบประกาศนียบัตรพร้อมเงิน สนับสนุนการประกอบอาชีพ กว่า 3 ล้านบาท แก่ผู้สำเร็จการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่น (IM JAPAN) | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
รมว.แรงงาน ส่งผู้ช่วยฯ มอบประกาศนียบัตรพร้อมเงิน สนับสนุนการประกอบอาชีพ กว่า 3 ล้านบาท แก่ผู้สำเร็จการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่น (IM JAPAN)
รมว.แรงงาน มอบหมาย ผู้ช่วยฯ มอบประกาศนียบัตร และเงินสนับสนุนการประกอบอาชีพแก่ผู้สำเร็จการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่น ( IM JAPAN) ทั้งสิ้น 3,195,760 บาท พร้อมฝากความชื่นชมยินดีกับทั้ง 19 คน ซึ่งถือว่าเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ
นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน ดำเนินการตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายใต้การกำกับดูแลของรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในการส่งเสริมให้แรงงานไทยมีงานทำ ทั้งการทำงานในประเทศและต่างประเทศ สำหรับการเดินทางไปทำงานต่างประเทศนั้น ประเทศญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นตลาดแรงงานสำคัญที่มีศักยภาพ ทั้งในด้านของจำนวนรายได้ ตลอดจนความรู้และประสบการณ์การทำงาน อีกทั้งยังเป็นประเทศเป้าหมายที่แรงงานไทยให้ความสนใจ และต้องการจะเดินทางไปทำงานเป็นจำนวนมากด้วย ดังนั้น การที่ผู้ฝึกปฏิบัติงานฯ ได้เดินทางไปฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่นจนครบระยะเวลาที่กำหนดจึงถือว่าเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้รับรายได้ รวมทั้งเรียนรู้เทคนิค ทักษะการทำงาน และนำประสบการณ์มาปรับใช้ในการทำงานในประเทศไทย
“ ขอแสดงความยินดีและชื่นชมผู้สำเร็จการฝึกปฏิบัติงานเทคนิค ที่มีความรับผิดชอบ แสดงให้เห็นความมุมานะ อดทน ขยันขันแข็ง ในการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่นจนครบระยะเวลาที่กำหนด ผู้สำเร็จการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคทุกคน ถือว่าเป็นผู้มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในด้านเศรษฐกิจ เพราะได้นำความรู้ ประสบการณ์ ทักษะต่างๆ รวมทั้งระเบียบวินัยที่ได้รับจากการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่นที่เข้มงวด เพื่อนำประสบการณ์ที่มีค่ากลับมาใช้ในการขับเคลื่อนการทำงานในสถานประกอบการ หรือการประกอบธุรกิจส่วนตัวในประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และขอให้นำเงินสนับสนุนการประกอบอาชีพที่ได้รับในวันนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าต่อตนเองและครอบครัวต่อไป ” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน มีภารกิจในการบริการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งการจัดส่งแรงงานไทยไปฝึกปฏิบัติงานเทคนิคประเทศญี่ปุ่นนั้น เป็นการดำเนินการร่วมกับองค์กรพัฒนาแรงงานระดับนานาชาติประเทศญี่ปุ่น หรือองค์กร IM ประเทศญี่ปุ่น เพื่อการจัดส่งแรงงานโดยภาครัฐให้กับภาคเอกชนต่างประเทศ โดยกรมการจัดหางานทำหน้าที่รับสมัครและคัดเลือกผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิค ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ก่อนส่งเข้ารับการฝึกอบรมก่อนเดินทางเป็นระยะเวลา 4 เดือน ในหลักสูตรด้านภาษาญี่ปุ่น การดำเนินชีวิตในประเทศญี่ปุ่น ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมการทำงานของญี่ปุ่น ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานกำหนด
“ ที่ผ่านมามีผู้สำเร็จการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคประเทศญี่ปุ่น โดยกรมการจัดหางานจัดส่ง จำนวน 5,282 คน และหลังจากฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในญี่ปุ่นครบตามระยะเวลาที่กำหนดแล้ว เมื่อเดินทางกลับประเทศไทย ผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการฝึกงาน และเงินสนับสนุนในการประกอบอาชีพ สำหรับผู้สำเร็จการฝึกปฏิบัติงานเทคนิค ระยะเวลา 3 ปี รับเงินสนับสนุน จำนวน 600,000 เยน และระยะเวลา 5 ปี รับเงินสนับสนุนเพิ่มอีก จำนวน 400,000 เยน สำหรับวันนี้ มีผู้สำเร็จการฝึกปฏิบัติงานเทคนิค จำนวน 19 คน โดยเป็นผู้สำเร็จการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคครบ 3 ปี จำนวน 16 คน ได้รับเงินคนละ 177,780 บาท และผู้ฝึกปฏิบัติงานครบ 5 ปี ที่ได้รับเงินเพิ่มเติม จำนวน 3 คน ได้รับเงินคนละ118,520 บาท จำนวน 2 คน และได้รับเงินจำนวน 114,240 บาท จำนวน 1 คน (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนเงินไทย ณ วันที่โอนเงินมา) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,195,760 บาท โดยแบ่งเป็นผู้สำเร็จการฝึกปฏิบัติงานในสาขางานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์และยานพาหนะสำหรับการขนส่ง 7 คน สาขางานผลิตเครื่องจักรกลและชิ้นส่วนประกอบ 3 คน สาขางานผลิตชิ้นส่วนโลหะ 4 คน สาขางานผลิตแผงวงจรและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 2 คน สาขางานพ่นสี 2 คน และงานก่อสร้าง 1 คน” นายสุชาติฯ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสมัครผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านองค์กร IM Japan สามารถติดตามข่าวสารการรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ โทร.02-245-9428, 02-245-1021 หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37329 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ.เผยแนวทางดำเนินการขอใบอนุญาตทำงาน ต่างด้าว MoU วาระการจ้างงานครบ 4 ปี (มติครม. 10 พ.ย. 63) พร้อมเร่งรัดนายจ้าง/สถานประกอบการ ดำเนินการเร็วสะดวกสบายกว่า | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
กกจ.เผยแนวทางดำเนินการขอใบอนุญาตทำงาน ต่างด้าว MoU วาระการจ้างงานครบ 4 ปี (มติครม. 10 พ.ย. 63) พร้อมเร่งรัดนายจ้าง/สถานประกอบการ ดำเนินการเร็วสะดวกสบายกว่า
อธิบดีกรมการจัดหางาน เผยแนวทางดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว สัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทำงานตาม MoU ซึ่งวาระการจ้างงานครบ 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563- 31 ธันวาคม 2564 สามารถดำเนินการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานได้อีก 2 ปี
โดยไม่ต้องเดินทางกลับประเทศ ได้แล้วตั้งแต่ บัดนี้ – 31 ธันวาคม 2564
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 เห็นชอบแนวทางการดำเนินการตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ให้คนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MoU) ภายใต้บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) ที่วาระการจ้างงานครบ 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 ธันวาคม 2564 ให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานต่อไป เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกและประเทศเพื่อนบ้านยังคงมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อกระบวนการนำคนต่างด้าวจากต่างประเทศเข้ามาทำงานตาม MOU ดังนั้น เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานของนายจ้าง/ สถานประกอบการ ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิของคนต่างด้าวที่จะได้อยู่ในราชอาณาจักรเพื่อการทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป จึงมีมาตรการให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ตามมติที่กล่าวมานี้ สามารถอยู่ในราชอาณาจักรต่อไปเพื่อการทำงานได้อีกไม่เกิน 2 ปี
นายสุชาติฯ กล่าวว่า ขอความร่วมมือให้นายจ้าง/สถานประกอบการ เริ่มดำเนินการตามขั้นตอนโดยเร็วเพื่อความสะดวกรวดเร็วของผู้ใช้บริการเอง เนื่องจากที่ผ่านมามีนายจ้าง/สถานประกอบการหลายรายนิยมดำเนินการในช่วงใกล้สิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนด ทำให้มีผู้ใช้บริการจำนวนมากและไม่ได้รับความสะดวกสบายตามที่ต้องการ ซึ่งกรณีขอรับใบอนุญาตทำงานใหม่ เนื่องจากใบอนุญาตทำงานเดิมหมดอายุ ต้องดำเนินการขอรับใบอนุญาตทำงานใหม่ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่การอนุญาตทำงานสิ้นสุด (ค่าคำขอ 100 บาท) และกรณีขอต่อใบอนุญาตทำงาน คนต่างด้าวที่ทำงานกับนายจ้างเดิมสามารถดำเนินการได้ภายใน 30 วัน ก่อนที่ใบอนุญาตทำงานจะสิ้นสุด
“สำหรับนายจ้าง/สถานประกอบการที่มีการจ้างงานคนต่างด้าวตามมติข้างต้น ให้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
1.คนต่างด้าวไปตรวจสุขภาพ กับสถานพยาบาลแห่งใดก็ได้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล เพื่อนำใบรับรองแพทย์ไปยื่นขออนุญาตทำงาน และขออนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ยกเว้นกิจการที่ไม่อยู่ในข่ายประกันสังคม หรือสิทธิประกันสังคมยังไม่เกิด ให้ตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลรัฐบาล เพื่อซื้อประกันสุขภาพ
2.คนต่างด้าวยื่นขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน/ขอรับใบอนุญาตทำงาน ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัดและสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 โดยนายทะเบียนจะพิจารณาคำขอต่อใบอนุญาตทำงาน/คำขอรับใบอนุญาตทำงานไม่เกิน 2 ปี โดยคนต่างด้าวที่ต้องการขอใบอนุญาตทำงานใหม่ ใช้แบบฟอร์มคำขออนุญาตทำงานและต่ออายุใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมาตรา 59 แบบ บต. 25 ส่วนคนต่างด้าวที่ต้องการต่ออายุใบอนุญาตทำงาน (ใบอนุญาตทำงานยังไม่สิ้นอายุ)ใช้แบบฟอร์มคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้บันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ แบบ บต. 30 พร้อมเอกสาร และหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
3.คนต่างด้าวยื่นขอรับการตรวจลงตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร (Visa) ครั้งละไม่เกิน 1 ปี ค่าธรรมเนียมคำขอ 1,900 บาท ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มบต.25 และบต.30 ได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/alien หรือนายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37330 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุริยะ เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล ธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม ประจำปี 2563 (TAQA Award 2020) | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
รมว.สุริยะ เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล ธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม ประจำปี 2563 (TAQA Award 2020)
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล ธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม ประจำปี 2563 ณ ห้องจูปิเตอร์ 4-5-6 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
วันนี้ (4 ธ.ค. 63) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล ธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม ประจำปี 2563 หรือ Thailand Automotive Quality Award ,(TAQA Award 2020) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันยานยนต์ บริษัท สื่อสากล จำกัด บริษัท คัสต้อม เอเชีย จำกัด และสื่อเครือผู้จัดการ โดยจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 โดยมี นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมมอบรางวัล และมีนางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ ณ ห้องจูปิเตอร์ 4-5-6 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
โดยบริษัทที่ได้รับรางวัลธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม อันดับ 1 ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี รางวัล Platinum Excellence Award ได้แก่ ฮอนด้า ทั้งในด้านแบรนด์ และรถจักรยานยนต์ ส่วน เมอร์เซเดส-เบนซ์ และโตโยต้า ครองสถิติ 5 ปี ได้รางวัล Excellence Award ไปครอง
‐------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37325 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิญชมนิทรรศการงาน ❤️วันพ่อแห่งชาติ❤️ | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
เชิญชมนิทรรศการงาน ❤️วันพ่อแห่งชาติ❤️
เชิญชมนิทรรศการงาน ❤️วันพ่อแห่งชาติ❤️
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37314 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งกองทัพ เร่งสถาปนาการสื่อสารและเสริมกำลังเข้าช่วยประชาชนในพื้นที่วิกฤตน้ำท่วมใต้ | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งกองทัพ เร่งสถาปนาการสื่อสารและเสริมกำลังเข้าช่วยประชาชนในพื้นที่วิกฤตน้ำท่วมใต้
พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และรมว.กห.ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพ เสริมกำลังลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือประชาชนจากอุทกภัย ฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ต่อเนื่องกันมา ตั้งแต่ 25 พ.ย. เป็นต้นมา
ส่งผลให้น้ำท่วมสูงเป็นวงกว้างใน 9 จังหวัด 358 ตำบล 2318 หมู่บ้าน โดยเฉพาะพื้นที่ 4 จังหวัด สงขลา พัทลุง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ที่ได้รับผลกระทบหนักสุด
โดยย้ำ ขอให้จัดกำลังพลและเครื่องมือช่าง ลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือเร่งด่วนกับประชาชนในพื้นที่วิกฤติที่น้ำยังคงท่วมสูง อพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงเข้าศูนย์อพยพที่จัดตั้งขึ้น และให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ตัดขาด ทั้งนี้ให้ประสานกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ สนับสนุนกำลังพลและเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบให้สามารถดำรงความต่อเนื่องทางการแพทย์ พร้อมทั้งสนับสนุนรถครัวสนามเคลื่อนที่และร่วมกับจิตอาสาแจกจ่ายถุงยังชีพกับประชาชนที่ประสบภัยที่ตกค้างในพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง ทั้งนี้ให้สนับสนุน เร่งสถาปนาระบบการติดต่อสื่อสารที่ถูกตัดขาด เพื่อดำรงการติดต่อการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
พล.ท.คงชีพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ทุกเหล่าทัพ ได้จัดกำลังพล ยุทโธปกรณ์และเครื่องมือช่าง ลงพื้นที่ในการช่วยเหลือประชาชนเร่งด่วนกับผู้ประสบภัยในพื้นที่ ตั้งแต่ต้นต่อเนื่องมา โดยหน่วยทหารในทุกพื้นที่ ได้เข้าไปช่วยเหลือ ทั้งการเคลื่อนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง อพยพประชาชนและสัตว์เลี้ยงออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย เข้าศูนย์อพยพซึ่งจัดเตรียมขึ้น การจัดทำแนวกั้นน้ำในพื้นที่เขตเมืองและการเร่งระบายน้ำลงแม่น้ำสายหลัก โดยติดตั้งเรือผลักดันน้ำและใช้เครื่องจักรเปิดเส้นทางน้ำในพื้นที่น้ำท่วมขังสูง เพื่อลดความเสียหายแก่ทรัพย์สินในพื้นที่บ้านเรือนและการเกษตรในภาพรวม
พร้อมทั้งได้จัดยานพาหนะ เรือท้องแบน และเครื่องจักรซ่อมแซม เร่งเปิดเส้นทางที่เสียหาย เพื่ออำนวยความสะดวกการสัญจรกับประชาชน และจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้การช่วยเหลือกับประชาชน. ทั้งนี้หากประชาชนในพื้นภาคใต้ ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน สามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 4 หมายเลขโทรศัพท์ 075-383405 และศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ โทร.1696 ตลอด 24 ชม.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37308 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๕ ธันวาคม เป็นว้นคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
๕ ธันวาคม เป็นว้นคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37315 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล มอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ และอสม.ที่เสียชีวิต บาดเจ็บ จากการปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์โควิด 19 | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
รัฐบาล มอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ และอสม.ที่เสียชีวิต บาดเจ็บ จากการปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์โควิด 19
รัฐบาล มอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ และอสม.ที่เสียชีวิต บาดเจ็บ จากการปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์โควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินจากรัฐบาล ช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านที่เสียชีวิต 2 ราย และได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ขณะปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยและชุมชนในสถานการณ์โรคโควิด 19
วันนี้ (4 ธันวาคม 2563) ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล กทม. นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมพิธีมอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า ขอขอบคุณในรัฐบาล โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เห็นความสำคัญ และความทุ่มเทเสียสละของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางความเสี่ยง ทั้งการคัดกรอง การดูแลรักษา การเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค โดยได้มอบเงินบริจาค บัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” และขอให้กำลังใจ อสม. ที่ปฏิบัติหน้าที่ ออกเคาะประตูบ้าน ดูแลคนในชุมชน ช่วยเจ้าหน้าที่ในการให้ความรู้การปฏิบัติตัวเรื่องโรคโควิด 19 และติดตาม เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในระดับต่ำ
สำหรับบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ที่ได้รับผลกระทบและได้รับเงินช่วยเหลือมี 5 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 2 ราย เป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และผู้บาดเจ็บ 3ราย เป็น อสม. 2 ราย และนักวิชาการสาธารณสุข 1 ราย
ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้จัดตั้งกองทุน ดร.นพ.อมร นนทสุต ซึ่งเป็นผู้มีคุณูปการกับงานสาธารณสุขมูลฐานของประเทศไทย เพื่อดูแล อสม.ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงาน มีกองทุนช่วยเหลือเยียวยา อสม. เพิ่มเติม เช่น กองทุนช่วยเหลือเยียวยา อสม.ที่ติดเชื้อโควิด 19 จากคุณคีรี กาญจนพาสน์, เงินช่วยเหลือเยียวยาจาก สปสช., เงินสงเคราะห์จาก ฌกส.อสม.แห่งประเทศไทย, มูลนิธิ อสม.แห่งประเทศไทย และขอเชิญชวน อสม. ให้สมัครร่วมเป็นสมาชิก ฌกส.อสม.แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นสวัสดิการช่วยเหลือครอบครัวของ อสม. เมื่อเสียชีวิต โดยขอเอกสารและยื่นความประสงค์ที่สถานบริการสาธารณสุขที่ส่งผลการปฏิบัติงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37323 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- บีโอไอเผยผลสำรวจนักลงทุนต่างชาติร้อยละ 96 เชื่อมั่นไทย | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
บีโอไอเผยผลสำรวจนักลงทุนต่างชาติร้อยละ 96 เชื่อมั่นไทย
บีโอไอเผยผลสำรวจนักลงทุนต่างชาติร้อยละ 96 เชื่อมั่นไทย
บีโอไอเผยผลสำรวจนักลงทุนต่างชาติร้อยละ 96 เชื่อมั่นไทย
เมื่อเร็วๆ นี้ นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวเปิดงานสัมมนาเรื่อง "ลงทุนไทย 2563: มุมมองอนาคตลงทุนไทยในสายตาต่างชาติ”โดยเผยผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 600 บริษัท พบว่านักลงทุนต่างชาติร้อยละ 96 มั่นใจศักยภาพประเทศไทย และมีแผนขยายการลงทุนและรักษาระดับการลงทุน แม้จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37327 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล “Digital Government Awards 2020” ประจำปี 2563 | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล “Digital Government Awards 2020” ประจำปี 2563
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล “Digital Government Awards 2020” ประจำปี 2563
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ ชั้น 3 สโมสรทหารบก วิภาวดีฯ กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงาน ที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้ได้รับโล่รางวัลรัฐบาลดิจิทัลระดับหน่วยงาน โดยนางเดือนเพ็ญ กรองมาลัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นผู้แทนกระทรวงฯ เข้ารับมอบรางวัล พร้อมทั้งร่วมออกบูธนิทรรศการเพื่อแสดงผลงานด้านรัฐบาลดิจิทัลที่โดดเด่นของกระทรวงพาณิชย์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37306 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ สั่งด่วนทุกหน่วยงานในสังกัด เร่งช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันทางภาคใต้ | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
ปลัดเกษตรฯ สั่งด่วนทุกหน่วยงานในสังกัด เร่งช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันทางภาคใต้
ปลัดเกษตรฯ สั่งด่วนทุกหน่วยงานในสังกัด เร่งช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันทางภาคใต้
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงข้อสั่งการที่ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันทางภาคใต้อย่างเร่งด่วนว่าจากอิทธิพลมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลากดินสไลด์ และวาตภัย ในพื้นที่ภาคใต้ช่วงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563–ปัจจุบันจำนวน 8จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
สุราษฎร์ธานี พัทลุง สงขลา ตรัง สตูลยะลาและจังหวัดนราธิวาส สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว2จังหวัด ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ 6 จังหวัด ได้แก่จังหวัดนครศรีธรรมราชสุราษฎร์ธานี พัทลุง สงขลา ตรัง และจังหวัดนราธิวาส
“ทั้งนี้ได้สั่งการไปยังเกษตรและสหกรณ์จังหวัดในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตรจังหวัดดำเนินการติดตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างต่อเนื่อง และประสานข้อมูลกับหน่วยงานในสังกัดเพื่อประเมินสถานการณ์ วิเคราะห์ความเสี่ยง และแจ้งเตือนไปยังเกษตรกรให้ทราบเพื่อเตรียมความพร้อม รวมทั้งให้ติดตามประกาศเตือนภัย และข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิดโดยบูรณาการทำงานของหน่วยงานในสังกัดและประสานการปฏิบัติงานร่วมกับกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางและจังหวัด ในการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิดซึ่งจะต้องแบ่งพื้นที่ และมอบหมายผู้รับผิดชอบในพื้นที่โดยมีเจ้าหน้าที่เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเป็นผู้ประสานงานเมื่อเกิดสถานการณ์ให้หน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องเร่งประเมินความเสียหาย และความต้องการความช่วยเหลือของเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ โดยให้รายงานสถานการณ์ และประเมินผลกระทบด้านการเกษตร ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพื้นที่การเกษตรประสบภัย ส่งให้ศูนย์ติดตามฯ กระทรวงเป็นประจำทุกวัน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย”ปลัดเกษตรฯ กล่าว
ขณะเดียวกันกระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบในเบื้องต้นไปแล้ว
โดยกรมชลประทาน ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 68 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ำ 50 เครื่อง และเครื่องไฮโดรโฟวล์ 4เครื่อง
กรมปศุสัตว์จัดเตรียมเสบียงอาหารสัตว์ 5,567 ตัน ถุงยังชีพสำหรับสัตว์ 3,000 ถุง และทีมสัตวแพทย์เคลื่อนที่ 119 หน่วยได้ดำเนินการอพยพสัตว์ 874 ตัวแจกจ่ายเสบียงอาหารสัตว์จำนวน 17 ตัน (นครศรีธรรมราช 8 ตัน สงขลา 9 ตัน) สร้างเสริมสุขภาพสัตว์95 ตัว รักษาสัตว์ 63 ตัวและกรมประมง สนับสนุนเรือยาง1ลำ และรถยนต์บรรทุกหกล้อ1คัน พร้อมเจ้าหน้าที่ 21 นาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.สงขลา จ.พัทลุง และ จ.ปัตตานีรวมทั้งสำนักงานสหกรณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบอาหารและแจกจ่ายอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 400 กล่อง
อย่างไรก็ตามแม้ว่ามรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลงหย่อมความกดอากาศต่ำเคลื่อนปกคลุมหัวเกาะสุมาตรา ทำให้บริเวณภาคใต้มีฝนลดลงแต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง และสตูลจึงขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยในบริเวณดังกล่าว โดยเฉพาะบริเวณที่ลาดเชิงเขาและพื้นที่ลุ่มต่าง ๆ ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และฝนที่ตกสะสมอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37312 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เร่งช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยทางภาคใต้ | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
ธ.ก.ส. เร่งช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยทางภาคใต้
ธ.ก.ส. พร้อมช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย โดยมอบหมายให้สาขาจัดถุงยังชีพช่วยเหลือแล้วกว่า 8,000 ถุง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมจัดสินเชื่อฉุกเฉิน การช่วยเหลือด้านภาระหนี้สินด้วยการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ และสินเชื่อฟื้นฟูหลังประสบภัย ร
ธ.ก.ส. พร้อมช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย โดยมอบหมายให้สาขาจัดถุงยังชีพช่วยเหลือแล้วกว่า 8,000 ถุง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมจัดสินเชื่อฉุกเฉิน การช่วยเหลือด้านภาระหนี้สินด้วยการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ และสินเชื่อฟื้นฟูหลังประสบภัย รองรับกรณีเกษตรกรต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการประกอบอาชีพ การซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและเครื่องมือทางการเกษตร วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท
นายสุรชัย รัศมี รองผู้จัดการ รักษาการแทนผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากอิทธิพลลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้มีปริมาณฝนตกสะสม เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินถล่มและลมกระโชกแรง สร้างความเสียหายกับผลผลิตทางการเกษตร ตลอดจนทรัพย์สินที่อยู่อาศัยของเกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไป ซึ่ง ธ.ก.ส. มีความห่วงใยในสวัสดิภาพของผู้ประสบภัย จึงได้กำหนดแนวทางการช่วยเหลือพร้อมมอบหมายให้ ธ.ก.ส. ในพื้นที่เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ดังนี้
กรณีฉุกเฉินเร่งด่วน ได้มอบหมายให้พนักงาน ธ.ก.ส. ในพื้นที่ ออกเยี่ยมเยียนให้กำลังใจลูกค้า พร้อมจัดหาถุงยังชีพเพื่อนำไปมอบให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนที่เดือดร้อน โดยเบื้องต้นได้ส่งถุงยังชีพช่วยเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา จำนวนกว่า 8,518 ชุด และเข้าไปสนับสนุนศูนย์อพยพหรือจุดรวมพลต่าง ๆ เช่น จัดหาอาหาร น้ำดื่ม บริการสุขาเคลื่อนที่ เต็นท์สนาม รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านอื่น ๆ เช่น ค่าเช่าเรือ ค่าเช่ารถบรรทุก ค่าแรงงาน เป็นต้น และหลังจากสถานการณ์คลี่คลายลง จะเร่งสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูหลังประสบภัย เช่น การมอบเงินเพื่อสมทบทุนสร้างบ้านหลังใหม่ การซ่อมแซมทรัพย์สินของใช้จำเป็น การซ่อมแซมเครื่องจักรการเกษตร และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดที่เกี่ยวเนื่องในการให้ความช่วยเหลือกรณีฟื้นฟูหลังประสบภัย
สำหรับการให้ความช่วยเหลือด้านภาระหนี้สินที่มีอยู่กับ ธ.ก.ส. กรณีที่เกษตรกรได้รับความเสียหายด้านการผลิตและส่งผลกระทบต่อรายได้ ธ.ก.ส. จะพิจารณาขยายระยะเวลาชำระหนี้ออกไปเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนตามความหนักเบาของผู้ประสบภัยทุกราย และพิจารณาให้สินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน บรรเทาความเดือดร้อนและป้องกันการก่อหนี้นอกระบบ ไม่เกินรายละ 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ระยะ 6 เดือนแรก และสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับเกษตรกรลูกค้าผู้ประสบภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติ วงเงิน 5,000 ล้านบาท ตามความจำเป็นแต่ไม่เกินรายละ 500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-2 (ปัจจุบัน MRR เท่ากับร้อยละ 6.50 ต่อปี) กำหนดชำระคืนไม่เกิน 15 ปี ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้เป็นค่าลงทุนในการสร้างหรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหาย หรือลงทุนซ่อมแซมโรงเรือนการเกษตร เครื่องมือ เครื่องจักรกลการเกษตรหรือฟื้นฟูการประกอบอาชีพการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37316 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครูโอ๊ะภูมิใจคน กศน.ผลิตนวัตกรรมการศึกษา ตอบโจทย์ผู้เรียนทุกแบบ อบรมออนไลน์-เครื่องตะบันน้ำ-เครื่องหยอดเมล็ดข้าว เชื่อปั้นเจ้าของผลงานสู่ "นวัตกร" | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
ครูโอ๊ะภูมิใจคน กศน.ผลิตนวัตกรรมการศึกษา ตอบโจทย์ผู้เรียนทุกแบบ อบรมออนไลน์-เครื่องตะบันน้ำ-เครื่องหยอดเมล็ดข้าว เชื่อปั้นเจ้าของผลงานสู่ "นวัตกร"
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศธ. นายพะโยม ชินวงศ์ ประธานคณะทำงาน รมช.ศธ. ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของสถานศึกษาและการจัดการเรียนการสอน ของนักเรียนสํานักงาน กศน.จังหวัดเชียงราย
ครูโอ๊ะภูมิใจคน กศน.ผลิตนวัตกรรมการศึกษา ตอบโจทย์ผู้เรียนทุกแบบ อบรมออนไลน์-เครื่องตะบันน้ำ-เครื่องหยอดเมล็ดข้าว เชื่อปั้นเจ้าของผลงานสู่ "นวัตกร" ขยายความคิดเชื่อมการพัฒนา ปลื้มนวัตกรรมเล่นตามพ่อ สืบสานตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 ในแบบไทย
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศธ. นายพะโยม ชินวงศ์ ประธานคณะทำงาน รมช.ศธ. ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของสถานศึกษาและการจัดการเรียนการสอน ของนักเรียนสํานักงาน กศน.จังหวัดเชียงราย โดยมีนายชัยณรงค์ ป้องบ้านเรือ รองเลขาธิการ กช. นายวิญญู สันติภาพวิวัฒนา ศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย นางอภิญญา ซอหะซัน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเผยแพร่การศึกษา กศน. นายสุรพล วงศ์หวัน ผู้อำนวยการ กศน.จังหวัดเชียงราย ผู้บริหาร ครู บุคลากร และนักเรียน เข้าร่วม
"ขอแสดงความชื่นชมครูและบุคลากร กศน.จังหวัด และอำเภอทั้งหมด ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมทางการศึกษาในศูนย์ Digital Learning Center ได้อย่างสมบูรณ์แบบ สอดคล้องบริบทของผู้เรียนทั้งการศึกษาพื้นฐาน การศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัย อาทิ การจัดการเรียนการสอนในระบบ Online On-air Onsite, การเขียนโปรแกรมอบรมครูและบุคลากรในระบบ Media Online CRI ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ และเรียนย้อนหลังได้ในทุกที่ทุกเวลา เพียงใช้สมาร์ทโฟนเครื่องเดียว ตั้งแต่ขั้นตอนลงทะเบียน จองที่เรียน พร้อมออกวุฒิบัตรออนไลน์ให้ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมในพื้นที่สูง "เครื่องตะบันน้ำ" โดยใช้แรงดันจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และมีการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ตามท้องตลาด เพื่อผลักดันน้ำเข้าสู่ระบบครัวเรือนสำหรับอุปโภคบริโภค ทั้งยังสอนให้ผู้เรียนทำเครื่องกรองน้ำใช้เองภายในบ้าน ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ราคาถูก และสามารถใช้งานได้จริง รวมทั้งสอนถึงวิธีดูแลรักษาด้วย .ในส่วนเครื่องหยอดข้าว ที่ทำจากวัสดุเหลือใช้ อาทิ ขวดพสาสติก ล้อจักรยาน ท่อ PVC ท่อเหล็ก แฮนจักรยานเก่า เป็นต้น เพียงนำเมล็ดพันธุ์มาใส่ขวด จากนั้นก็สามารถหยอดเมล็ดพันธุ์ตามความต้องการได้ นับเป็นเครื่องผ่อนแรงที่เหมาะสมกับวิถีไทย ในพื้นที่ทางการเกษตรกรรมอย่างยิ่ง รวมทั้งห้องสมุดร่องหน ซึ่งดัดแปลงมาจากการทำบุญกฐินของพุทธศาสนิกชน แขวน QR Code เป็นทานธรรมด้านความรู้นานาสารพัน ทั้งเรื่องบันเทิง วิชาการ วิชาชีพ นำไปแขวนไว้บนต้นไม้ ก็สามารถอ่านได้ทันทีในทุกที่ทุกเวลา
“อีกนวัตกรรมที่เป็นความภาคภูมิใจของปวงชนชาวไทย คือ เล่นตามพ่อ ที่มีการดึงการอ่านมาผูกไว้กับการเล่น โดยนำของเล่นไทย ๆ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงประดิษฐ์ เพื่อรักษาไว้มิให้สูญหาย พร้อมผนวกการละเล่นพื้นบ้านต่าง ๆ โดยคน กศน.เดินตามรอยพ่อ ผลิตของเล่นที่เป็นแบบไทย ด้วยงานไม้ งานฝีมือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือนวัตกรรมที่จะนำไปต่อยอดใน กศน.จังหวัดอื่น ๆ เพื่อสืบสานตามรอยพระองค์และให้ของเล่นไทย ๆ คงอยู่ต่อไปชั่วรุ่นลูกหลาน” รมช.กนกวรรณ กล่าว
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการเรียนออนไลน์นั้น ครู กศน.จัดการเรียนมาตั้งแต่ก่อนมีโรคระบาด และนำมาใช้ในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในต่างประเทศ ถือเป็นการวางแผนการจัดการเรียนการสอนล่วงหน้าของ กศน.อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ได้มีการรวบรวมคลังปัญญานำมาสร้างใหม่ พร้อมใช้ระบบ Google Classroom อย่างเชี่ยวชาญ เนื่องจากครู กศน.นำระบบมาใช้อย่างแพร่หลายเป็นเวลานานแล้ว เพื่อสนับสนุนโอกาสแก่นักศึกษาโดยไม่ต้องเดินทางมาเรียน นอกจากนี้ยังมีการเรียนผ่านรายการของสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษา ETV พัฒนาต่อยอดสู่ระบบอบรมพัฒนาครูตำบลออนไลน์ สามารถจองห้องเรียน ลงวิชาเรียน ด้วยระบบออนไลน์ทั้งหมด พร้อมแชร์และแบ่งปันทั้งทาง Youtube, รายการ ETV, ช่องทางโซเชียลมีเดีย พร้อมที่จะแบ่งปันเพื่อนำไปใช้ตามบริบทต่าง ๆ ที่เหมาะสมต่อไป
สำหรับการสะท้อนปัญหาและอุปสรรคของชาว กศน. จากการลงพื้นที่ 77 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องความมั่นคงของคน กศน.อย่างเป็นธรรม เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการทำงาน, การแก้ไขเรื่องอัตรากำลังที่ไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้เรียน รวมทั้งอัตราครูคนพิการ เพื่อให้ได้อัตราครูต่อนักเรียนในแต่ละประเภทของความบกพร่องทางร่างกายที่เหมาะสม, การอบรมการศึกษาพิเศษครู กศน.ทุกประเภท, การอบรมล่ามภาษามือและนักศึกษา กศน., การจัดทำแผนงบประมาณครูรายวันสำหรับนักศึกษา กศน., การจัดอบรมการสอนออนไลน์โดยดึงระบบดิจิทัลมาใช้ และพัฒนานักศึกษาออทิสติกและคนพิการ
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นความตั้งใจที่จะพัฒนาและทลายข้อจำกัดต่าง ๆ อยู่แล้ว เพราะ ครู กศน.เอง แม้จะทำงานบนความขาดแคลน แต่ก็สามารถนำนโยบาย กศน.WOW ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างชัดเจน ดังเช่น การพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาของสำนักงาน กศน.เชียงรายในวันนี้ ถือเป็น "นวัตกร" ที่สามารถสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาในแต่ะบริบท เป็นครูพันธุ์พิเศษสำหรับครูโอ๊ะที่มีความภาคภูมิใจ มีเกียรติมีศักดิ์ศรี และขอให้รักษาซึ่งเกียรติยศของครูไว้ ในฐานะข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และหวังว่าจะเป็นแบบอย่างและชี้นำศิษย์สู่ทางที่ดี ดั่งการปลูกต้นไม้ให้มั่นคงงดงามด้วยความดีภายในจิตใจ สติปัญญา คิดแก้ปัญหาและสร้างสรรค์สิ่งดีให้ถิ่นที่อยู่และประเทศไทยของเราตลอดไป” รมช.ศธ.กล่าว
จันทนา เชียงทอง: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน, สถาพร ถาวรสุข : ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37305 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เสมา1 ร่วมเสวนา “เติมความรัก ด้วยความรู้…อยู่อย่างไรในโลกออนไลน์” ย้ำ ศธ. ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ในโลกออนไลน์ | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
เสมา1 ร่วมเสวนา “เติมความรัก ด้วยความรู้…อยู่อย่างไรในโลกออนไลน์” ย้ำ ศธ. ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ในโลกออนไลน์
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเสวนาในงาน "เติมความรักด้วยความรู้ อยู่อย่างไรในโลกออนไลน์"
เมื่อวันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเสวนาในงาน "เติมความรักด้วยความรู้ อยู่อย่างไรในโลกออนไลน์" โดยมี นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, รศ.จุมพล รอดคำดี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อเพื่อเด็ก, ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี, ดร.ธีรารัตน์ พันทวี วงศ์ธนะเอนก ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนประเด็นสื่อออนไลน์กับเด็กและเยาวชน ตลอดจนผู้แทนผู้ปกครอง และนักเรียนนักศึกษา เข้าร่วมงาน ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า การจัดการศึกษาในยุคปัจจุบัน มีความเชื่อมโยงกับโลกออนไลน์ในบริบทที่หลากหลาย การสร้างความเข้าใจและสร้างองค์ความรู้ให้เด็กและเยาวชนสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากเด็กและเยาวชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบริบทโลกออนไลน์ไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้ตกเป็นเหยื่อ ได้รับข้อมูลเท็จ หรือเกิดภัยจากการคุกคามในโลกออนไลน์ได้ กระทรวงศึกษาธิการจึงให้ความสำคัญกับการแนะแนวและให้ความรู้เกี่ยวกับโลกออนไลน์ที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่มีความสนใจด้านโปรแกรมเมอร์ เกมเมอร์ นักพากย์เกม และนักกีฬา e-Sport ก็ควรได้รับการแนะแนวที่ถูกต้อง เพื่อต่อยอดการประกอบอาชีพในอนาคต
ในเรื่องของการพนันออนไลน์ก็เป็นสิ่งที่น่ากังวล การที่เด็กสามารถเข้าถึงโลกออนไลน์ได้ง่ายขึ้น ย่อมส่งผลให้การพนันออนไลน์ลุกลามเข้าไปในสถานศึกษาได้ง่ายด้วยเช่นกัน สิ่งหนึ่งที่โรงเรียนสามารถทำได้ คือ การจัดสรรเวลาให้เด็กได้ทำกิจกรรมนอกห้องเรียน เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กติดหน้าจอและเสี่ยงต่อการเล่นพนันออนไลน์ ทั้งนี้ ขอฝากให้เด็กและเยาวชนไทย ใช้วิจารณาญาณเกี่ยวกับโลกออนไลน์อย่างรอบด้าน เพราะเราไม่มีทางชนะการพนันออนไลน์ที่มีระบบคอมพิวเตอร์หรือ AI เป็นตัวควบคุมได้เสมอไป และการชนะพนันจะยิ่งทำให้เราเล่นพนันมากขึ้น สุดท้ายแล้วอาจทำให้เกิดการเสียทรัพย์และเสียการเรียนในที่สุด
“เด็กและเยาวชนทุกคน เปรียบเสมือนลูกหลานของเรา ที่เราต้องให้ความรักและบ่มเพาะความรู้ให้เขาเหล่านี้ กระทรวงศึกษาธิการมีหน้าที่ดูแลและจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีความแข็งแรงในทุกด้านทุกบริบท ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพราะอนาคตของพวกเราฝากไว้กับศักยภาพของเยาวชนไทย” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37303 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ร่วมเสียสละปฏิบัติงานในสถานการณ์โควิด-19 ยืนยันรัฐบาลไม่ทอดทิ้งใคร พร้อมดูแลผู้ได้รับผลกระทบให้มากที่สุด | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ร่วมเสียสละปฏิบัติงานในสถานการณ์โควิด-19 ยืนยันรัฐบาลไม่ทอดทิ้งใคร พร้อมดูแลผู้ได้รับผลกระทบให้มากที่สุด
นายกรัฐมนตรีขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ร่วมเสียสละปฏิบัติงานในสถานการณ์โควิด-19 ยืนยันรัฐบาลไม่ทอดทิ้งใคร พร้อมดูแลผู้ได้รับผลกระทบให้มากที่สุด
วันนี้ (4 ธ.ค.63) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีมอบเงินช่วยเหลือแก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่สนับสนุนที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม จำนวน 13 ราย จากเงินบริจาคบัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” รวมจำนวนเงิน 670,000 บาท ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เข้าร่วมในพิธี โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีมอบเงินช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่สนับสนุนที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 13 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 670,000 บาท ตามลำดับ ได้แก่ 1. บุคลากรทางการแพทย์ที่เสียชีวิต จำนวน 1 ราย มอบเงินทุนเลี้ยงชีพสำหรับครอบครัว จำนวน 150,000 บาท ผู้รับมอบ : ทายาทนายชัยวัฒน์ ศรียอง นักรังสีการแพทย์ โรงพยาบาลลำพูน 2. เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานที่เสียชีวิต จำนวน 1 ราย มอบเงินทุนเลี้ยงชีพสำหรับครอบครัว จำนวน 100,000 บาท ผู้แทนรับมอบ : นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน 3. อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เสียชีวิต จำนวน 1 ราย มอบเงินทุนเลี้ยงชีพสำหรับครอบครัว จำนวน 100,000 บาท ผู้รับมอบ : ทายาทนางสาวนันทนิตย์ เมฆทา อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน โรงพยาบาลหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ 4. เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดเชื้อ COVID-19 จำนวน 7 ราย มอบเงินช่วยเหลือ รายละ 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 210,000 บาท ผู้แทนรับมอบ : พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 5. อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 ราย มอบเงินช่วยเหลือกรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส จำนวน 2 ราย รายละ 40,000 บาท และกรณีบาดเจ็บเป็นผู้ป่วยใน จำนวน 1 ราย เป็นเงิน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 110,000 บาท ผู้แทนรับมอบ : นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเสียใจกับทายาทผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยกล่าวว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 มีมาตามลำดับ ซึ่งการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ที่ได้ผลดีก็เพราะบุคลากรทางการแพทย์ อสม. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยสถานการณ์โควิด-19 คงจะยังไม่สิ้นสุดในระยะเวลาอันใกล้นี้ ทุกคนจะต้องทำงานกันต่อไป ขณะเดียวกันก็ต้องมีการดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ให้มากที่สุด เพราะเจ้าหน้าที่ถือว่าเป็นแนวหน้าในการเผชิญสถานการณ์โควิด-19 ในนามของรัฐบาลและคนไทยทุกคนขอขอบคุณในความเสียสละของทุกคน ที่หลายคนได้สูญเสียและบาดเจ็บ หากมีปัญหาใดขอให้ติดต่อประสานมาที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ โดยรัฐบาลจะดูแลให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิด-19 คงไม่ยุติโดยง่าย หลายสิ่งที่ผ่านมาจึงเป็นบทเรียนในการหาแนวทางทำให้บุคลากรมีความปลอดภัยมากที่สุด ทั้งนี้ ไม่มีใครอยากให้มีการสูญเสียหรือเจ็บป่วยเกิดขึ้น แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 มีความรุนแรงในช่วงต้น จากนี้ไปคาดว่าจะไม่มีการสูญเสียอีก พร้อมขอฝากเป็นบทเรียนให้ทุกคนมีความรอบคอบในการทำงาน ต้องรู้สุขภาพของตัวเองโดยต้องตรวจสอบตัวเอง และปฏิบัติตามคำแนะนำทางด้านสาธารณสุขอยู่สม่ำเสมอ
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า รัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งใครทั้งสิ้น ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนผู้เสียสละ โดยจะพิจารณาดูแลตามความเหมาะสม ขอให้กำลังใจทุกคนในการทำงานและสู้กันต่อไป จนกว่าสถานการณ์จะสิ้นสุด โดยเงินที่มอบให้นี้เป็นน้ำใจจากคนไทยทั้งประเทศที่ได้บริจาคสมทบกับรัฐบาล ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ได้บ้าง โดยขอให้ใช้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดและขอให้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ ยืนยันว่ารัฐบาลจะดูแลทุกอย่างให้ดีที่สุด ในนามของรัฐบาล คณะกรรมการฯ และคนไทย ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ร่วมกันเสียสละปฏิบัติงานในสถานการณ์โควิด-19 ด้วยใจจริงอีกครั้ง
สืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการ ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณาจัดตั้งกองทุน สนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจึงได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาทำเนียบรัฐบาล ชื่อบัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” เพื่อรับบริจาคเงินดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้บริจาคเงินเป็นทุนประเดิม รวม 2,955,510 บาท รวมทั้งมีหน่วยงานภาคเอกชน และผู้มีจิตสาธารณะร่วมบริจาคสมทบ ถึง ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2563 มียอดเงินบริจาครวมเป็นเงินทั้งสิ้น 28,287,463.42 บาท
ในการให้ความช่วยเหลือ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการบริหารจัดการเงินบริจาค และทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้อนุมัติการให้ความช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ด้าน การป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไปแล้วจำนวน 88 ราย เป็นเงิน 2,980,000 บาท โดยนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานมอบเงินบริจาคช่วยเหลือแก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขดังกล่าว เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2563 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล คงเหลือเงินบริจาคจำนวน 25,307,463.42 บาท ในการนี้ คณะกรรมการบริหารจัดการเงินบริจาคฯ ในการประชุม ครั้งที่ 6/2563 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือแก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่สนับสนุนที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม จำนวน 13 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 670,000 บาท
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37322 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บิ๊กแรงงาน ห่วงข้อพิพาทแรงงานเพิ่มช่วงสิ้นปี เหตุขอขึ้นเงินเดือน โบนัส สวัสดิการ ย้ำนายจ้าง ลูกจ้างเจรจาด้วยเหตุผล | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
บิ๊กแรงงาน ห่วงข้อพิพาทแรงงานเพิ่มช่วงสิ้นปี เหตุขอขึ้นเงินเดือน โบนัส สวัสดิการ ย้ำนายจ้าง ลูกจ้างเจรจาด้วยเหตุผล
“สุชาติ” รมว.แรงงาน สั่งจับตาข้อพิพาทแรงงานช่วงสิ้นปี ห่วงมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากสาเหตุ ขอขึ้นเงินเดือน เงินโบนัส สวัสดิการ สั่งเฝ้าระวังกิจการและพื้นที่กลุ่มเสี่ยง พร้อมลงพื้นที่ยุติโดยเร็ว ย้ำนายจ้าง-ลูกจ้าง ยึดหลักเจรจาด้วยเหตุผล
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและการบริการโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ทำให้ปริมาณยอดสั่งซื้อและการใช้บริการลดลงสถานประกอบกิจการส่วนใหญ่ร้อยละ90 หรือมากกว่านั้นสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมากซึ่งในช่วงปลายปีของทุกปีจะมีการเรียกร้องขอขึ้นเงินเดือน เงินโบนัสและสวัสดิการต่าง ๆ หากไม่เป็นที่พอใจต่อทั้งสองฝ่ายก็อาจก่อให้เกิดเป็นข้อพิพาทแรงงานได้ จึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจับตาเฝ้าระวังปัญหาข้อพิพาทแรงงานดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานประกอบกิจการประเภทผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ประกอบยานยนต์และเครื่องยนต์ สถานประกอบกิจการประเภทโรงแรมและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังต้องเฝ้าระวังในเขตพื้นที่ ระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา กรุงเทพมหานคร ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยาและปทุมธานี เนื่องจากพบว่ามีข้อเรียกร้องมากตามลำดับในช่วง ๒ เดือนที่ผ่านมา หากพบว่ามีสัญญาณที่อาจก่อให้เกิดข้อพิพาทแรงงานให้เร่งส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปทำความเข้าใจและช่วยไกล่เกลี่ยให้ได้ข้อยุติในพื้นที่โดยเร็วที่สุด
ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาข้อพิพาทแรงงาน ขอฝากเตือนนายจ้าง ลูกจ้างให้เจรจากันด้วยเหตุผล ยึดหลักแรงงานสัมพันธ์แบบหุ้นส่วน นายจ้างควรชี้แจงข้อเท็จจริงถึงผลประกอบกิจการที่ผ่านมา เพื่อทำความเข้าใจกับลูกจ้างอย่างตรงไปตรงมาโดยยึดหลักสุจริตใจ และขอให้ทั้งสองฝ่ายคำนึงถึงสิทธิ หน้าที่ภายใต้กรอบของกฎหมายและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลสถานการณ์ด้านแรงงานสัมพันธ์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 1 ธันวาคม 2563 พบว่า มีการยื่นข้อเรียกร้อง ข้อพิพาทแรงงาน และข้อขัดแย้ง ในเรื่องของเงินโบนัส การขึ้นเงินเดือนและสวัสดิการด้านต่างๆ ตามลำดับ โดยมีการยื่นข้อเรียกร้อง 192 แห่ง ลูกจ้างที่เกี่ยวข้อง 134,964 คน ยุติแล้ว 35 แห่ง จังหวัดระยองยื่นข้อเรียกร้องมากที่สุดถึง 58 แห่ง ลูกจ้างเกี่ยวข้อง 40,842 คน รองลงมาคือจังหวัดชลบุรี 53 แห่ง ลูกจ้างเกี่ยวข้อง 27,303 คน มีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้น 20 แห่ง ลูกจ้างเกี่ยวข้อง 9,722 คน ยุติแล้ว 10 แห่ง และเมื่อแยกเป็นรายจังหวัด พบว่า จังหวัดที่เกิดเป็นข้อพิพาทแรงงานมากที่สุดคือจังหวัดระยอง รองลงมาคือ กรุงเทพฯ และชลบุรี มีลูกจ้างเกี่ยวข้อง 2,825 คน 1,592 คน และ 1,715 คน ตามลำดับ สำหรับข้อขัดแย้งมีจำนวน 13 แห่ง ลูกจ้างเกี่ยวข้อง 10,374 คน ยุติแล้ว 12 แห่ง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในจังหวัดฉะเชิงเทรา ปทุมธานี และสระบุรี ทั้งนี้ มีการจดทะเบียนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ทั้งหมด 45 แห่ง ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์เป็นเงินจำนวน 2,481.35 ล้านบาท.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37317 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมหม่อนไหม ครบรอบปีที่ 11 | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมหม่อนไหม ครบรอบปีที่ 11
กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมหม่อนไหม ครบรอบปีที่ 11 สืบสานศิลปหัตถกรรมและภูมิปัญญาไหมให้คงอยู่คู่ประเทศไทย พร้อมส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและการแปรรูปสินค้าตามความต้องการของตลาด
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมหม่อนไหม ครบรอบปีที่ 11 ณ กรมหม่อนไหม ว่า กรมหม่อนไหมจัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยพระองค์ทรงมีพระราชปณิธานที่จะส่งเสริมอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเพื่อสร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร อันนำมาสู่การสถาปนากรมหม่อนไหมขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2552 เพื่อเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้านการส่งเสริม วิจัย และพัฒนาหม่อนไหมทั้งระบบ รวมถึงการอนุรักษ์ สืบสานศิลปหัตถกรรมและภูมิปัญญาไหมให้คงอยู่คู่ประเทศไทย โดยตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินงานภายใต้ภารกิจสำคัญเพื่อทำให้เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ 20 ปี และนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร เสริมสร้างความมั่นคงในอาชีพเกษตรกรรม โดยใช้การตลาดนำการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การยกระดับมาตรฐานสินค้า และการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
“สินค้าหม่อนไหม ถือเป็นผลผลิตที่เป็นเอกลักษณ์ ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมการดำรงชีพแบบวิถีชาวไทย ซึ่งจำเป็นต้องมีการอนุรักษ์และสืบทอดให้คงอยู่คู่สังคมไทย ตลอดจนต้องมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและการแปรรูปสินค้าตามความต้องการของตลาดอย่างมีมาตรฐานและมีความปลอดภัย ซึ่งเป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงผ้าไหมไทยและผลิตภัณฑ์จากหม่อนไหมให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ และในวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไป กรมหม่อนไหมจึงต้องมีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น โดยในฐานะที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลจึงต้องพัฒนาตัวเอง ต้องมีการนำงานวิจัยและนวัตกรรมเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าและยกระดับให้ดียิ่งขึ้น ต้องกล้าคิด กล้าทำ บนพื้นฐานของความสุจริตเป็นที่ตั้ง รวมถึงจะต้องเข้าไปดูแลพี่น้องเกษตรกรเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ พร้อมผลักดันและสนับสนุนการการพัฒนาหม่อนไหมทั้งระบบ และสนับสนุนทั้งเกษตรกรและภาคเอกชนที่จะเข้ามาต่อยอดให้สินค้าและผลิตภัณฑ์หม่อนไหมมีชื่อเสียงระดับโลกต่อไป” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายปราโมทย์ ยาใจ อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การจัดแสดงนิทรรศการการสาธิตการประกอบอาหารจากหม่อนไหม และการออกร้านจำหน่ายสินค้าหม่อนไหม ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา กรมหม่อนไหมได้ดำเนินงานตามภารกิจและสนองงานพระราชดำริด้านหม่อนไหมของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง รวมถึงโครงการตามนโยบายของรัฐบาลและโครงการของกระทรวงเกษตรฯ มาโดยตลอด โดยในปี 2563 ได้มีการพัฒนาบุคลากรด้านหม่อนไหมทั้งระบบตั้งแต่การสร้างทายาทหม่อนไหม เกษตรกรหม่อนไหม จนถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านหม่อนไหม เพื่อให้เป็นต้นแบบในการพัฒนาศักยภาพการผลิต การแปรรูป และการตลาดหม่อนไหม ตลอดจนสนับสนุนและช่วยเหลืองานด้านหม่อนไหม ทั้งในระดับศูนย์ ระดับเขต และระดับประเทศ โดยได้คัดเลือกผู้มีผลงานดีเด่น 3 ประเภท ได้แก่ เกษตรกรดีเด่นระดับเขต จำนวน 6 คน ทายาทหม่อนไหมดีเด่น ระดับเขต จำนวน 6 คน และพนักงานราชการดีเด่นของกรมหม่อนไหม จำนวน 34 คน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37318 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานแถลงข่าวการจัดโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมทั่วทิศแผ่นดินไทย | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานแถลงข่าวการจัดโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมทั่วทิศแผ่นดินไทย
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานแถลงข่าวการจัดโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมทั่วทิศแผ่นดินไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37310 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2563 | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2563 พบการกระทำผิด จำนวน 385 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.37 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2563) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 385 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.37 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 210 คดี ค่าปรับ 1.94 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 100 คดี ค่าปรับ 2.82 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 4 คดี ค่าปรับ 0.02 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 21 คดี ค่าปรับ 5.19 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 2 คดี ค่าปรับ 0.18 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 41 คดี ค่าปรับ 0.98 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 7 คดี ค่าปรับ 0.24 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 957.620 ลิตร ยาสูบ จำนวน 11,890 ซอง ไพ่ จำนวน 48 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 178,755.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 380 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 58 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 3 ธันวาคม 2563 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 5,071 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 97.84 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 2,826 คดี ค่าปรับ 27.54 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 1,594 คดี ค่าปรับ 37.50 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 133 คดี ค่าปรับ 1.38 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 163 คดี ค่าปรับ 12.48 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 22 คดี ค่าปรับ 0.85 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 228 คดี ค่าปรับ จำนวน 6.00 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 105 คดี ค่าปรับ 12.09 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 78,381.500 ลิตร ยาสูบ จำนวน 133,589 ซอง ไพ่ จำนวน 9,014 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 406,0772.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 58,361 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 317 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://webdev.excise.go.th/act2560/suppress-news/37-2564/604-2564-27-3-2563-60
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37333 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการรองรับปัญหาภัยแล้ง ปี 2564 | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
มาตรการรองรับปัญหาภัยแล้ง ปี 2564
วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้งในอนาคต โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมมาตรการรับภัยแล้ง ปี 2564 ประกอบด้วย เร่งเก็บกักน้ำก่อนหมดฝน /จัดหาแหล่งสำรองน้ำดิบ ปฏิบัติการเติมน้ำในพื้นที่เกษตรและที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ /กำหนดจัดสรรน้ำฤดูแล้งไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการอุปโภค-บริโภค จัดทำทะเบียนผู้ใช้น้ำ วางแผนเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง เฝ้าระวังคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก สายรอง /ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมจัดการน้ำตามหลัก 3R คือ ลดใช้ ใช้ซ้ำ และนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงสร้างการรับรู้สถานการณ์น้ำ ให้ทุกภาคส่วนเข้าใจและร่วมมือใช้น้ำอย่างประหยัดตามแผนที่วางไว้
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37302 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เปิดงานวันดินโลก ปี 2563 “Keep soil alive, protect soil biodiversity : รักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน” | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
รมช.ธรรมนัส เปิดงานวันดินโลก ปี 2563 “Keep soil alive, protect soil biodiversity : รักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน”
รมช.ธรรมนัส เปิดงานวันดินโลก ปี 2563 “Keep soil alive, protect soil biodiversity : รักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน” ณ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งภูมิภาคเอเชีย (CESRA) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานวันดินโลกปี2563 “Keep soil alive, protect soil biodiversity :รักษ์ปฐพีคืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน”ณศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งภูมิภาคเอเชีย(CESRA)อำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมาว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมพัฒนาที่ดินได้มีการจัดงานวันดินโลกในวันที่5ธันวาคมของทุกปีเพื่อเป็นการถวายสดุดีและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร
ในฐานะที่ทรงเป็น“นักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม”พระองค์แรกและพระองค์เดียวของโลกพระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจด้านการจัดการทรัพยากรดินและน้ำจนเป็นรากฐานการผลิตที่มั่นคงของเกษตรกรนอกจากนี้ยังทรงศึกษาและพัฒนาด้านการจัดการดินด้วยวิธีการเรียบง่ายและประหยัดที่เกษตรกรนำไปปฏิบัติเองได้โดยกิจกรรมภายในงานจะประกอบด้วยนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรนิทรรศกาพระราชปณิธานการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อสืบสานรักษาและต่อยอดมีการจัดพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิตจัดศูนย์ฝึกเกษตรสร้างอาชีพมั่นคงมั่งคั่งยั่งยืนมีการเสวนาวิชาการและจุดเช็คอินดินโลกปี2563 Landmarkวันดินโลกสัญลักษณ์World Soil Dayที่ใหญ่ที่สุดในสยาม
“กระทรวงเกษตรฯนั้นพร้อมที่จะสานต่อเจตนารมณ์ในพระราชปณิธานพร้อมน้อมนำพระราชดำริมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการใช้ที่ดินการพัฒนาดินน้ำพืชและอาชีพของเกษตรกรให้มีความมั่นคงมีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงยั่งยืนและมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาในเรื่องทรัพยากรดินและสิ่งแวดล้อมความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารเพื่อขจัดความอยากไร้ขาดแคลนให้หมดไป”ร้อยเอกธรรมนัสกล่าว
ทั้งนี้กรมพัฒนาที่ดินได้เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงานวันดินโลกร่วมกับสมาคมดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทยสมาคมอนุรักษ์ดินและน้ำสมาคมดินโลกองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(FAO)และหน่วยงานภาคีภาครัฐเอกชนองค์กรต่างๆในปีนี้สมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลกกำหนดหัวข้อการจัดงาน“Keep Soil Alive, Protect Soil Biodiversity”โดยให้ความสำคัญของนิเวศวิทยาและความหลากหลายทางชีวภาพในดินสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ระดับจุลินทรีย์สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กใหญ่ซึ่งล้วนแต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันในระบบนิเวศและก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของดินการจัดงานวันดินโลกและกำหนดให้มีการจัดงานระหว่างวันที่4 – 8ธันวาคม2563ณศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งภูมิภาคเอเชียอำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37336 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ NBT ปฏิบัติงานถ่ายทอดสดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ 5 ธันวาคม เชื่อมีความพร้อมสูงในการทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการออกอากาศส่งสัญญาณทั่วประเทศ | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
รมต.นร ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ NBT ปฏิบัติงานถ่ายทอดสดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ 5 ธันวาคม เชื่อมีความพร้อมสูงในการทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการออกอากาศส่งสัญญาณทั่วประเทศ
รมต.นร ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ NBT ปฏิบัติงานถ่ายทอดสดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ 5 ธันวาคม เชื่อมีความพร้อมสูงในการทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการออกอากาศส่งสัญญาณให้สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ
วันนี้ (4 ธันวาคม 2563) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอนุรุทธิ์ นาคาศัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในการปฏิบัติงานถ่ายทอดสดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ 5 ธันวาคม 2563 จากที่ทางรัฐบาลได้มอบหมายให้โทรทัศน์รวมการณ์เฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ร่วมกับ NBT ถ่ายทอดสดพิธีจุดเทียนมหามงคลเพื่อสดุดีเฉลิมพระเกียรติคุณและน้อมรำลึก ในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ วันพ่อแห่งชาติและวันชาติ ในวันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดย NBT ได้ช่วยสนับสนุน บุคลากร รถ OB ถ่ายทอดสด กล้องโทรทัศน์ และทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการออกอากาศส่งสัญญาณให้สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการเยี่ยมชมการดำเนินงาน มีความเชื่อมั่นว่า สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และกรมประชาสัมพันธ์มีความพร้อมอย่างสูง ในการทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการออกอากาศส่งสัญญาณให้สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ที่จะถ่ายทอดสดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ 5 ธันวาคม 2563 ในวันพรุ่งนี้ ตนขอเป็นกำลังใจ และขออำนวยพรให้การดำเนินงานถ่ายทอดสดพิธีจุดเทียนมหามงคล ในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ประสบความสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีในทุกขั้นตอน และขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนได้ติดตามรับชมการถ่ายทอดสดฯ พร้อมกัน ในวันพรุ่งนี้ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
-------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37321 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดจุลพงษ์ฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Automation Robotics and Intelligent System Day 2030 และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง นโยบายการพัฒนา Industry 4.0 ของประเทศไทย | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
รองปลัดจุลพงษ์ฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Automation Robotics and Intelligent System Day 2030 และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง นโยบายการพัฒนา Industry 4.0 ของประเทศไทย
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Automation Robotics and Intelligent System Day 2030 และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง นโยบายการพัฒนา Industry 4.0 ของประเทศไทย ณ อาคาร ๕๐ ปี วิศวะรวมใจ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการหน่วยงานเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (CoRE) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Automation Robotics and Intelligent System Day 2030 และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง นโยบายการพัฒนา Industry 4.0 ของประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบปัญญาประดิษฐ์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ อาคาร ๕๐ ปี วิศวะรวมใจ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
พร้อมกันนี้ยังได้เข้าเยี่ยมชมโรงงานของบริษัท ทออวนเดชาพานิช จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานทออวนชั้นนำของประเทศ รวมทั้งได้เชิญชวนให้บริษัทฯ ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตโดยใช้ระบบอัตโนมัติให้มากขึ้น เพื่อลดต้นทุน ค่าแรงงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37319 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานแก่กระทรวงการคลัง | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานแก่กระทรวงการคลัง
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เดินทางมาตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานแก่กระทรวงการคลัง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงการคลัง ให้การต้อนรับ
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เดินทางมาตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานแก่กระทรวงการคลัง โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงการคลัง ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในที่ประชุมมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
1. ในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาสที่ 2 และมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2563โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการของกระทรวงการคลังที่ดูแลและเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19รวมถึงโครงการคนละครึ่งที่กระทรวงการคลังได้นำดำริของนายกรัฐมนตรีมาดำเนินการจนเห็นผลชัดเจน ทั้งนี้ มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
2.ในด้านนโยบาย กระทรวงการคลังควรมุ่งเน้นภารกิจใน 3 เรื่องได้แก่ 1) ภารกิจด้านนโยบายการคลังการเงิน เช่น การปฏิรูปโครงสร้างภาษีให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมการดูแลภาวะสินเชื่อของภาคธุรกิจและหนี้สินของภาคประชาชน เพื่อให้สามารถผ่านพ้นสถานการณ์โควิด-19 ได้ 2) ภารกิจการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่มุ่งสู่การพัฒนาของอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่อุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร เป็นต้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจสูง รวมทั้งปรับโครงสร้างภาคการผลิตของไทยให้เข้าสู่มาตรฐานสากล และ 3) ภารกิจการปรับกฎเกณฑ์และระเบียบต่าง ๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ความโปร่งใส มีความคล่องตัวและอำนวยความสะดวกต่อประชาชนมากขึ้น
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า สถานการณ์โควิด-19ในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นปัจจัยเร่งรัดให้การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต้องทันสถานการณ์ โปร่งใส ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยยังคงรักษาไว้ซึ่งวินัยทางการเงินการคลัง นอกจากนี้ หน่วยงานด้านเศรษฐกิจต่าง ๆ จำเป็นต้องประสานความร่วมมือด้านนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและกำหนดนโยบายเพื่อการพัฒนาประเทศในอนาคต
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า นอกจากภารกิจงานในด้านต่างๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายข้างต้นแล้ว กระทรวงการคลังจะได้มุ่งเน้นการพัฒนาระบบภาษีการบริหารรายได้ของรัฐบาล และการรักษาวินัยการเงินการคลัง การปรับปรุงการปฏิบัติงานของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงการคลังให้เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน (Ease of Doing Business)รวมทั้งดำเนินมาตรการเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ
คณะโฆษกกระทรวงการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3236
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37337 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ห่วงใยกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากน้ำท่วมภาคใต้ พร้อมสั่งการ ทีม พม. One Home ลงพื้นที่ช่วยเหลือโดยด่วน | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
ปลัด พม. ห่วงใยกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากน้ำท่วมภาคใต้ พร้อมสั่งการ ทีม พม. One Home ลงพื้นที่ช่วยเหลือโดยด่วน
ปลัด พม. ห่วงใยกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากน้ำท่วมภาคใต้ พร้อมสั่งการ ทีม พม. One Home ลงพื้นที่ช่วยเหลือโดยด่วน
วันนี้ (4 ธ.ค. 63) เวลา 18.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้มีความรุนแรง ทำให้ประชาชนจำนวนมากในพื้นที่หลายจังหวัดได้รับความเดือดร้อนในวงกว้าง โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งกระทรวง พม. มีความห่วงใยทุกกลุ่มเป้าหมายที่ประสบอุทกภัยเป็นอย่างมาก และในวันนี้จึงได้มีการประชุมแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยน้ำท่วมฉับพลันและน้ำไหลหลากในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับผู้บริหารกระทรวง พม. และประชุมทางไกล Video Conference กับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครศรีธรรมราช (พมจ.นครศรีธรรมราช) เพื่อเร่งหาแนวทางการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภัยน้ำท่วมตามภารกิจกระทรวง พม. พร้อมทั้งสั่งการให้ พมจ.นครศรีธรรมราช บูรณาการร่วมกับทีม พม. One Home เร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ รวมทั้งผู้ป่วยติดเตียง ที่ต้องเข้าไปดูแลเป็นพิเศษในด้านต่างๆ อาทิ การมอบเงินสงเคราะห์ครอบครัวสำหรับผู้ได้รับผลกระทบและผู้เสียชีวิต การจัดทีมนักสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยาเข้าไปให้คำปรึกษาและฟื้นฟูสภาพจิตใจเพื่อลดผลกระทบทางด้านจิตใจ รวมทั้งการซ่อมแซมบ้านของคนพิการและผู้สูงอายุ เป็นต้น
นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ สำหรับการช่วยเหลือระยะยาว ผู้ได้รับผลกระทบที่อาจจะไม่มีรายได้ เนื่องจากไม่สามารถประกอบอาชีพได้ โดยเฉพาะการทำเกษตร กระทรวง พม. ได้เตรียมการฝึกอาชีพระยะสั้นหลายหลักสูตร เพื่อให้มีรายได้เพียงพอในการเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว อีกทั้ง หลังน้ำลด จะต้องมีการทำความสะอาดที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งเราจะขอความร่วมมือจากอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) รวมทั้งสภาเด็กและเยาวชนที่มีอยู่ทั่วประเทศ เข้ามาช่วยเหลือประชาชนในเรื่องนี้ เพื่อฟื้นฟูให้กลับมามีสภาพที่ดีเหมือนเดิม และที่สำคัญ ตนได้สั่งการให้ พมจ. บูรณาการร่วมกับทีม พม. One Home จังหวัด ลงพื้นที่เข้าไปดูแลช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างเร่งด่วนเพื่อให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมหรือประสบภัยพิบัติต่างๆ สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ซึ่งพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อขอความช่วยเหลือเร่งด่วนด้วยตนเองได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37335 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยชายไทย 28 ปี จ.เชียงราย ติดโควิด 19 ในประเทศ จากการสัมผัสผู้ป่วยรายที่พะเยา | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
สธ. เผยชายไทย 28 ปี จ.เชียงราย ติดโควิด 19 ในประเทศ จากการสัมผัสผู้ป่วยรายที่พะเยา
กระทรวงสาธารณสุขเผยชายไทยอายุ 28 ปี จ.เชียงราย ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศ จากการสัมผัสผู้ป่วยเพศหญิง จ.พะเยา ส่วนหญิงไทยอายุ 51 ปี จ.สิงห์บุรี รอผลการสอบสวนโรคอย่างละเอียด ขอคนไทยที่ทำงานจ.ท่าขี้เหล็กติดต่อขอเดินทางกลับอย่างถูกต้อง
กระทรวงสาธารณสุขเผยชายไทยอายุ 28 ปี จ.เชียงราย ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศ จากการสัมผัสผู้ป่วยเพศหญิง จ.พะเยา ส่วนหญิงไทยอายุ 51 ปี จ.สิงห์บุรี รอผลการสอบสวนโรคอย่างละเอียด ขอคนไทยที่ทำงาน
จ.ท่าขี้เหล็กติดต่อขอเดินทางกลับอย่างถูกต้อง สั่งปิดสถานบันเทิงที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรค
วันนี้ (4 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงข่าวความคืบหน้าสถานการณ์โรคโควิด 19 จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา
นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เดินทางมาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 13 ราย เดินทางเข้าช่องทางธรรมชาติ 10 ราย (เชียงใหม่ 3 ราย เชียงราย 3 ราย กรุงเทพมหานคร 1 ราย พะเยา 1 ราย พิจิตร 1 ราย และราชบุรี 1 ราย) และเข้ามาตามระบบ เป็นชาวเชียงรายทั้ง 3 ราย ผู้ที่เดินทางกลับเข้ามามีความเสี่ยงรับเชื้อมาด้วย จึงขอให้คนไทยในฝั่งท่าขี้เหล็กแจ้งรายชื่อ ขอเดินทางกลับประเทศไทยอย่างถูกต้อง ซึ่ง จ.เชียงรายได้จัดเตรียมสถานที่กักกันโรคหลายร้อยห้องรองรับ หากเข้ามาตามเส้นทางธรรมชาติ จะมีการตรวจจับดำเนินคดีตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะตรวจตราเข้มตามแนวชายแดน มี อสม.ช่วยเฝ้าระวังตามสถานที่ต่างๆ รวมถึงประชาชนช่วยกันเฝ้าระวัง หากพบผู้เดินทางกลับมาอย่างผิดกฎหมาย ไม่ได้ผ่านการกักกัน 14 วัน ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือ อสม.ทันที
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ขอความร่วมมือภาคประชาสังคม ผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ และผู้จัดกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่สาธารณะ ต้องเข้มมาตรการสวมหน้ากาก หมั่นทำความสะอาดตามจุดสัมผัสต่างๆ จัดจุดล้างมือ เว้นระยะห่าง และสแกนไทยชนะทุกครั้ง ส่วนสถานพยาบาลจะช่วยคัดกรองกลุ่มเสี่ยงต่างๆ และให้คำแนะนำประชาชน กระทรวงมหาดไทยได้กำชับให้ทุกจังหวัดกำกับติดตามให้สถานที่ต่าง ๆ ที่ให้บริการ ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันโรค เช่น สถานบันเทิง เป็นต้น หากไม่ปฏิบัติตามมีอำนาจสั่งปิดได้ทันที กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับโรงเรียนและสถานที่ต่างๆ คือ ให้ปิดเฉพาะกรณีที่พบผู้ป่วยยืนยันโควิด 19 ในสถานที่นั้นๆ หากเป็นผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องปิดสถานที่ โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจะต้องเข้ารับการกักกันเพื่อเฝ้าระวังอาการ ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำหรือผู้สัมผัสที่ใกล้ชิดกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงก็ไม่ต้องปิดสถานที่เช่นเดียวกัน แต่แนะนำให้เฝ้าระวังอาการ สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง โดยสถานที่นั้นๆ สามารถทำความสะอาดบ่อย ๆ เพื่อความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจ หากมีผลการสอบสวนโรคเพิ่มเติมจะรายงานให้ทราบต่อไป
“ส่วนผู้ที่เดินทางกลับมาจากเชียงใหม่และเชียงราย ถ้าไม่ได้อยู่สถานที่เดียวกับผู้ป่วย ถือว่าไม่มีความเสี่ยง ไม่จำเป็นต้องกักตัว ในกรณีนักเรียนที่ไปเที่ยวเชียงใหม่แต่ไม่ใช่พื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อ การให้กักตัวถือว่าเป็นมาตรการที่เกินความจำเป็น สำหรับการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่จ.กำแพงเพชร ชายไทยอายุ 49 ปี ผลตรวจพบปริมาณสารพันธุกรรมน้อยและมีภูมิคุ้มกันขึ้นแล้ว แสดงว่าติดเชื้อมานาน และผู้สัมผัสใกล้ชิดผลการตรวจเป็นลบ จึงไม่จำเป็นต้องดำเนินการปิดโรงเรียน” นายแพทย์โอภาสกล่าว
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อ 65,527,498 ราย เป็นการติดเชื้อรายใหม่ 678,631 ราย ถือว่าแนวโน้มการระบาดยังสูงต่อเนื่อง เสียชีวิตสะสม 1,511,719 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 12,679 ราย โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย และฝรั่งเศส สำหรับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการติดเชื้อสูง คือ เมียนมา และมาเลเซีย โดยเมียนมามีผู้ป่วยรายใหม่ 1,418 ราย มาเลเซีย มีผู้ป่วยรายใหม่ 1,075 ราย ทำให้ต้องเฝ้าระวัง ผู้เดินทางอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถานการณ์ของประเทศไทย วันที่ 4 ธันวาคม มีผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่ 14 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อในประเทศ 1 ราย สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ ส่วนอีก 13 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ เป็นคนไทย 9 ราย คนต่างชาติ 4 ราย เข้าสู่ระบบการกักกันในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ 8 ราย และสถานกักกันที่รัฐกำหนด 5 ราย ยังมีผู้ป่วยอยู่ในการรักษาพยาบาล 154 รายเกินครึ่งไม่มีอาการ ที่เหลือมีอาการเล็กน้อย
นายแพทย์โสภณกล่าวว่า ความคืบหน้าการติดตามผู้ป่วยโควิด 19 ที่เดินทางมาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ผู้สัมผัสของผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เข้ามาทางเส้นทางธรรมชาติจำนวน 10 รายนั้น ได้ทำการตรวจหาเชื้อผู้สัมผัสมากกว่า 250 ราย ส่วนใหญ่ให้ผลเป็นลบ แต่มีชายไทยอายุ 28 ปี อาชีพพนักงานสถานบันเทิงในจังหวัดเชียงรายที่ติดเชื้อ จากการสอบสวนโรคพบว่า วันที่ 28 พฤศจิกายน ได้ไปพบผู้ติดเชื้อของ จ.พะเยา ที่เดินทางกลับมาจากท่าขี้เหล็กพร้อมเพื่อนอีก 2 คน และพักห้องเดียวกัน ช่วงเย็นไปทำงานร้านอาหารตามปกติ วันที่ 29 พฤศจิกายน มีการรับประทานอาหารด้วยกัน ไปเที่ยวงานฟาร์ม เฟสติวัล กับกลุ่มเพื่อนดังกล่าว วันที่ 30 พฤศจิกายน ไปเที่ยวสถานบันเทิง และเดินทางต่อไป จ.เชียงใหม่กับเพื่อนด้วยรถส่วนตัว วันที่ 1 ธันวาคมเดินทางกลับจ.เชียงรายด้วยรถโดยสารประจำทาง ช่วงเย็นไปทำงานตามปกติ วันที่ 2 ธันวาคม เริ่มมีอาการเจ็บคอ จึงไปขอตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ผลตรวจพบเชื้อโควิด 19 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ขณะนี้อาการดี ไม่มีไข้
“ประชาชนที่ไปงานฟาร์ม เฟสติวัลเวลา 19.30-21.30 น. และเที่ยวในบริเวณงาน โดยเฉพาะโซนลานเบียร์ หน้าเวที และห้องน้ำ ให้สังเกตอาการโรคระบบทางเดินหายใจ มีไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก อาการเด่นของโควิด 19 คือจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รับรส ให้สวมหน้ากาก หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชน และผู้ที่ลงทะเบียนไทยชนะหากได้รับข้อความ ให้ติดต่อผู้จัดงานหรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพื่อรับคำแนะนำในการเฝ้าระวังและนัดสถานที่ตรวจหาเชื้อ ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2563 เช่นเดียวกับผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกับผู้ป่วย ขอให้สังเกตอาการ รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในภูมิลำเนา เพื่อรับคำแนะนำในการเฝ้าระวังอาการ” นายแพทย์โสภณกล่าว
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สำหรับหญิงไทยอยุ 51 ปี จ.สิงห์บุรี ที่ตรวจพบการติดเชื้อโควิด 19 โดยระบุว่านั่งเครื่องบินลำเดียวกับผู้ป่วยโควิด 19 ที่เดินทางกลับมาจากเชียงราย เบื้องต้นแจ้งว่าเดินทางไปจังหวัดเชียงรายและไม่ได้ข้ามไปประเทศเพื่อนบ้าน หากข้อมูลนี้ถูกต้องก็จะเป็นอีก 1 รายที่ติดเชื้อภายในประเทศ แต่ขณะนี้ข้อมูลยังไม่ครบถ้วน อยู่ระหว่างการสอบสวนโรคและเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุและสถานที่รับเชื้อ หากทราบข้อมูลเพิ่มเติมจะนำเสนอต่อไป ขอให้ผู้ที่ถูกสอบสวนโรคให้ข้อมูลตามความเป็นจริงเพื่อประโยชน์ของตัวท่านเองและผู้ใกล้ชิด และการสอบสวนโรคเป็นไปอย่างถูกต้อง เพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาดและการป้องกันควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว
*********************************** 4 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37326 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนตามแนวทางของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) จังหวัดน่าน | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนตามแนวทางของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) จังหวัดน่าน
ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนตามแนวทางของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) จังหวัดน่าน
วันนี้ (4 ธ.ค. 63) เวลา 15.00 น. ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย จังหวัดน่าน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินในลักษณะแปลงรวมจังหวัดน่านตามแนวทางของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) โดยมี นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายนิพันธ์ บุญหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนตามแนวทางของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ร่วมพิธี
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า รัฐบาลมีเป้าหมายสำคัญที่ต้องการให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน สามารถหาเลี้ยงชีพได้อย่างสุจริต ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม มีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ซึ่ง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดิน ให้ความสำคัญและดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว โดยคณะอนุกรรมการจัดที่ดิน ซึ่งรับผิดชอบในการจัดประชาชนให้เข้าทำกินในพื้นที่กรมป่าไม้อนุญาตนั้น จะได้เร่งรัดให้มีการดำเนินการจัดประชาชนให้เข้าทำกินในพื้นที่อื่น ๆ ที่กรมป่าไม้อนุญาตโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้มีที่ดินทำกิน สามารถประกอบปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เพื่อเลี้ยงครอบครัวได้อย่างมั่นคงและมีความสุข และขอให้ผู้ที่ได้รับสมุดประจำตัวฯ ทุกท่านได้ภูมิใจว่า นับจากนี้ท่านสามารถอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินได้อย่างถูกกฎหมาย ขอให้ท่านหวงแหนที่ดินที่ได้รับอนุญาตและใช้ประโยชน์เพื่อสร้างรายได้ เลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวให้มีความสุขตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงต่อไป
สำหรับการดำเนินการดังกล่าวเป็นการจัดระเบียบการถือครองที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยเป็นการจัดให้แก่ราษฎรที่ครองครองทำกินอยู่เดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 เป็นนโยบายรัฐบาลที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำของสังคม กระจายสิทธิการถือครองให้ประชาชนในพื้นที่ โดยจัดสรรที่ดินให้แก่ผู้ยากไร้โดยไม่ต้องเป็นกรรมสิทธิ์แต่รับรองสิทธิร่วมในการจัดที่ดินของชุมชน การดำเนินการดังกล่าวเป็นการจัดระเบียบการถือครองที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยเป็นการจัดให้แก่ราษฎรที่ครองครองทำกินอยู่เดิมโดยจัดสรรให้ครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ เป็นเวลา 30 ปี โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ คณะกรรมการ คทช. กำหนด ในรูปแบบสหกรณ์หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสมตามสภาพพื้นที่
ซึ่งวันนี้ได้มีการมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนตามแนวทางของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เพื่อขจัดความยากจนและพัฒนาชนบทในลักษณะแปลงรวมโดยเป็นกลุ่มหรือชุมชน เป็นการพัฒนาศักยภาพการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการอนุญาตให้ชุมชนใช้ประโยชน์ในรูปแบบสหกรณ์ในลักษณะแปลงรวม ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จังหวัดน่าน รวม 4 พื้นที่ ได้แก่ อำเภอนาน้อย อำเภอท่าวังผา อำเภอสองแคว และ อำเภอเชียงกลาง โดยมีราษฎรที่จะได้รับสมุดประจำตัว คทช. จำนวน 1,000 ราย จำนวนพื้นที่ 1,787 แปลง ซึ่งประกอบด้วย ราษฎรในท้องที่ตำบลบัวใหญ่ อำเภอนาน้อย, ตำบลเป้อ อำเภอเชียงกลาง, ตำบลตาชุม อำเภอท่าวังผา และตำบลยอด อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาล ในการลดความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน อันเป็นการแก้ไขปัญหาการไร้ที่ดินทำกินของเกษตรกรผู้ยากไร้ที่ไม่มีที่ดินทำกินด้วยการกระจายสิทธิ์การถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมส่งผลให้ราษฎรที่ได้รับการจัดที่ดินดังกล่าว มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37338 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 สั่งการ กอปภ.จังหวัดที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปรับใช้แผนเผชิญเหตุ ระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือ ปชช.ให้ทั่วถึง | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
มท.1 สั่งการ กอปภ.จังหวัดที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปรับใช้แผนเผชิญเหตุ ระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือ ปชช.ให้ทั่วถึง
มท.1 สั่งการ กอปภ.จังหวัดที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปรับใช้แผนเผชิญเหตุ ระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือ ปชช.ให้ทั่วถึง
วันนี้ (4 ธ.ค. 63) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้พบว่าจากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างเข้าปกคลุมบริเวณอ่าวไทยและภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดสถานการณ์อุทกภัย น้ำไหลหลาก และวาตภัย ในหลายจังหวัดของพื้นที่ภาคใต้และยังคงมีสถานการณ์ในหลายพื้นที่ต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตร่างกายของประชาชน ตลอดจนเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชนและของรัฐเป็นอย่างมาก
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากอุทกภัย วาตภัย และคลื่นลมแรงในพื้นที่ภาคใต้ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ จึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดที่มีพื้นที่ประสบภัยดำเนินการ 7 ด้าน ได้แก่ 1) ปรับแผนเผชิญเหตุอุทกภัยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของพื้นที่ โดยหากประเมินสถานการณ์แล้วมีความรุนแรง ให้ระดมสรรพกำลังและบูรณาการกำลังพล อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องจักรสาธารณภัย จากหน่วยราชการ หน่วยทหาร ตำรวจ มูลนิธิ อาสาสมัคร ประชาชนจิตอาสา เป็นชุดปฏิบัติการ พร้อมแบ่งมอบพื้นที่เข้าช่วยเหลือประชาชนให้ชัดเจนและทั่วถึง โดยเฉพาะพื้นที่ที่ถูกตัดขาด ตลอดจนการดูแลพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สถานที่สำคัญต่าง ๆ 2) ให้ความสำคัญกับการสำรวจพื้นที่ประสบภัยและดำเนินการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยและเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในกรณีฉุกเฉินโดยทันที เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปด้วยความถูกต้อง มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และทั่วถึง โดยถือปฏิบัติตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด 3) ให้จัดสิ่งของจำเป็นในการดำรงชีพและจัดตั้งโรงครัวพระราชทานประกอบเลี้ยงบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างทั่วถึงจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ในทุกพื้นที่ที่ประสบภัยโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการอพยพประชาชน และในการแจกจ่ายถุงยังชีพและสิ่งของรับบริจาค ให้ดำเนินการด้วยความละเอียดรอบคอบและทั่วถึง โดยต้องคำนึงถึงคุณภาพตลอดจนหลักปฏิบัติของผู้นับถือศาสนาต่าง ๆ ด้วย 4) กรณีเส้นทางคมนาคมได้รับความเสียหายหรือถูกน้ำท่วมขังจนไม่สามารถใช้สัญจรผ่านได้ ให้เร่งประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อแขนงต่าง ๆ ทุกช่องทาง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกการจราจร จัดทำสัญลักษณ์หรือป้ายเตือน แนะนำเส้นทางเลี่ยงที่ปลอดภัย ตลอดจนมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบจัดยานพาหนะที่เหมาะสมให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยเร็ว 5) กำชับหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยในการเดินเรือ ด้วยการออกประกาศห้ามนำเรือเล็กออกจากฝั่งในช่วงที่มีคลื่นลมแรงโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนให้ดำเนินการทางกฎหมายในทุกกรณี 6) เน้นย้ำสร้างการรับรู้ให้ประชาชนรับทราบและเข้าใจสถานการณ์เป็นระยะ รวมทั้งวิธีปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย ช่องทางรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ และแนวทางแก้ไขปัญหาของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และ 7) ให้ความสำคัญกับการสรุปรายงานสถานการณ์และการให้ความช่วยเหลือให้กระทรวงมหาดไทยผ่านกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เน้นย้ำไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดพื้นที่ประสบภัยเร่งสำรวจพื้นที่ประสบภัยและตรวจสอบซ้ำเพื่อให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนเป็นไปอย่างทั่วถึง ครอบคลุมทุกพื้นที่ พร้อมทั้งดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด หากเกินอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดให้เร่งเสนอมายังส่วนกลาง เพื่อพิจารณาตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37339 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ กำชับเจ้าหน้าที่ในสังกัด “การ์ดอย่าตก” พร้อมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด 19 อย่างเคร่งครัด | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
ปลัดเกษตรฯ กำชับเจ้าหน้าที่ในสังกัด “การ์ดอย่าตก” พร้อมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด 19 อย่างเคร่งครัด
ปลัดเกษตรฯ กำชับเจ้าหน้าที่ในสังกัด “การ์ดอย่าตก” พร้อมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของ
โควิด 19 อย่างเคร่งครัด
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ผ่านระบบ ZOOM ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ตามรายงานของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2563 พบผู้ป่วยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา พิจิตร ราชบุรี สิงห์บุรี และกรุงเทพมหานคร โดยมีแนวโน้มขยายวงกว้างและรุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมและจำกัดการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงได้จัดการประชุมดังกล่าวขึ้น เพื่อสื่อสาร สร้างความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ดร.ทองเปลว กล่าวว่า เพื่อเป็นการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมและจำกัดการแพร่ระบาดของ COVID-19 จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ติดตามสถานการณ์จากความก้าวหน้าผลการสอบสวนผู้ป่วย และตรวจสอบ timeline ของผู้ป่วยโรค COVID-19 หากมีความเกี่ยวข้องกับข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างในสังกัด ขอให้พิจารณาดำเนินการตามมาตรการกักตัวจำนวน 14 วัน รวมถึงให้ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างในสังกัด ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้แก่ สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย หมั่นทำความสะอาดมือและอุปกรณ์ที่สัมผัส เว้นระยะห่างหรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น ใช้แพลตฟอร์มไทยชนะทุกครั้งที่ผ่านเข้า-ออก สถานที่สาธารณะ และงดเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง แต่หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปราชการในพื้นที่เสี่ยง ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และมาตรการตามข้อกำหนดของผู้ว่าราชการจังหวัด หรือหน่วยงานควบคุมโรคในพื้นที่อย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังให้หน่วยงานวางแผนล่วงหน้าในการปฏิบัติงาน สำหรับข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างในสังกัด กรณีให้ปฏิบัติราชการที่บ้าน (Work from Home) หากสถานการณ์การแพร่ระบาดมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น
“กระทรวงเกษตรฯ ได้มีการดำเนินการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติตามมาตรการของกรมควบคุมโรคมาโดยตลอด จากการจัดตั้งศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงขอกำชับในทุกหน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามและดำเนินการตามมาตรการตามประกาศของจังหวัดอย่างเคร่งครัด” ดร.ทองเปลว กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37320 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุชา” เตรียมลงพื้นที่ จ.สงขลา ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนและเจ้าหน้าที่ ติดตามสถานการณ์อุทกภัย รวมถึงประเมินสถานการณ์ และการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563
“อนุชา” เตรียมลงพื้นที่ จ.สงขลา ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนและเจ้าหน้าที่ ติดตามสถานการณ์อุทกภัย รวมถึงประเมินสถานการณ์ และการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“อนุชา” เตรียมลงพื้นที่ จ.สงขลา ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนและเจ้าหน้าที่ ติดตามสถานการณ์อุทกภัย รวมถึงประเมินสถานการณ์ และการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (4 ธันวาคม 2563) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย จากอิธิพลมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ทำให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก ดินสไลด์ และเกิดวาตภัยขึ้น ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นมา ทำให้จังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ได้รับผลกระทบ ซึ่งปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วมขังอยู่จำนวน 7 จังหวัด (สุราษฏร์ธานี กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา และยะลา) ทั้งนี้ จากรายงานกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสถานการณ์น้ำท่วมดังกล่าวอยู่ภายใต้การจัดการสาธารณภัยขนาดกลาง (ระดับ 2) โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยติดตาม วิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างให้ประกาศยกระดับการจัดการสาธารณภัย เป็นการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ (ระดับ 3) ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติต่อไป พร้อมเน้นย้ำให้ช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พรุ่งนี้ (5 ธันวาคม) นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ตนเอง พร้อมทีมงานลงพื้นที่อำเภอระโนดจังหวัดสงขลา เพื่อตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนและเจ้าหน้าที่ ติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดสงขลา รวมถึงประเมินสถานการณ์ และการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ จังหวัดสงขลามีพื้นที่ได้รับผลกระทบจำนวน 13 อำเภอ (เมืองสงขลา จะนะ สะเดา หาดใหญ่ ควนเนียง สิงหนคร นาหม่อม รัตภูมิ บางกล่ำ สทิงพระ ระโนด กระแสสินธุ์ คลองหอยโข่ง) 70 ตำบล 435 หมู่บ้าน 56,873 ครัวเรือน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุ นายกรัฐมนตรีกำชับการลงพื้นที่ ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนและกระทบต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ให้ความช่วยเหลือประชาชน เน้นย้ำให้ลงพื้นที่เพื่อไปรับทราบข้อมูลความเดือดร้อน พร้อมกับเร่งให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนต่อไป
---------------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37311 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล บินลัดฟ้าขึ้นเหนือเยือนเชียงใหม่ หนุนแรงงาน เสริมการท่องเที่ยว | วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563
นฤมล บินลัดฟ้าขึ้นเหนือเยือนเชียงใหม่ หนุนแรงงาน เสริมการท่องเที่ยว
รมช. แรงงาน ติดตามผลการขับเคลื่อนด้านแรงงาน เสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ตามนโยบาย สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ พร้อมตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ ย้ำ! การฝึกต้องเข้มข้น ทันสมัยและครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
วันที่ 12 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนด้านแรงงานที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามและรับฟังผลการดำเนินงานหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน พร้อมตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ ซึ่งมีการจัดฝึกอบรมให้แก่แรงงานในพื้นที่ ได้แก่ เยี่ยมชมกลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้าตำบลน้ำแพร่ อ.หางดง โดยกลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งนี้ เป็นศูนย์เรียนรู้และการศึกษาดูงานให้แก่นักศึกษาและนักท่องเที่ยว เข้ามาศึกษาดูงาน ทำให้สมาชิกของกลุ่มมีรายได้จากการจำหน่ายเสื้อผ้าด้วย และยังพบอีกด้วยว่า คณะทำงานมาจากแต่ละหมู่บ้านในตำบลน้ำแพร่มีความเข้มแข็ง องค์ความรู้ที่มีเกิดจากการได้ลงมือปฏิบัติจริง ทำให้สามารถถ่ายทอดได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้กลุ่มมีความรู้ความสามารถและทักษะฝีมือในการประกอบอาชีพตามที่ผ่านการฝึกอบรมการตัดเย็บ อย่างมีประสิทธิภาพ สวยงาม ออกแบบได้ตรงใจลูกค้าและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว
หลังจากนั้น ได้เดินทางตรวจเยี่ยมการฝึกอบรม ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ (สพร.19 เชียงใหม่) ได้แก่ การชงกาแฟสด อาหารจานด่วน และการตัดเย็บเสื้อพื้นเมือง ผู้เข้าอบรมเป็นกลุ่มแรงงานได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมแปลงผักสาธิต การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ระบบน้ำลึก และระบบควบคุมการปลูกพืชด้วยเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ภายใต้แนวคิด “ขอพื้นที่เหลือ เพื่อการทำเกษตรแบบพึ่งพาตนเองในสังคมเมือง” รวมถึงตรวจเยี่ยมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ระดับ 1 ผู้เข้าทดสอบเป็นแรงงานในสถานประกอบกิจการและบุคคลทั่วไป และในปีงบประมาณ 2564 สพร.19 เชียงใหม่ มีเป้าหมายพัฒนาฝีมือแรงงานในพื้นที่ จำนวน 29,310 คน ประกอบด้วย ดำเนินการเอง 2,210 คน และส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการดำเนินการอีก 27,100 คน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดเชียงใหม่รวมเยี่ยมชมกิจกรรมดังกล่าวด้วย
รมช.แรงงาน กล่าวต่ออีกว่า “จังหวัดเชียงใหม่ถือว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญในภาคเหนือของประเทศไทย ทั้งด้านการท่องเที่ยวและการเกษตร ดังนั้น การพัฒนาแรงงานต้องครอบคลุมทุกกลุ่ม ทั้งแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ สร้างแรงงานที่มีคุณภาพ ยกระดับมาตรฐานฝีมือให้สูงขึ้น และให้โอกาสแก่กลุ่มเปราะบาง สามารถเข้าถึงบริการของรัฐ ตามแนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนภารกิจต่อไป การพัฒนาทักษะฝีมือต้องสามารถตอบสนองต่อความต้องการของแรงงานในพื้นที่ และตรงกับตลาดต้องการด้วย จึงจะส่งผลให้แรงงานมีอาชีพ สร้างรายได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ขอให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ คัดเลือกหรือพัฒนาหลักสูตรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และบูรณาการการทำงานใน 5 เสือแรงงาน รวมถึงภาคีเครือข่ายอื่นๆ เพื่อให้การพัฒนาแรงงานมีคุณภาพอย่างยั่งยืนต่อไป”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37546 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ลุยเกี่ยวข้าวเปิดกิจกรรม “ข้าวใหม่ปลามัน” ชุมชนชาวบ้านแห้ว จ.ขอนแก่น พร้อมลงนาม MOU เพื่อส่งเสริมอาชีพการปลูกผัก | วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563
‘รมช.ประภัตร’ ลุยเกี่ยวข้าวเปิดกิจกรรม “ข้าวใหม่ปลามัน” ชุมชนชาวบ้านแห้ว จ.ขอนแก่น พร้อมลงนาม MOU เพื่อส่งเสริมอาชีพการปลูกผัก
‘รมช.ประภัตร’ ลุยเกี่ยวข้าวเปิดกิจกรรม “ข้าวใหม่ปลามัน” ชุมชนชาวบ้านแห้ว จ.ขอนแก่น พร้อมลงนาม MOU เพื่อส่งเสริมอาชีพการปลูกผัก ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิด ”กิจกรรมข้าวใหม่ปลามัน” บ้านฉันจังซี่ ชุมชนชาวบ้านแห้ว อำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยข้าราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี ดร.สมศักดิ์ จังตระกูล
ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และชาวชุมชนบ้านแห้วให้การต้อนรับ ว่า การจัดกิจกรรมข้าวใหม่ปลามัน บ้านฉันจังซี่ ชุมชนชาวบ้านแห้ว เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมดั้งเดิมของวิถีชีวิตชุมชนในการจัดทำกิจกรรมการลงแขกเกี่ยวข้าวและเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบวิถีชุมชน และส่งเสริมผลิตภัณฑ์ OTOP ตามนโยบายรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยใช้พื้นที่สาธารณะหนองทุ่งมน ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 100 ไร่ ปัจจุบันกลุ่มชุมชนบ้านแห้วได้ใช้พื้นที่ส่วนนี้ทำการเกษตร เพื่อนำรายได้มาพัฒนาหมู่บ้าน นอกจากนี้ชุมชนบ้านแห้ว
ยังมีแผนแนวทางพัฒนาส่งเสริมอาชีพปลูกผักเพื่อส่งออกสู่ตลาด โดยมีตลาดศรีเมืองทองซึ่งร่วมบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)เพื่อส่งเสริมอาชีพการปลูกผักชุมชนบ้านแห้ว
รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า ด้วยนโยบายการพัฒนาสร้างความข้มแข็งจากฐานรากของรัฐบาล ได้ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนและผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งหมายถึงผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ได้แก่ ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว พืชผักสวนครัวและสัตว์เลี้ยง รวมไปถึงผลผลิตสิ่งทอ เครื่องจักรสาน ได้แก่ ผ้าขาวม้า ผ้าทอมือ ไม้กวาด เป็นต้น ซึ่งเป็นผลผลิตสำคัญของชาวชุมชนบ้านแห้ว
การพัฒนาคุณภาพข้าวและการเพิ่มผลผลิตข้าว รวมถึงการเพิ่มพูนความรู้ในการพัฒนาคุณภาพ
ข้าวให้กับเกษตรกร ล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่เกษตรกร ซึ่งเป็นไปตามนโยบายดังกล่าวทั้งสิ้น
การจัดกิจกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นการกระตุ้นทั้งทางด้านการท่องเที่ยวแบบวิถีชุมชนและการเกษตร ให้กับชาวชุมชนบ้านแห้ว พร้อมกับการมีตลาดรองรับที่แน่นอน
นายประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังได้มีการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างตลาดศรีเมืองทอง กลุ่มเกษตรกรปลูกผักบ้านแห้ว และหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เห็นชอบและตระหนักร่วมกันว่าการส่งเสริมอาชีพการปลูกพืชผัก ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานปลอดภัยตามระบบ GAP ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค และสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในระยะเวลาสั้นตามหลัก “ตลาดนำการผลิต” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน และเพื่อให้การส่งเสริมอาชีพการปลูกผักชุมชนบ้านแห้ว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครบทุกขั้นตอน เป็นภารกิจสำคัญของทุกหน่วยงานที่ต้องร่วมกันดำเนินงานต่อไป
โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมเกี่ยวข้าวกับชาวชุมชนบ้านแห้ว จากนั้นเยี่ยมชมนิทรรศการ ร้านค้าของชุมชน อาทิ กลุ่มหัตถกรรมค้ำคูณ แผงผักหยอดเหรียญโรงเรียนบ้านแห้ว แผงผักขายดีสถานีพอเพียง และมอบเมล็ดพันธ์ุข้าวและเมล็ดพันธ์ุพริก และปล่อยพันธุ์ปลา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37545 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต ชวนคนไทยออกกำลังกาย “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 3” ห่างไกลโรค สุขภาพดีรับปีใหม่ | วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563
สาธิต ชวนคนไทยออกกำลังกาย “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 3” ห่างไกลโรค สุขภาพดีรับปีใหม่
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสารารณสุข เปิดตัวกิจกรรมก้าวท้าใจ ซีซั่น 3 ชวนคนไทยออกกำลังกายอย่างถูกวิธี สร้างสุขภาพดี รับปีใหม่ เปิดรับสมัครในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เริ่มสะสมระยะทาง, ระยะเวลา และบันทึกสะสมแต้มสุขภาพ (Health point)
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสารารณสุข เปิดตัวกิจกรรมก้าวท้าใจ ซีซั่น 3 ชวนคนไทยออกกำลังกายอย่างถูกวิธี สร้างสุขภาพดี รับปีใหม่ เปิดรับสมัครในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เริ่มสะสมระยะทาง, ระยะเวลา และบันทึกสะสมแต้มสุขภาพ (Health point) ตั้งแต่มีนาคม - มิถุนายน เป้าหมาย 100 วัน 100 กิโลเมตร 1 ล้านคน และครบ 2 ล้านคนภายในปี 2564
วันนี้ (12 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์กีฬาสะพานหิน เทศบาลนครภูเก็ต จ.ภูเก็ต ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดตัวโครงการมหกรรม “ภูเก็ต ท้าใจ ชวนพลพรรค รักษ์สุขภาพ” พื้นที่เขตสุขภาพที่ 11ภายใต้โครงการก้าวท้าใจ ซีซั่น 3 พร้อมด้วยนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย โดยดร.สาธิต ให้สัมภาษณ์ว่า ในปี 2564 กระทรวงสาธารณสุขชวนคนไทยสร้างสุขภาพดี รับปีใหม่ด้วยการออกกำลังกายทุกรูปแบบ จัดกิจกรรม “ก้าวท้าใจ” ต่อเนื่องเป็นซีซั่น 3 ซึ่งผลงานก้าวท้าใจทั้ง 2 ซีซั่นที่ผ่านมา และโครงการ 10 ล้านครอบครัวไทยออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ พบว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ มีประชาชนทั่วประเทศให้ความสนใจ ลงทะเบียนร่วมโครงการถึง 1,344,328 คน โดยมีพลังงานสะสมรวม 1,153,009,863 กิโลแคลลอรี และมียอดสะสมของระยะทาง เดิน-วิ่ง รวม 15,005,096 กิโลเมตร ปั่นจักรยาน 2,815,318 กิโลเมตร แอโรบิค 20,534,603 นาที คีตะมวยไทย 3,429,236 นาที โยคะ 3,987,730 นาที และบอดี้เวทเทรนนิ่ง 6,218,454 นาที
สำหรับก้าวท้าใจ ซีซั่น 3 จะเปิดรับสมัครในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เริ่มสะสมระยะทาง, ระยะเวลา และบันทึกสะสมแต้มสุขภาพ (Health point) ตั้งแต่เดือนมีนาคม - มิถุนายน 2564 มีเป้าหมาย 100 วัน 100 กิโลเมตร 1 ล้านคน และตั้งเป้าครบ 2 ล้านคนภายในปี 2564 โดยให้ภาคีเครือข่าย และหน่วยงานในสังกัด ทั้งเขตสุขภาพ 13 เขต สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ร่วมกิจกรรมและรณรงค์ให้กลุ่มเป้าหมายในสถานประกอบการ และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ ติดตามรายละเอียดได้ที่ https://activefam.anamai.moph.go.th/ หรือสอบถามกองกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย โทร. 0 2590 4413
“การเปิดตัวโครงการที่จังหวัดภูเก็ตในครั้งนี้ เป็นการสร้างกระแสความตื่นตัวเรื่องการออกกำลังกายที่เหมาะสม ถูกวิธี และทำอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแรงระบบการไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ กล้ามเนื้อและกระดูก ลดการป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ลดภาระค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาล รวมทั้งยังทำให้เกิดความกระตือรือร้น ลดความเครียด และภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วย” ดร.สาธิตกล่าว
********************************* 12 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37542 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำมาตรการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงแพร่สัมผัสเชื้อได้ | วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563
สธ.ย้ำมาตรการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงแพร่สัมผัสเชื้อได้
กระทรวงสาธารณสุข เผยเน้นย้ำมาตรการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะทุกครั้งอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ได้ ส่วนการจัดกิจกรรมต่างๆทำได้ ขอให้ผู้จัด ผู้ร่วมกิจกรรมและเจ้าหน้าที่ เคร่งครัดมาตรการที่กำหนด
กระทรวงสาธารณสุข เผยเน้นย้ำมาตรการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะทุกครั้งอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ได้ ส่วนการจัดกิจกรรมต่างๆทำได้ ขอให้ผู้จัด ผู้ร่วมกิจกรรมและเจ้าหน้าที่ เคร่งครัดมาตรการที่กำหนด พร้อมขอประชาชนรับฟังข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐเป็นหลัก ให้ตระหนักแต่ไม่ตระหนก ตื่นตัวไม่ตื่นตูม
วันนี้ (12 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 โดยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ว่า ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อรวม 49 ราย โดยสถานการณ์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ติดเชื้อจากเมียนมาทั้งหมดเข้าสู่ระบบช่องทางปกติเข้ารับการกักตัวในสถานกักกันของรัฐทั้งหมด (Local Quarantine) แสดงให้เห็นว่ามีมาตรการที่รัดกุมไม่พบผู้ติดเชื้อที่ลักลอบเข้าประเทศ ซึ่งวานนี้ (11 ธันวาคม) จ.เชียงรายร่วมกับ จ.ท่าขี้เหล็ก จัดระบบให้คนไทยที่ตกค้างเดินทางกลับอย่างถูกกฎหมาย มีผู้แสดงความจำนงแล้ว 107 คน เป็นผู้ใหญ่ 104 คน และเด็ก 3 คน โดยเมียนมาได้ตรวจหาเชื้อก่อนการเดินทางพบผู้ติดเชื้อ 5 คน ส่งไปดูแลรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ทันที นับเป็นการสร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีการแพร่เชื้อสู่ชุมชน ส่วนผู้ที่ไม่พบการติดเชื้อจะเข้ากักตัวในสถานกักตัวของรัฐที่ทาง จ.เชียงรายจัดให้ พร้อมตรวจหาเชื้อทันที ซึ่งในกลุ่มนี้ได้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 4 ราย เข้าสู่ระบบการรักษา รวมมีผู้ติดเชื้อเป็น 9 ราย
ทั้งนี้ จ.เชียงราย ได้เตรียมอุปกรณ์ ยารักษาโรค ห้องแยกโรคไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลพร้อมดูแลคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ แต่ขอให้เข้ามาอย่างถูกกฎหมายจะได้รับการอำนวยความสะดวก ครอบครัว ชุมชน สังคมปลอดภัย ขอย้ำว่าผู้ที่เดินทางมาจาก จ.เชียงใหม่ /เชียงราย ไม่ต้องกักตัวโดยผู้ที่ต้องเข้ารับการกักตัว และตรวจหาเชื้อ คือผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ได้แก่ คนในครอบครัว ผู้ที่พูดคุยกับผู้ติดเชื้อเกิน 5 นาที ในระยะไม่เกิน 1 เมตร ผู้ที่ไอ/จามรดกัน และการอยู่ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เกิน 15 นาที ซึ่งการสวมหน้ากากอนามัยจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ ผู้ที่เดินทางมาจาก 7 จังหวัด และไม่ได้พบปะใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อในช่วงเวลานั้นๆ รวมถึงการผู้ที่สัมผัสพูดคุยกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงด้วยถือว่าไม่มีความเสี่ยง สามารถเดินทางได้ตามปกติ
นายแพทย์โอภาส กล่าวต่อว่า การสวมหน้ากากอนามัยยังเป็นมาตรการสำคัญที่ป้องกันการแพร่กระจายของโรค จากการสำรวจพบว่าคนไทยสวมหน้ากากอนามัยสูงมากกว่าร้อยละ 90 ซึ่งช่วยให้ป้องกันการแพร่ระบาดได้ และหากทุกคนสวมหน้ากากความปลอดภัยจากโรคโควิด 19 จะสูงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ลงอย่างชัดเจนมากกว่า 10 เท่า ยืนยันว่าการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีทุกครั้งในที่สาธารณะ เป็นมาตรการสำคัญลดโรคติดต่อทางเดินหายใจได้ อย่างไรก็ตาม เชื้อโควิด 19 มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น เชื้อมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดทั่วโลกกว่าร้อยละ 80 ในขณะนี้คือสายพันธุ์ G ซึ่งแตกต่างสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดจากอู่ฮั่น โดยสายพันธุ์ G มีแนวโน้มการแพร่กระจายของโรคได้ง่ายกว่าเดิม แต่ความรุนแรงของโรคน้อยลง การทดสอบในวัคซีนถือว่ามีประสิทธิภาพดีเกินกว่าร้อยละ 70 และจากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวพบว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศอินเดีย เข้าสู่เมียนมาและเข้าสู่ประเทศไทย สามารถควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดได้
“ขอยืนยัน ขณะนี้ประเทศไทยไม่มีจุดใดที่มีการระบาด การจัดกิจกรรมต่างๆทำได้ โดยขอให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการดังนี้ 1)ผู้จัดงาน ต้องเตรียมมาตรการต่างๆ ให้พร้อม เช่น ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสวมหน้ากากอนามัย จัดจุดล้างมือให้เพียงพอ สแกนไทยชนะ และแจ้งข้อมูลข่าวสารให้ผู้ร่วมงานรับทราบ 2)ผู้เข้าร่วมงาน ขอให้สวมหน้ากากอนามัยแม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่กลางแจ้งอากาศถ่ายเทสะดวก เมื่อมีการสัมผัสจุดร่วมให้ล้างมือทำความสะอาด สแกนไทยชนะ และเมื่อกลับจากร่วมกิจกรรม ให้สังเกตอาการ หากไม่สบาย มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรสให้ไปพบแพทย์และแจ้งประวัติการเข้าร่วมกิจกรรม 3) เจ้าหน้าที่ ให้ติดตามกำกับผู้ประกอบกิจกรรม หากพบว่าไม่ให้ความร่วมมือ ต้องตักเตือน หากยังไม่ปฏิบัติตาม ให้แจ้งระงับกิจกรรม หรือปิดสถานที่ หากทุกคนร่วมมือกันจะทำให้ท่องเที่ยวได้อย่างมีความสุข” นายแพทย์โอภาส กล่าว
ด้าน นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคกล่าวถึงกรณีผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ หลังจากรายที่ 1 พบการติดเชื้อ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563 ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน มีการค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง พบบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อเพิ่ม 4 ราย (รายที่ 2,3,4,5) ต่อมาเมื่อตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 พบเพิ่มอีก 1 ราย (รายที่ 6) ขณะนี้ทุกรายอยู่ในการดูแลของแพทย์และอาการน้อย ไม่รุนแรง สำหรับผู้ติดเชื้อรายล่าสุด เพศหญิง อายุ 29 ปี เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 31 ราย ในระบบเฝ้าระวัง พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 โดยสรุปผลตรวจผู้สัมผัสของกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมด มีผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 888 ราย ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 51 ราย พบติดเชื้อเพียง 1 ราย (รายที่6) ซึ่งรายนี้มีผู้สัมผัส 10 คน ได้รับการตรวจหาเชื้อแล้วทั้งหมดผลเป็นลบ สถานการณ์สามารถควบคุมได้ และต้องติดตามสังเกตอาการจนครบ 14 วัน
ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์การพบผู้ลักลอบเดินทางจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ขณะนี้สามารถติดตามได้ทั้งหมด เป็นการติดเชื้อจากการอยู่ใกล้ชิดกัน ถือว่ายังไม่เป็นการระบาด อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้าสู่ระบบการตรวจคัดกรอง และกักกันที่ถูกต้องจากระบบโดยระบบการแพทย์และสาธารณสุขของไทยมีประสิทธิภาพ ควบคุมสถานการณ์ได้ ทั้งนี้ กลไกสำคัญที่สุดของการควบคุมโรค คือ ความร่วมมือของประชาชน ไม่ตื่นตระหนก ไม่ตื่นตูม “ตระหนักแต่ไม่ตระหนก” และ “ตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตูม” ขอให้ช่วยกันเฝ้าระวัง สังเกตผู้ที่เข้ามาทางพื้นที่ชายแดน หรือมีประวัติว่าได้อยู่ใกล้ชิดสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ หากเราร่วมมือกันตั้งแต่ต้นทาง ก็จะไม่ทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น รวมถึงการสแกนไทยชนะ ถึงแม้ไม่ได้ช่วยป้องกันโรค แต่จะช่วยให้ทราบว่าเราไปในสถานที่แห่งนั้น หากพบผู้ติดเชื้อ ระบบจะแจ้งเตือนให้ไปตรวจทันที ช่วยให้ตนเอง คนรอบข้าง และสังคม มีความปลอดภัย"
สำหรับสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยประจำวันที่ 12 ธันวาคม 2563 มีผู้ป่วยรายใหม่ 12 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 12 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 4,192 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,462 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,730 ราย เข้าสถานที่กักกัน 1,204 ราย หายป่วยสะสม 3,915 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 217 ราย และเสียชีวิตสะสม 60 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกันตามระบบ ได้แก่ เยอรมนี สวีเดน สหราชอาณาจักร อินเดีย คูเวตประเทศละ 1 ราย และบาเรนห์ 7 ราย แบ่งเป็นคนไทย 9 ราย และคนต่างชาติ 3 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตามระบบแล้ว โดยเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ 11 ราย มีอาการ1 ราย คือ ปวดศีรษะ
ส่วนสถานการณ์ในต่างประเทศ ทั่วโลกยังคงมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการแพร่ระบาดส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรปและอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูหนาวทำให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจได้ง่าย เช่น ไข้หวัดใหญ่ โดยในวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 702,513 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อทั่วโลก 71,432,996 ราย ซึ่งคาดจำนวนผู้ติดเชื้อจริงอาจมากกว่าที่ได้รับรายงานอยู่มากโดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 16.2 ล้านราย อินเดีย 9.8 ล้านราย บราซิล 6.8 ล้านราย รัสเซีย 2.5 ล้านราย ฝรั่งเศส 2.3 ล้านราย
********************************* 12 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37547 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดเส้นทางทั้ง 59 สถานี เชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด พร้อมทดลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีทองไร้คนขับสายแรกของไทยเที่ยวปฐมฤกษ์ 16 ธ.ค.นี้ | วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดเส้นทางทั้ง 59 สถานี เชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด พร้อมทดลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีทองไร้คนขับสายแรกของไทยเที่ยวปฐมฤกษ์ 16 ธ.ค.นี้
นายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดเส้นทางทั้ง 59 สถานี เชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด ปทุมธานี-กรุงเทพ-สมุทรปราการ พร้อมทดลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีทองไร้คนขับสายแรกของไทยเที่ยวปฐมฤกษ์ 16 ธ.ค.นี้
นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะเป็นประธานการเปิดบริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคตและโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทองโดยนายกรัฐมนตรีและสื่อมวลชนจะได้ร่วมโดยสารรถไฟฟ้าสายสีทองที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียวจากสถานีกรุงธนบุรีไปยังสถานีคลองสานเพื่อเป็นการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีทองเที่ยวปฐมฤกษ์ในวันพุธที่16 ธันวาคมนี้ด้วยการพัฒนาระบบรถขนส่งมวลชนแบบไร้รอยต่อระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีทองนี้ทำให้สามารถเชื่อมการเดินทางของประชาชนถึง3จังหวัดคือปทุมธานีกรุงเทพฯและสมุทรปราการเพิ่มทางเลือกในการเดินทางสำหรับประชาชนรวมทั้งรถไฟฟ้าสายสีทองยังเป็นระบบรถไฟฟ้าล้อยางไร้คนขับสายแรกของประเทศไทยช่วยลดมลพิษและประหยัดพลังงานอีกด้วย
ทั้งนี้ การเปิดให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคตเพิ่มจำนวน7สถานี(สถานีพหลโยธิน59สถานีสายหยุดสถานีสะพานใหม่สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดชสถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศสถานีแยกคปอ.และสถานีคูคต)ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายเป็นผลให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวประสบความสำเร็จในการเปิดให้บริการครบทุกสถานี ตลอดเส้นทางทั้ง59สถานีรวมระยะทางกว่า68กิโลเมตรคาดว่าเมื่อรวมกับเส้นทางที่เปิดสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง1,500,000เที่ยว/คนต่อวัน ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีทองเป็นโครงการขนส่งมวลชนขนาดรองระยะที่1มีระยะทาง1.8กิโลเมตรประกอบด้วย3สถานี คือกรุงธน-เจริญนคร-คลองสาน เป็นระบบขนส่งมวลชนแบบนำทางอัตโนมัติAutomated Guideway Transit (AGT)หรือรถไฟฟ้าระบบAutomated People Mover (APM) คาดการณ์ผู้โดยสาร42,000เที่ยวคน/วันซึ่งสามารถเชื่อมโยงการเดินทางด้วยระบบล้อรางรวมทั้งการเดินทางด้วยเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่าการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลทั้ง14สายระยะทางกว่า553.41กิโลเมตรปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว9เส้นทางและตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปจะมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าในทุกๆปีเช่น2564ได้แก่สีแดงเข้ม(บางซื่อ-รังสิต) สีแดงอ่อน(บางซื่อ–ตลิ่งชัน)ปี2565 สีชมพู(แคราย-มีนบุรี) สีเหลือง(ลาดพร้าว-สำโรง)และปี2566 สีแดงเข้ม(รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต) สีแดงอ่อน(ตลิ่งชัน-ศาลายา) -สีแดงอ่อน(ตลิ่งชัน-ศิริราช)เป็นต้น “ทั้งนี้รัฐบาลยังมีการลงทุนพัฒนาระบบรางทั้งรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่รถไฟทางสายใหม่และรถไฟความเร็วสูงที่อยู่รหว่างการดำเนินสูงถึง1.5ล้านล้านบาทเพื่อเป็นแกนหลักการเดินทางและขนส่งของประเทศยกระดับการเดินทางของประชาชนในกรุงเทพฯและภูมิภาคต่างๆให้มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน”โฆษกรัฐบาลกล่าวย้ำ
..................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37544 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทุกเสาร์ต่อเนื่องถึงปีใหม่ ปลื้มประชาชนสนใจเข้าร่วมจำนวนมาก | วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563
รัฐบาลจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทุกเสาร์ต่อเนื่องถึงปีใหม่ ปลื้มประชาชนสนใจเข้าร่วมจำนวนมาก
รัฐบาลจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทุกเสาร์ต่อเนื่องถึงปีใหม่ ปลื้มประชาชนสนใจเข้าร่วมจำนวนมาก
นายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากการที่รัฐบาลโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทุกวันเสาร์เพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับแผ่นดินและในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ5ธันวาคม2563พบว่าประชาชนสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมากจึงได้เสนอไปยังมหาเถรสมาคมพิจารณาจัดพิธีต่อเนื่องนั้น
สำหรับวันนี้พบว่าหลายจังหวัดมีการจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์อย่างต่อเนื่องโดยในพื้นที่กรุงเทพมหานครจัดขึ้นที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหารโดยมีสมเด็จพระวันรัตกรรมการมหาเถรสมาคมเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหารเป็นประธานฝ่ายสงฆ์มีประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมากซึ่งประชาชนส่วนมากเคยมาร่วมพิธีแล้วและเมื่อได้รับข่าวสารขยายเวลาการจัดพิธีจนถึงสิ้นปีจึงทยอยมาร่วมพิธีในวันนี้นอกจากนี้ยังมีประชาชนบางส่วนที่เคยร่วมพิธีเป็นครั้งแรกโดยส่วนมากมองว่าเป็นกิจกรรมที่ดีได้ร่วมน้อมนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาไปถือปฏิบัติในช่วงที่ประเทศไทยเผชิญปัญหาหลายด้านอีกทั้งยังเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่9แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์
สำหรับพิธีเจริญพระพุทธมนต์วันเสาร์อีก2ครั้งก่อนสิ้นปีตรงกับวันเสาร์ที่19ธันวาคม2563และวันเสาร์ที่26ธันวาคม2563โดยกำหนดจัดพิธีพร้อมกันทั่วประเทศเวลา10.00น.เป็นต้นไปประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและใกล้เคียงสามารถเข้าร่วมพิธีได้ที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหารประชาชนต่างจังหวัดสามารถเข้าร่วมพิธีได้ที่วัดประจำจังหวัดหรืออำเภอหรือสถานที่ตามที่ทางจังหวัดเห็นสมควรจึงขอเชิญประชาชนเข้าร่วมพิธีตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน
.................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37543 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” ชี้ช่อง ช่วยสถานประกอบกิจการฟื้นฟูกิจการหลังน้ำลด ด้วยเงินกองทุนความปลอดภัยฯ | วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563
“สุชาติ” ชี้ช่อง ช่วยสถานประกอบกิจการฟื้นฟูกิจการหลังน้ำลด ด้วยเงินกองทุนความปลอดภัยฯ
“สุชาติ” ชี้ช่องทางช่วยเหลือสถานประกอบกิจการในพื้นที่ภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม กู้เงินกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ด้วยดอกเบี้ยต่ำ ปลอดเงินต้นในปีแรก ฟื้นฟูกิจการหลังน้ำลด
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ มีสถานประกอบกิจการและลูกจ้างได้รับผลกระทบหลายแห่ง ซึ่งได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในแต่ละจังหวัดที่ได้รับผลกระทบลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือดำเนินการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับนายจ้าง สถานประกอบกิจการ และลูกจ้าง โดยในระยะแรกให้สำนักงานสวัสดิการและ คุ้มครองแรงงานจังหวัด เข้าไปตรวจเยี่ยมสถานประกอบกิจการที่ประสบปัญหาอุทกภัย ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ตามความเหมาะสมและขอความร่วมมือจากนายจ้างให้ผ่อนผันเวลาทำงาน หรืออนุญาตให้ลูกจ้างที่ไม่สามารถมาทำงานได้ตามปกติสามารถหยุดงานโดยไม่ถือเป็นวันลาระยะที่สองดำเนินการบรรเทาความเดือดร้อนหลังจากน้ำลด ซึ่งสถานประกอบกิจการที่เกิดปัญหาเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์การผลิตเกิดความเสียหาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้างได้ จึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนำเงินกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานมาให้สถานประกอบกิจการกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไปเป็นเงินทุนในการปรับปรุงซ่อมแซมเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีความพร้อมในการผลิตหรือดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างปลอดภัย
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเสริมว่า เงินกองทุนดังกล่าวจัดตั้งขึ้น ตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน การแก้ไขสภาพความไม่ปลอดภัย การป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและโรคอันเนื่องจากการทำงาน รวมทั้งการดำเนินกิจกรรมใด ๆ เพื่อการส่งเสริมและการพัฒนางานด้านความปลอดภัยฯ ภายในกรอบวงเงิน300ล้านบาท โดยนายจ้าง สถานประกอบกิจการสามารถกู้ยืมไปฟื้นฟูกิจการหลังน้ำลดได้โดยไม่จำกัดวงเงินตามแต่ความต้องการ และเหตุผลที่เหมาะสมในการปรับปรุง ซ่อมแซม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อการทำงานของลูกจ้าง ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ2ต่อปี ผ่อนชำระไม่เกิน5ปี ปลอดเงินต้นในปีแรก ทั้งนี้ หากสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2448 9128-39 ต่อ 801-2 หรือที่[email protected]
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37536 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ตรวจเยี่ยมศพก.การเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ สนับสนุนสร้างรายได้อาหารแห่งอนาคต | วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563
‘รมช.ประภัตร’ ตรวจเยี่ยมศพก.การเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ สนับสนุนสร้างรายได้อาหารแห่งอนาคต
‘รมช.ประภัตร’ ตรวจเยี่ยมศพก.การเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ สนับสนุนสร้างรายได้อาหารแห่งอนาคต
วันที่ 11 ธันวาคม 2563 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสลงพื้นที่เยี่ยมชม ศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) การเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ว่า ปัจจุบันแปลงการเรียนรู้ตามระบบส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ “จิ้งหรีด” จังหวัดขอนแก่น ของนายเพ็ชร วงศ์ธรรม มีการเลี้ยงจิ้งหรีดระบบปิด จำนวน 11 บ่อ ซึ่งเป็นแปลงเรียนรู้และเป็นตัวอย่างของชุมชน ซึ่งแมลงนับเป็นแหล่งอาหารชั้นดีและราคาไม่แพง ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่า จิ้งหรีด 4 ตัว ให้คุณค่าทางแคลเซียมเท่ากับดื่มนม 1 แก้ว จิ้งหรีดมีคุณค่าทางโปรตีน
“ในอุตสาหกรรมอาหารต่างประเทศจิ้งหรีดเป็นที่ต้องการของตลาด มีการนำไปทำเส้นพาสต้า โปรตีนผง คุกกี้จิ้งหรีด ดังนั้นจึงต้องสนับสนุนส่งเสริมให้เกษตรกรไทยได้รับความรู้ ส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออก สร้างรายได้ อาชีพทางเลือก เพิ่มศักยภาพใหม่ให้กับชุมชน ได้มีทางเลือกที่หลากหลาย” นายประภัตร กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37539 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยันไม่มีการแพร่ระบาดใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยกรณีท่าขี้เหล็ก จัดกิจกรรม/ท่องเที่ยวได้ กลับมาไม่ต้องกักตัว | วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563
สธ.ยันไม่มีการแพร่ระบาดใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยกรณีท่าขี้เหล็ก จัดกิจกรรม/ท่องเที่ยวได้ กลับมาไม่ต้องกักตัว
กระทรวงสาธารณสุข ยันไม่มีการแพร่ระบาดใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยโควิด 19 กรณีท่าขี้เหล็ก ถือว่ามีความปลอดภัยเท่าจังหวัดอื่นๆ ประชาชนสามารถท่องเที่ยวได้ เดินทางกลับมาไม่ต้องกักตัว ส่วนช่วงวันหยุดยาวจัดกิจกรรมได้ เน้นคัดกรองวัดไข้ ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นร
กระทรวงสาธารณสุข ยันไม่มีการแพร่ระบาดใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยโควิด 19 กรณีท่าขี้เหล็ก ถือว่ามีความปลอดภัยเท่าจังหวัดอื่นๆ ประชาชนสามารถท่องเที่ยวได้ เดินทางกลับมาไม่ต้องกักตัว ส่วนช่วงวันหยุดยาวจัดกิจกรรมได้ เน้นคัดกรองวัดไข้ ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง สแกนไทยชนะ ทำความสะอาดห้องน้ำ สังเกตอาการตนเองหลังเดินทางกลับ สำหรับผู้ป่วยโควิด 19 วันนี้มีติดเชื้อเพิ่ม 11 ราย มาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวทั้งหมด
วันนี้ (11 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19
นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยประจำวันที่ 11 ธันวาคม มีผู้ป่วยรายใหม่ 11 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 15 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 4,180 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,462 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,718 ราย เข้าสถานที่กักกัน 1,192 ราย หายป่วยสะสม 3,903 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 217 ราย และเสียชีวิตสะสม 60 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกันตามระบบ ได้แก่ เมียนมา 3 ราย ซาอุดิอาระเบีย และบาห์เรน ประเทศละ 2 ราย เกาหลีใต้ สวีเดน สหรัฐอเมริกา และโปรตุเกส ประเทศละ 1 ราย แบ่งเป็นคนไทย 8 ราย และคนต่างชาติ 3 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตามระบบแล้ว โดยเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ 6 ราย ติดเชื้อมีอาการ 5 ราย ส่วนใหญ่มีไข้ น้ำมูก ปวดศีรษะ และเจ็บคอ
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่จากเมียนมา 3 ราย ซึ่งอยู่ในสถานกักกันที่รัฐจัดให้หลังเดินทางกลับมาจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ทำให้ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา รวมเป็น 49 ราย แบ่งเป็นลักลอบเข้ามาตามเส้นทางธรรมชาติ 17 ราย เข้ามาอย่างถูกต้องและเข้าสถานกักกันที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine) 30 ราย และติดเชื้อในประเทศ 2 ราย กระจายในจ.เชียงใหม่ 5 ราย เชียงราย 37 ราย พะเยา 1 ราย กทม. 3 ราย พิจิตร 1 ราย ราชบุรี 1 ราย และสิงห์บุรี 1 ราย
ขณะที่สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลกมีผู้ป่วยสะสมรวม 70.7 ล้านราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6.76 แสนราย อาการหนัก 106,710 ราย คิดเป็น 0.2 เปอร์เซ็นต์ เสียชีวิตรวม 1.58 ล้านราย เสียชีวิตเพิ่ม 1.2 หมื่นราย คิดเป็น 2.2 เปอร์เซ็นต์ ถือว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 16 ล้านรายอินเดีย 9.79 ล้านรายบราซิล 6.78 ล้านราย รัสเซีย 2.56 ล้านราย และฝรั่งเศส 2.33 ล้านรายส่วนสถานการณ์ของทวีปเอเชียที่พบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อินเดีย บังกลาเทศ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และเมียนมา โดยเฉพาะเมียนมามีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 1,321 ราย ยอดผู้ป่วยสะสมรวม 104,487 ราย และมาเลเซียมีผู้ป่วยรายใหม่ 2,234 ราย ผู้ป่วยสะสม 78,499 ราย จึงยังต้องเฝ้าระวังชายแดนอย่างเข้มข้น
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจาก จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ขณะนี้สามารถควบคุมได้ จากการตรวจผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ และการคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่รวมกว่า 7 พันคน ผลเป็นลบ มีการติดเชื้อเพียง 2 รายอยู่ในการดูแลรักษาแล้ว และผู้ติดเชื้อที่เคยพบใน 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ กทม. พะเยา พิจิตร ราชบุรี และสิงห์บุรี ได้ระดมความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าควบคุมและติดตามผู้สัมผัสได้รวดเร็ว ส่งผลให้ไม่มีการระบาดเป็นวงกว้าง ถือว่ามีความปลอดภัยเท่ากับจังหวัดอื่น ดังนั้น ขอความร่วมมือภาคเอกชนทำความเข้าใจตรงกันว่า ผู้ที่เดินทางกลับมาจากจังหวัดเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องกักตัว ส่วนกรณีชายไทยลักลอบเดินทางเข้าประเทศทาง อ.แม่สอด จ.ตาก เดินทางโดยรถตู้สายแม่สอด-มุกดาหาร ไป จ.นครพนม อสม.เป็นผู้พบความผิดปกติ ทำให้ควบคุมบุคคลนี้ได้ เมื่อตรวจหาเชื้อผลเป็นลบ ไม่มีการติดเชื้อตามที่เป็นข่าว และติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดแล้ว อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการควบคุมโรค และติดตามผู้สัมผัส เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนและประชาชน เมื่อเราร่วมมือกันเช่นนี้ ประเทศจะปลอดภัย ประชาชนสามารถไปพักผ่อนท่องเที่ยวได้
สำหรับช่วงวันหยุดยาว การจัดงานรื่นเริงต่าง ๆ สามารถจัดได้ เนื่องจากไม่มีพื้นที่จังหวัดไหนที่มีการแพร่ระบาด เน้นขอความร่วมมือผู้จัดงานปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค มีจุดคัดกรองวัดไข้ ลงทะเบียนไทยชนะ จัดอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากาก เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ มีการแยกกิจกรรมเพื่อไม่ให้เกิดการปะปนมากเกินไป ส่วนบริเวณที่มีความเสี่ยงติดเชื้อ เช่น ห้องน้ำ ต้องทำความสะอาดบ่อยๆ บริเวณขายอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ค้าจะต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาและเว้นระยะห่าง หรือบริเวณหน้าเวทีระวังอย่าให้ใกล้ชิดจนแออัด สำหรับผู้เข้าร่วมงานต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นช่วงรับประทาน ล้างมือ ลงทะเบียนไทยชนะ เมื่อกลับจากการท่องเที่ยวแล้วมีอาการไม่สบาย เป็นไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ขอให้ไปสถานพยาบาลและแจ้งประวัติ นอกจากนี้ ยังมีการตรวจตราร้านค้า ผู้ประกอบการต่างๆ ให้ปฏิบัติตามมาตรการด้วย หากไม่ปฏิบัติตามจะแจ้งเตือน หากไม่ปรับปรุงจะปิดสถานที่ และขอให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา หากปฏิบัติเช่นนี้จะทำให้มีกิจกรรมช่วงเทศกาลอย่างมีความสุขทุกคน
นายแพทย์โอภาสกล่าวอีกว่า กรณีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด 19 ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม พบการติดเชื้อจำนวน 108 คน แต่เมื่อรู้จักโรคนี้ดีขึ้น ทำให้ช่วงหลังจากเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมาไม่พบบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้ออีกเลย กระทั่งมี 1 รายที่ติดเชื้อจากการปฏิบัติหน้าที่ในสถานกักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (ASQ) และนำไปติดเพื่อนที่เป็นบุคลากรด้วยกัน ซึ่งไม่ได้ติดจากการทำงาน เป็นการติดจากการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกัน จึงต้องเคร่งครัดมาตรการใส่เครื่องป้องกัน ซักซ้อมการถอดใส่อุปกรณ์ตามมาตรฐานมากขึ้น ยังไม่ถึงขั้นต้องให้บุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลโดยไม่ออกมาภายนอก ขณะนี้ควรให้กำลังใจในการทำงาน
ด้านนายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค กล่าวว่าบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อโควิด 19 ขณะนี้มีเพียง 6 ราย โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในโรงพยาบาลเอกชน 31 ราย ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 5 ธันวาคม ผลเป็นลบ ตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 ผลเป็นลบ 30 ราย ติดเชื้อ 1 ราย คือผู้ป่วยรายที่ 6 โดยจะมีการตรวจเชื้อครั้งที่ 3 ต่อไป ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในหอพัก ห้องสัมภาษณ์งานโรงพยาบาลรัฐ และสมาชิกครอบครัว ให้ผลเป็นลบทั้งหมด ได้เก็บตัวอย่างแล้ว คาดว่าผลจะออกในวันที่ 12-13 ธันวาคม ขณะที่ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 888 รายผลเป็นลบ ส่วนกรณีผู้ป่วยรายแรกที่มีการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า MRT และ BTS ช่วงเวลาสั้นๆ 10-15 นาที มีการสวมหน้ากากตลอดเวลา และไม่มีการพูดคุย ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น การใส่หน้ากากขณะโดยสารรถขนส่งสาธารณะต่างๆ จะช่วยป้องกันตัวเองและลดความเสี่ยงลงได้
***************************** 11 ธันวาคม 2563
*********************************
***************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37538 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เดินหน้ากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการปราบปรามการกระทำความผิดในลักษณะแชร์ลูกโซ่ | วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม เดินหน้ากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการปราบปรามการกระทำความผิดในลักษณะแชร์ลูกโซ่
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่
เมื่อวันอังคารที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๖ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ เพื่อกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการปราบปรามการกระทำความผิดในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยมี นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการฯ พร้อมด้วยผู้แทนจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติในการกำหนดแนวทางการดำเนินการของคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอันเกิดจากการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยเน้นย้ำให้ความช่วยเหลือประชาชนในเชิงรุก รวดเร็ว และเป็นธรรมมากที่สุด และกำหนดแนวทางการดำเนินคดีตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗ โดยเห็นควรให้มีการกำหนดแนวทางการดำเนินคดีให้มีความชัดเจน และสามารถบูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างแท้จริง พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการดำเนินการกรณีการบังคับคดีแก่จำเลยในคดีอาญาฐานความผิดร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งต่อมามีการถูกฟ้องล้มละลาย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37541 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม เร่งช่วยเครือข่ายวัฒนธรรม-ชุมชนคุณธรรมฯ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมนครศรีธรรมราช | วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563
กระทรวงวัฒนธรรม เร่งช่วยเครือข่ายวัฒนธรรม-ชุมชนคุณธรรมฯ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมนครศรีธรรมราช
กระทรวงวัฒนธรรม เร่งช่วยเครือข่ายวัฒนธรรม-ชุมชนคุณธรรมฯ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมนครศรีธรรมราช
เมื่อเร็วๆนี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม เดินทางไปราชการเพื่อตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเครือข่ายทางด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม และเครือข่ายชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลัง บวร ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยพิบัติอุทกภัย โดยมี นายสมพงษ์ มากมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้อำนวยการกองกลาง นางกฤตษญา ตระบันพฤกษ์ วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วม ณ ชุมชนคุณธรรมวัดศรีสุวรรณนาราม หมู่ที่ ๗ ต.คลองน้อย อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช โดยมีนายประจักร์ แขดวง ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้กล่าวต้อนรับและรายงานสถานการณ์การเกิดอุทกภัยในช่วงระหว่างวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ ทำให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่ชุมชนคุณธรรมฯ อย่างต่อเนื่อง
ในโอกาสนี้ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้มอบถุงยังชีพแก่ตัวแทนผู้ประสบภัยจำนวน ๒๐ ครัวเรือน พร้อมกล่าวให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัย เดินทางไปวัดศรีสุวรรณาราม กราบนมัสการพระถาวร ถาวโร รักษาการเจ้าอาวาสวัดศรีสุวรรณาราม พร้อมถวายผ้าไตรแก่คณะสงฆ์จำนวน ๔ รูป จากนั้นลงพื้นที่มอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัย ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ ในพื้นที่ชุมชนคุณธรรมฯ ด้วย
ทั้งนี้ชุมชนคุณธรรมฯ วัดศรีสุวรรณาราม (บ้านเปี๊ยะหัวเนิน) เดิมพื้นที่แห่งนี้มีแม่น้ำไหลผ่านเป็นระยะทางยาวมาก และมีแตกสาขาเป็นคลองเล็กๆ หลายสาย ชาวบ้านจึงเรียกว่า “คลองน้อย” ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งตำบลขึ้นมาจึงใช้ชื่อว่า “ตำบลคลองน้อย” มาจนถึงปัจจุบัน มีหมู่บ้านทั้งสิ้น ๑๖ หมู่บ้าน ทำอาชีพเกษตรกรรม รับจ้าง มีผลไม้ขึ้นชื่อ คือ ส้มโอแสงวิมาน อยู่ห่างจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ๑๙ กิโลเมตร โดยชุมชนคุณธรรมฯ วัดศรีสุวรรณาราม มีพระถาวร ถาวโร รักษาการเจ้าอาวาวัดศรีสุวรรณาราม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37540 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ย้าย-รับโอนข้าราชการพลเรือนระดับสูงทดแทนเกษียณ-ทำงานต่อเนื่อง | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
วธ.ย้าย-รับโอนข้าราชการพลเรือนระดับสูงทดแทนเกษียณ-ทำงานต่อเนื่อง
วธ.ย้าย-รับโอนข้าราชการพลเรือนระดับสูงทดแทนเกษียณ-ทำงานต่อเนื่อง
ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 ได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงวัฒนธรรมที่ 282/2563 เรื่อง ย้ายข้าราชการ จำนวน 9 ตำแหน่ง ดังนี้ 1.นายวรวุฒิ ด่านสมพงศ์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัด วธ. ไปดำรงตำแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดระยอง 2.นางสุภัทร กิจเวช วัฒนธรรมจังหวัดชัยนาท ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัด วธ. 3.นางจิตรา สิทธนานุวัฒน์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ไปดำรงตำแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ 4.นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดแพร่ ไปดำรงตำแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย 5.นางสาววาสนา ไชยพรรณา วัฒนธรรมจังหวัดอำนาจเจริญ ไปดำรงตำแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์ 6.นางฐิติรัตน์ เค้าภูไทย วัฒนธรรมจังหวัดนครปฐม ไปดำรงตำแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดชัยนาท 7.นางสาวสุดารัตน์ พงศ์อัมพรไกวัล ผู้อำนวยการกองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม สำนักงานปลัด วธ. ไปดำรงตำแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดนครปฐม 8.นายธธงชัย สารอักษร วัฒนธรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม สำนักงานปลัด วธ. และ 9.นายไสว ไชยเมือง วัฒนธรรมจังหวัดตาก ไปดำรงตำแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดพะเยา มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งการโยกย้ายครั้งนี้ถือเป็นการบริหารอัตรากำลังข้าราชการตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูงในสังกัดสำนักงานปลัด วธ. ทดแทนตำแหน่งเกษียณอายุราชการ ตามความเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุดอย่างต่อเนื่อง
ปลัดวธ. กล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงวัฒนธรรมที่ 287/2563 เรื่อง รับโอนข้าราชการพลเรือนสามัญ 1 ตำแหน่ง ได้แก่ นางสาวขนิษฐา โชติกวณิชย์ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดวธ. ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37412 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขับเคลื่อนบูรณาการการทำงานส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงเกษตร | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ขับเคลื่อนบูรณาการการทำงานส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงเกษตร
กระทรวงเกษตรฯ ขับเคลื่อนบูรณาการการทำงานส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงเกษตร
นายนราพัฒน์แก้วทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะทำงานความร่วมมือการท่องเที่ยวเชิงเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยมีนายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมได้แก่กรมการท่องเที่ยวการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทยและผู้แทนกรมต่างๆของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ณห้องประชุม134 -135กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการบูรณาการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรโดยมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวเกษตรและสหกรณ์สำรวจรวบรวมข้อมูลกลุ่มท่องเที่ยวการเกษตรเพื่อจัดแบ่งกลุ่มที่มีความพร้อมให้ชัดเจนถูกต้องเป็นปัจจุบันและมอบกรมท่องเที่ยวองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและการท่องท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยนำข้อมูลเส้นทางท่องเที่ยวและมาตรการสนับสนุนต่างๆเข้ามาเชื่อมโยงสนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีอยู่ให้เกิดการบูรณาการขับเคลื่อนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37434 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล เดินหน้าพัฒนาสถานประกอบกิจการด้านความปลอดภัย | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
นฤมล เดินหน้าพัฒนาสถานประกอบกิจการด้านความปลอดภัย
รมช.แรงงาน เชิญชวนสถานประกอบกิจการ ร่วมโครงการพัฒนาสถานประกอบกิจการด้านความปลอดภัย พร้อมยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสากล โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการ
วันที่ 7 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) (สสปท.) ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมต่อการลงทุนด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ จำนวน 30 แห่ง จากผลการศึกษาพบว่า สถานประกอบกิจการมีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ 51,795.53 บาท หรือคิดเป็น 3,341.65 บาท/แห่ง นอกจากนี้เมื่อพิจารณามูลค่าเพิ่มทางสังคม พบว่า สถานประกอบกิจการสามารถลดจำนวนการประสบอันตรายได้จาก 302 ราย เหลือ 294 ราย นั่นหมายความว่า การลงทุนด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการมีความคุ้มค่า รวมถึงก่อให้เกิดผลกำไรและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคม โดยสามารถลดอัตราการประสบอันตรายลงได้
รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สถาบันฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานด้านความปลอดภัยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน จึงได้จัดทำมาตรฐานระบบการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พร้อมทั้งคู่มือและแนวทางในการจัดทำมาตรฐานดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการที่ต้องการเริ่มสร้างระบบด้านความปลอดภัยฯ เบื้องต้นด้วยตนเอง สถาบันฯ จึงจัดทำโครงการพัฒนาสถานประกอบกิจการตามมาตรฐานระบบการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการมีการจัดทำมาตรฐานระบบการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ทั้งนี้ยังสามารถพัฒนาการจัดการด้านความปลอดภัยฯ ภายในองค์กรอย่างยั่งยืน และสามารถต่อยอดหรือยกระดับสู่มาตรฐานสากลได้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการ
สำหรับคุณสมบัติของสถานประกอบกิจการในการเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องเป็นสถานประกอบกิจการแห่งใหม่ทุกขนาดและทุกประเภท ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ต้องมีบุคลากรรับผิดชอบการดำเนินการจัดทำระบบการจัดการด้านความปลอดภัยฯ อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน ในส่วนของประโยชน์ที่สถานประกอบกิจการจะได้รับ ประกอบด้วย ประกาศเกียรติคุณที่รับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัย การสนับสนุนและให้คำปรึกษาในการดำเนินงานด้านความปลอดภัยในการทำงาน การเพิ่มโอกาสในการพัฒนาผลิตภาพแรงงานและเสริมศักยภาพแรงงาน รวมถึงสามารถเพิ่มการต่อยอดทางธุรกิจและโอกาสในการแข่งขันทางการค้ามากขึ้น เนื่องจากมีการดำเนินงานด้านความปลอดภัยที่เป็นระบบ มีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน
สถานประกอบกิจการที่สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ www.tosh.or.th และ ส่งใบสมัครผ่านทางอีเมล์ [email protected] หรือ [email protected] หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2448 9111 ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 16 ธันวาคม 2563 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดโครงการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37375 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการคุมเข้ม สกัดโควิดทุกจังหวัดตลอดเดือน ธ.ค. | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
มาตรการคุมเข้ม สกัดโควิดทุกจังหวัดตลอดเดือน ธ.ค.
วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ตลอดเดือน ธ.ค. 63 นี้ รัฐบาลกำหนดมาตราการเข้มข้นเพื่อป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ให้รัดกุมมากขึ้น เช่น เฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยเฉพาะจังหวัดที่ติดกับชายแดนเพื่อนบ้าน ตรวจตรากิจการ/กิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน ร้านอาหาร สถานบันเทิง สนามกีฬา สถานที่ท่องเที่ยว อย่างเข้มงวด โดยให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อสม. เฝ้าสังเกต กำกับดูแล ให้คำแนะนำบุคคลที่กลับเข้ามาในพื้นที่ชุมชน พร้อมกับขอความร่วมมือผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ ผู้จัดกิจกรรม และผู้ร่วมกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ใช้แพลตฟอร์ม "ไทยชนะ" ให้มีความต่อเนื่อง
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37370 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม จับมือกระทรวงพาณิชย์ พัฒนาระบบระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญา บริการไกล่เกลี่ยออนไลน์ รวดเร็ว จบไว ไร้กังวล | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม จับมือกระทรวงพาณิชย์ พัฒนาระบบระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญา บริการไกล่เกลี่ยออนไลน์ รวดเร็ว จบไว ไร้กังวล
กระทรวงยุติธรรม จับมือกระทรวงพาณิชย์ พัฒนาระบบระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญา บริการไกล่เกลี่ยออนไลน์ รวดเร็ว จบไว ไร้กังวล
ในวันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนากระบวนการระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญา ระหว่าง กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ และสถาบันอนุญาโตตุลาการ กระทรวงยุติธรรม โดยมี นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร ผู้อำนวยการสถาบันอนุญาโตตุลาการ และนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นผู้ลงนามฯ พร้อมด้วย นายวันฉัตร วนิชพันธุ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ด้านประชาสัมพันธ์) นายนิมิต ทัพวนานต์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นางสาวรวิวรรณ์ ศรีวนาภิรมย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมฯ
การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ นี้ เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างกันในการพัฒนาระบบระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญาออนไลน์ (Online Dispute Resolution : ODR) และพัฒนาบุคลากรด้านการระงับข้อพิพาทร่วมกัน คาดว่าจะสามารถช่วยอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และลดจำนวนคดีขึ้นสู่ศาลได้
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวแสดงความยินดี ใจความตอนหนึ่งว่า " ปัจจุบันสถาบันอนุญาโตตุลาการให้บริการในการระงับข้อพิพาท ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาแก่ประชาชนจำนวนมาก ระบบการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการทางออนไลน์ เป็นระบบการระงับข้อพิพาทสมัยใหม่ ที่ทำให้การระงับระงับข้อพิพาทเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้มีข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา สามารถเข้าถึง
กระบวนการระงับข้อพิพาทได้โดยง่าย สะดวก สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา และยังประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งประหยัดเวลาในการเดินทางอีกด้วย ซึ่งผมเชื่อว่าระบบการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการทางออนไลน์ สามารถให้บริการแก่ประชาชนได้เป็นอย่างดี และยังแสดงให้เห็นถึงการตอบสนองต่อนโยบาย ๔.o ของรัฐบาล ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนา และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ด้านธุรกิจ การค้าและการลงทุน
ผมเชื่อว่าความร่วมมือกันของหน่วยงานทั้งสอง จะนำไปสู่พัฒนาการที่สำคัญ ในการพัฒนาระบบการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการทางออนไลน์ในประเทศไทย และผมขอขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ และกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่เห็นถึงความสำคัญของระบบการระงับข้อพิพาทออนไลน์ และหวังว่าระบบระงับข้อพิพาทดังกล่าว จะช่วยให้การบริการแก่ประชาชนของกรมทรัพย์สินทางปัญญา มีความสะดวก รวดเร็ว ทันสมัย และสามารถส่งเสริมให้ระบบทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยเจริญก้าวหน้าต่อไป "
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37438 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางประกาศสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างสาขางานก่อสร้าง เพื่อไม่ให้งานที่อยู่ระหว่างดำเนินการตามสัญญา ล่าช้า และเกิดความเสียหายต่อทางราชการ | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
กรมบัญชีกลางประกาศสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างสาขางานก่อสร้าง เพื่อไม่ให้งานที่อยู่ระหว่างดำเนินการตามสัญญา ล่าช้า และเกิดความเสียหายต่อทางราชการ
กรมบัญชีกลางออกประกาศคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ เรื่องสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างสาขางานก่อสร้างชลประทานของกรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ำ
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ออกประกาศคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ เรื่อง สิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างสาขางานก่อสร้างชลประทาน ของกรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ำ รวมทั้งสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้าง สาขางานก่อสร้างทางและสะพานพิเศษ สาขางานก่อสร้างทาง สาขางานก่อสร้างสะพาน ของกรมทางหลวง สิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้าง สาขางานก่อสร้างทางและสะพานพิเศษ สาขางานก่อสร้างทาง ของกรมทางหลวงชนบท และสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้าง สาขางานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและชายฝั่ง ของกรมเจ้าท่า โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
"การประกาศสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างสาขาต่างๆ ข้างต้น เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2563 กำหนดว่า "8.2 หน่วยงานของรัฐใดมีความจำเป็นจะกำหนดวงเงินรวมหรือจำนวนโครงการที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างสมารถรับงานได้ เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานตามสัญญากรณีนี้ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการได้ตามความเหมาะสม พร้อมทั้งเสนอให้คณะกรรมการราคากลาง และขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการพิจารณา เพื่อประกาศเพิ่มเติมต่อไป" ในการนี้ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมเจ้าท่า ได้แจ้งว่ามีความจำเป็นจะกำหนดสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้าง โดยขอกำหนดจำนวนโครงการที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างสามารถรับงานได้เพื่อให้มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน จนเป็นเหตุให้งานที่อยู่ระหว่างดำเนินการตามสัญญามีความล่าช้าและเกิดความเสียหายต่อทางราชการ" อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า "ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดของสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างสาขางานก่อสร้างของทั้ง 4 หน่วยงานข้างตัน ได้จากประกาศคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ได้ทางเว็บไซต์กรมบัญชีกลาง http://www.cgd.go.th หรือผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่ CGD Application และหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37366 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวพิธีเปิดงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 10 | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
คำกล่าวพิธีเปิดงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 10
คำกล่าวพิธีเปิดงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 10
ในวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563 เวลา 17.30 น. ณ หอประชุมกองทัพเรือ
ท่านรองนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูต กงสุล กงสุลกิตติมศักดิ์และคู่สมรส และท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน
ในนามของรัฐบาล ผมขอขอบพระคุณท่านเอกอัครราชทูต กงสุล กงสุลกิตติมศักดิ์และคู่สมรส ที่กรุณาให้เกียรติมาในงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 10และให้ความไว้วางใจนักศึกษาและนักเรียนอาชีวะจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ของไทยเป็นผู้ออกแบบและตัดเย็บชุดต่าง ๆ ให้แก่ผู้ร่วมเดินแบบทุกท่าน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ
กิจกรรมในวันนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2563 ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ท่านทั้งหลายจะได้มาร่วมกันน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงส่งเสริมและสนับสนุนศิลปวัฒนธรรมการทอผ้าไหมไทยไปสู่นานาอารยประเทศ
เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่าพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรให้มีความอยู่ดีกินดี
ทั้งพระราชทานแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการพัฒนาและอนุรักษ์ดินเพื่อการเกษตรกรรม จนสหประชาชาติได้ร่วมสดุดีพระเกียรติคุณ โดยประกาศให้วันที่ 5ธันวาคม อันเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ
เป็นวันดินโลก
ในขณะที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงส่งเสริมการปลูกป่า และการจัดหาอาชีพเสริมนอกฤดูการเกษตรให้แก่ชาวบ้าน เช่น การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การทอผ้า และการฝึกหัดอาชีพ สิ่งเหล่านี้ได้พัฒนาต่อยอดมาเป็นงานศิลปหัตถกรรม และงานผ้าไหมไทยของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ อันเป็นที่รู้จักและยอมรับไปทั่วโลก
ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในวันนี้ทุกท่านจะได้ร่วมกันสดุดีในพระเกียรติคุณของทั้งสองพระองค์ และร่วมชื่นชมความสวยงามประณีตอันเป็นเอกลักษณ์ของผ้าไหมไทยและร่วมกันภาคภูมิใจไปกับชาวไทยทุกคน
บัดนี้ ได้เวลาอันสมควร ผมขอเปิดงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 10ณ บัดนี้
...........................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37367 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ (กอ.นตผ.) ครั้งที่ 3/2563 | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ (กอ.นตผ.) ครั้งที่ 3/2563
รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ (กอ.นตผ.) ครั้งที่ 3/2563
รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ (กอ.นตผ.) ครั้งที่ 3/2563
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ (กอ.นตผ.) ครั้งที่ 3/2563 ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 อาคารสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กอ.นตผ. เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบและร่วมหารือเพื่อพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1) รายงานผลการดำเนินโครงการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับงบประมาณ จำนวน 10.5 ล้านบาท มอบให้กรมการข้าว ดำเนินการพัฒนาและแปรรูปผลิตภัณฑ์ จำนวน 19 ชนิด 693 ราย ซึ่งจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2564 2) งบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2564
3) โครงการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (เงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019) 4) การปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการฯ การแต่งตั้งผู้ช่วยเลขานุการฯ การทบทวนคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการใน กอ.นตผ. การมอบอำนาจให้ประธาน กอ.นตผ. ปฏิบัติหน้าที่แทน กอ.นตผ. และ 5) แนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37392 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. เฝ้ารับเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเปิดป้ายโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำช้างป่าหลังต้นน | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
รมว.ทส. เฝ้ารับเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเปิดป้ายโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำช้างป่าหลังต้นน
รมว.ทส. เฝ้ารับเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเปิดป้ายโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำช้างป่าหลังต้นน้ำภูไท ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2563 เวลา 10.20 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จทรงเปิดป้ายโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำช้างป่าหลังต้นน้ำภูไท ณ โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำช้างป่าหลังต้นน้ำภูไท อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยาน้ำ นายสุเมธ สายทอง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 6 พร้อมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สทภ.6 ร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ ในโอกาสนี้ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37420 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดตลาดเปิดท้ายแบกะดิน กลางถิ่นรัชดา ของกระทรวงวัฒนธรรม | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดตลาดเปิดท้ายแบกะดิน กลางถิ่นรัชดา ของกระทรวงวัฒนธรรม
ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดตลาดเปิดท้ายแบกะดิน กลางถิ่นรัชดา ของกระทรวงวัฒนธรรม
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีเปิดตลาดเปิดท้ายแบกะดิน กลางถิ่นรัชดา ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วม ณ บริเวณด้านข้างอาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37396 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) เร่งขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน 4 มิติ | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
พม. จัดประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) เร่งขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน 4 มิติ
พม. จัดประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) เร่งขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน 4 มิติ
วันนี้ (7 ธ.ค. 63) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุม ชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 5/2563 โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายจุติ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบเรื่องการขับเคลื่อนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 29 กันยายน 2563 เรื่อง เห็นชอบมาตรการขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน 4 มิติ (เศรษฐกิจ สุขภาพ สภาพแวดล้อม และสังคม) โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าว ในส่วนประเด็นที่ผลักดันให้เป็นกฎหมายและประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน อีกทั้งขอความร่วมมือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติ ครม. นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2562 และขอความร่วมมือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอเชิงนโยบายไปขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้ดีขึ้นต่อไป
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมมีการรายงานผลการดำเนินงานมาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมผู้สูงอายุ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 โดยมีประเด็นสำคัญ อาทิ 1) ผู้สูงอายุที่ต้องการทำงานและมีงานทำเพิ่มขึ้น (สะสม) มีเป้าหมาย 154,000 คน ซึ่งดำเนินการได้ 162,705 คน คิดเป็นร้อยละ 105.65 และ 2) พื้นที่ที่มีการดำเนินงานในรูปแบบธนาคารเวลาสำหรับการดูแลผู้สูงอายุของประเทศไทย มีเป้าหมาย 84 พื้นที่ 49 จังหวัด ซึ่งดำเนินการได้ 84 พื้นที่ (ร้อยละ 100 ) 46 จังหวัด (ร้อยละ 93.88) เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37433 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ย้ำใส่หน้ากากถูกวิธี ป้องกันโควิด 19 และมีเตียง ยา เวชภัณฑ์เพียงพอ | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
สธ. ย้ำใส่หน้ากากถูกวิธี ป้องกันโควิด 19 และมีเตียง ยา เวชภัณฑ์เพียงพอ
กระทรวงสาธารณสุข คาดผู้ติดเชื้อในประเทศหญิงสิงห์บุรีสาเหตุมาจากการใส่หน้ากากใต้ปากในที่ชุมชน ย้ำเตือนใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง ป้องกันโควิด 19 ส่วนข่าวลือผู้ป่วยชายไทยวัย 70 ปีที่รพ.แม่สอดไม่ได้เสียชีวิต แต่อาการดีขึ้น ยันไทยมีเตียง ยา เวชภัณฑ์เพียงพอรอ
ปาก ดังนั้น สถานที่รับเชื้อน่าจะเป็นพื้นที่นั่งรอก่อนขึ้นเครื่องซึ่งสนามบินได้ปรับระบบทำความสะอาด และย้ำเตือนผู้โดยสารให้สวมหน้ากากให้ถูกต้อง ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม ตลอดเวลาที่อยู่ในสนามบิน
นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีความพร้อมดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 โดยกทม.และปริมณฑล รับผู้ติดเชื้อได้ 230-400 รายต่อวัน ทั้งประเทศรองรับได้ 1,000-1,700 รายต่อวัน มีเตียงสำหรับดูแลผู้ป่วยโควิดโดยเฉพาะมากกว่า 1 หมื่นเตียง ส่วนเหตุการณ์ชายแดนใน3 จังหวัด คือ จ.เชียงราย โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์มีเตียงรองรับ 60 เตียง ขณะนี้มีผู้ป่วย 26 ราย ยังรองรับได้ และเตรียมเตียงจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงอีก 300 เตียง, จ.เชียงใหม่ โรงพยาบาลนครพิงค์มี 51 เตียง และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยและเอกชนโดยรอบรองรับอีกกว่า 120 เตียง และ อ.แม่สอด จ.ตาก โรงพยาบาลแม่สอด มี 120 เตียง ถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่รับมือได้ เช่นเดียวกับยา อุปกรณ์ เวชภัณฑ์หน้ากาก แอลกอฮอล์ล้างมือ บุคลากรทางการแพทย์ มีความพร้อมทั้งหมด สิ่งสำคัญคือขอให้ผู้ป่วยให้ประวัติที่แท้จริงจะช่วยให้วินิจฉัยรักษาได้รวดเร็ว เนื่องจากการปกปิดทำให้คนรอบข้าง ครอบครัว และบุคลากรทางการแพทย์มีความเสี่ยง และตรวจวินิจฉัยรักษาได้ล่าช้า สำหรับผู้ป่วยโควิด 19 เพศชายอายุ 70 ปี ที่โรงพยาบาลแม่สอดยังไม่เสียชีวิต ขณะนี้ยังใส่ท่อหายใจ ให้ยารักษา และรักษาแบบประคับประคอง ทำให้อาการดีขึ้น
พลตรี จักรพงษ์ จันทร์เพ็งเพ็ญ ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการ กรมยุทธการทหารกองบัญชาการกองทัพไทย ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) กล่าวว่า ศปม.ได้ร่วมกับตำรวจ พลเรือน อาสาสมัคร และฝ่ายปกครอง ปฏิบัติงานสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองในพื้นที่เมืองหน้าด่าน โดยพื้นที่ชายแดนมีระยะทางยาวมากกว่า 2,400 กิโลเมตร ได้มีมาตรการเพิ่มเติม เช่น ตรวจจับด้วยกล้องวงจรปิด โดรน กล้องยูวีของกองทัพอากาศ การวางเครื่องกีดขวาง เพื่อจำกัดและยับยั้งการลักลอบเข้าผิดกฎหมาย และร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านช่วยสกัดกั้นหรือส่งข่าวแจ้งเบาะแส เพื่อสกัดกั้นทันเวลา และวางจุดตรวจสกัดกั้นตามเส้นทางที่คาดว่าจะลักลอบเข้าเมือง รวมทั้งการตรวจสถานสถานประกอบการ โรงงานต่างๆ ขอความร่วมมือประชาชนหากพบเห็นการลักลอบเข้าเมือง แจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 1138, 1559 และ 191
*********************************** 7 ธันวาคม 2563
**************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37440 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.ประวิตร มอบของขวัญปีใหม่ให้ชุมชน อ.แม่ใจ จ.พะเยา มอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ให้ชุมชนใช้ประโยชน์จากป่าเนื้อที่กว่า 2 พันไร่ | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
พล.อ.ประวิตร มอบของขวัญปีใหม่ให้ชุมชน อ.แม่ใจ จ.พะเยา มอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ให้ชุมชนใช้ประโยชน์จากป่าเนื้อที่กว่า 2 พันไร่
พล.อ.ประวิตร มอบของขวัญปีใหม่ให้ชุมชน อ.แม่ใจ จ.พะเยา มอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ให้ชุมชนใช้ประโยชน์จากป่าเนื้อที่กว่า 2 พันไร่
วันนี้ ( 7 ธันวาคม 2563) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนในลักษณะแปลงรวม โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาลในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ "ป่าแม่ปืมและป่าแม่พุง" อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา และมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน 10 ป่า เนื้อที่กว่า 2 พันไร่ ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกับรัฐในการดูแลรักษาและบริหารจัดการป่าไม้ใกล้หมู่บ้าน ตลอดจนให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์จากป่าได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ภายใต้ระเบียบและกฎหมายที่กำหนด ณ ศาลาประชาคม อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา ตลอดจนตรวจติดตามการดำเนินงานการบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาหนองเล็งทราย อ.แม่ใจ จ.พะเยา และประชุมติดตามการพัฒนากว๊านพะเยาอย่างยั่งยืน ณ ห้องประชุมภูกามยาว ชั้น 5 ศาลากลาง จ.พะเยา รวมถึงติดตามภารกิจขุดลอกกว๊านพะเยา ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา Side B โดยโอกาสนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังพิธีการมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ว่ารัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญในการรักษาพื้นที่ป่าที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ โดยส่งเสริมให้ประชาชน องค์กรประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในรูปแบบของป่าชุมชน พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการตราพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นกลไกให้พี่น้องประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับรัฐในการจัดการป่าของชุมชน และได้รับประโยชน์จากป่าโดยมีกฎหมายรองรับ ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงทางสังคม ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เป็นการกระจายอำนาจการบริหารจัดการทรัพยากรท้องถิ่นสู่ระดับพื้นที่ ทำให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงานด้านป่าชุมชนเป็นไปตามความเหมาะสม ตามศักยภาพของพื้นที่ได้อย่างสมดุลและยั่งยืน
และสำหรับในวันนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ ได้ออกหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนให้กับชุมชน อ.เมืองพะเยา และอ.แม่ใจ จ.พะเยา จำนวน 10 ป่า เนื้อที่รวม 2,693 ไร่ ได้แก่
1. ป่าชุมชนตำบลแม่สุก หมู่ที่ 1, 2, 6, 9 และหมู่ที่ 10 ตำบลแม่สุก อำเภอแม่ใจ เนื้อที่ 110 ไร่
2. ป่าชุมชนบ้านแม่จร้าเหนือ (แปลงที่ 1-2) หมู่ที่ 3 ตำบลแม่สุก อำเภอแม่ใจ เนื้อที่ 95 ไร่
3. ป่าชุมชนบ้านแม่จว้ากลาง หมู่ที่ 4 ตำบลแม่สุก อำเภอแม่ใจ เนื้อที่ 421 ไร่
4. ป่าชุมชนบ้านแม่จว้าใต้ หมู่ที่ 5 ตำบลแม่สุก อำเภอแม่ใจ เนื้อที่ 202 ไร่
5. ป่าชุมชนบ้านแม่ปันเจิง หมู่ที่ 7 ตำบลแม่สุก อำเภอแม่ใจ เนื้อที่ 70 ไร่
6. ป่าชุมชนบ้านแม่จร้า หมู่ที่ 8 ตำบลแม่สุก อำเภอแม่ใจ เนื้อที่ 303 ไร่
7. ป่าชุมชนบ้านป่าสักสามัคคี หมู่ที่ 12 ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ เนื้อที่ 7 ไร่
8. ป่าชุมชนบ้านเกษตรพัฒนา หมู่ที่ 16 ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมืองพะเยา เนื้อที่ 114 ไร่
9. ป่าชุมชนตำบลบ้านสาง หมู่ที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 และหมู่ที่ 9 ตำบลบ้านสาง อำเภอเมืองพะเยา เนื้อที่ 807 ไร่
10. ป่าชุมชนบ้านโป่งขาม หมู่ที่ 10 ตำบลบ้านต๊ำ อำเภอเมืองพะเยา เนื้อที่ 564 ไร่
หนังสืออนุญาตที่ชุมชนได้รับจะเป็นหลักประกันให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง
ตามกฎหมาย ตลอดจนสามารถใช้ประโยชน์และสร้างรายได้ให้กับชุมชน ซึ่งจะยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น โดยขอความร่วมมือจากชุมชนที่ได้รับหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ร่วมแรง ร่วมใจ และเป็นกำลังที่จะช่วยภาครัฐในการดูแล ป้องกัน ฟื้นฟู รักษาป่าชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า เพื่อให้ป่าชุมชนเกิดความสมดุลและยั่งยืนเพื่อส่งต่อให้ลูกหลานในอนาคต ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37421 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขับเร็วเท่าไหร่ ไม่ถูกจับ | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ขับเร็วเท่าไหร่ ไม่ถูกจับ
รัฐบาลอนุมัติความเร็วใหม่ สำหรับรถที่วิ่งบนทางหลวงแผ่นดิน
ขับเร็วเท่าไหร่ ไม่ถูกจับ !!
.
พี่น้องครับ ต่อไปเราจะขับรถออกต่างจังหวัดได้อย่างสบายใจและปลอดภัยมากขึ้น เมื่อรัฐบาลอนุมัติความเร็วใหม่ สำหรับรถที่วิ่งบนทางหลวงแผ่นดิน และทางหลวงชนบท ขนาด 2 เลนขึ้นไป ที่มีเกาะกลางถนนแบบกำแพงกั้น และไม่มีจุดกลับรถเสมอระดับถนน
.
โดย “ให้เลนขวาสุดจะต้องวิ่งด้วยความเร็ว ไม่ต่ำกว่า 100 กม./ชม.”
.
กำหนดเพดานความเร็วสูงสุด ให้เหมาะสมกับการใช้งานรถแต่ละประเภทอย่างปลอดภัย เช่น
• รถยนต์วิ่งด้วยความเร็ว ไม่เกิน 120 กม./ชม.
• รถบรรทุก/รถโดยสารเกิน 15 คน ไม่เกิน 90 กม./ชม.
• รถลากจูง ไม่เกิน 65 กม./ชม.
• รถรับส่งนักเรียน ไม่เกิน 80 กม./ชม.
.
แต่...ความเร็วใหม่นี้ ยังไม่มีผลบังคับใช้ในตอนนี้
เพราะร่างกฎกระทรวงกำหนดความเร็วของยานพาหนะฉบับนี้
ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา
ต้องรอติดตามการประกาศวันเริ่มบังคับใช้ต่อไป
.
ยังไงก็ตาม แอดมินขอให้ทุกคนขับขี่อย่างระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎจราจร มีน้ำใจแก่เพื่อนร่วมทาง และถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพในทุก ๆ การเดินทาง
.
ด้วยความห่วงใย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37371 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงพื้นที่ให้กำลังใจพี่น้องชาวนครฯ | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ลงพื้นที่ให้กำลังใจพี่น้องชาวนครฯ
++
ลงพื้นที่ให้กำลังใจพี่น้องชาวนครฯ
.
พรุ่งนี้ (7 ธ.ค. 63) นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำ
และพบปะประชาชนที่ประสบอุทกภัย จ.นครศรีธรรมราช
.
เพื่อให้กำลังใจและมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบอุทกภัย
ณ ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง ต.แม่เจ้าอยู่หัว
อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช
.
พร้อมลงเรือตรวจเยี่ยมพี่น้องชาวนครฯ ในพื้นที่
ติดตาม LIVE ได้ที่นี่..เพจไทยคู่ฟ้า เวลา 09.30 น. เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37373 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ในวันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรมนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และคณะ ให้การต้อนรับนางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา (Mrs. Helene Budliger Artieda) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทยในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการ
อาทิ ความร่วมมือกระบวนการยุติธรรม การพัฒนากฎหมายยาเสพติด และแผนปฏิบัติการระดับชาติ ว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (NAP on Business and Human Rights) เป็นต้น ในการนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้แสดงความชื่นชมบทบาทของกระทรวงยุติธรรมภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ได้ผลักดันการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (NAP on Business and Human Rights) จนบรรลุผลสำเร็จและได้ประกาศใช้เป็นประเทศแรกในทวีปเอเชีย ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีฯ ได้ยืนยันถึงนโยบายการให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรม ประเด็นสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย รวมถึงการพัฒนาและผลักดันร่างกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ การเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการของเอกอัครราชทูตฯ ครั้งนี้ สะท้อนถึงการเป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับสมาพันธรัฐสวิส รวมทั้งมีส่วนสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างทั้งสองประเทศ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และการพัฒนาที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศและภูมิภาคต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37439 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์”ลุย นครศรีธรรมราช พัทลุง สั่ง รมต.และ ส.ส. ปชป.ระดมลงพื้นที่น้ำท่วมใต้ต่อเนื่อง เผยมูลนิธิ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ส่งถุงยังชีพเข้าพื้นที่แล้ว 20,000 ชุด | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
“จุรินทร์”ลุย นครศรีธรรมราช พัทลุง สั่ง รมต.และ ส.ส. ปชป.ระดมลงพื้นที่น้ำท่วมใต้ต่อเนื่อง เผยมูลนิธิ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ส่งถุงยังชีพเข้าพื้นที่แล้ว 20,000 ชุด
วันที่ 6 ธันวาคม 2563 เวลา 10.00 น. ที่ สนามบินหาดใหญ่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ประเด็นลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม
นายจุรินทร์กล่าวว่าวันนี้ผมมาในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มาเยี่ยมพื้นที่น้ำท่วมเพราะพี่น้องประชาชนชาวภาคใต้หลายจังหวัดประสบภัยน้ำท่วมและได้รับความเดือดร้อนมาก สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ได้มีการกำชับให้บุคลากรของพรรคทั้ง 2 ส่วนทั้งส่วนที่อยู่ในคณะรัฐบาลเช่น รัฐมนตรีต่างๆได้ลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมพื้นที่และขณะเดียวกันก็ไปร่วมแก้ปัญหาและส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้กับพี่น้องประชาชน ก่อนหน้านี้ทางรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่านนิพนธ์ บุญญามณี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ท่านถาวร เสนเนียม ได้ลงพื้นที่ไปก่อนหน้านี้หลายวัน วันนี้ได้มีโอกาสมาลงพื้นที่พบปะกับผู้ประสบภัยและเป็นกำลังใจให้ รวมทั้งมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ที่จังหวัดพัทลุงและนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุงไปที่อำเภอกงหรา อำเภอเมืองและพื้นที่อื่นๆ จังหวัดนครศรีธรรมราชไปที่อำเภอทุ่งสงและพื้นที่อื่นๆ สำหรับสิ่งของที่จะมอบได้นำถุงยังชีพจากมูลนิธิหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ประมาณ 5,000 ชุด ก่อนหน้านี้มูลนิธิหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ได้จัดถุงยังชีพไปแล้ว 15,000 ชุดให้ผู้แทนราษฎรของพรรคไปช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยในพื้นที่จนถึงขณะนี้จัดไปแล้ว 20,000 ชุด พรรคจะกำชับให้รัฐมนตรีของพรรคกับผู้แทนราษฎรของพรรคได้ลงพื้นให้ช่วยพี่น้องประชาชนซึ่งได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้แล้วและดำเนินการต่อไปโดยต่อเนื่องจนกว่าทุกข์ของพี่น้องชาวใต้จะหมดสิ้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37426 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.กล่าวมอบโอวาทแก่เด็กและเยาวชนจากจังหวัดปัตตานีที่เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง กิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ รุ่นที่ ๒ | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.กล่าวมอบโอวาทแก่เด็กและเยาวชนจากจังหวัดปัตตานีที่เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง กิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ รุ่นที่ ๒
รมว.วธ.กล่าวมอบโอวาทแก่เด็กและเยาวชนจากจังหวัดปัตตานีที่เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง กิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ รุ่นที่ ๒
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวมอบโอวาทแก่เด็กและเยาวชนจากจังหวัดปัตตานีที่เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง กิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ รุ่นที่ ๒ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ครู เด็ก และเยาวชนจากจังหวัดปัตตานี เข้าร่วม ๙๐ คน ณ ศูนย์การประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี จัดโครงการเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง กิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ รุ่นที่ ๒ เพื่อปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีความรัก ความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยืดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และนำความรู้ ความเข้าใจในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยนำเด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดปัตตานี จำนวน ๘๐ คน เข้าร่วมกิจกรรมอบรมศึกษาดูงานแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ศาสนสถาน พิพิธภัณฑ์ และโครงการพระราชดำริฯ ระหว่างวันที่ ๒ – ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37394 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘มหิดล’ ผนึกกำลัง ‘รีเสิร์ช เอ็กซ์’ ลงนามขับเคลื่อนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
‘มหิดล’ ผนึกกำลัง ‘รีเสิร์ช เอ็กซ์’ ลงนามขับเคลื่อนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี
‘มหิดล’ ผนึกกำลัง ‘รีเสิร์ช เอ็กซ์’ ลงนามขับเคลื่อนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมโดยคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จำกัดจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัย“การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี”ณ ห้องประชุมพิทยา จารุพูนผล ชั้น 5 อาคารเทพนม เมืองแมน คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนราชวิถี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ
วันที่ 30 พ.ย. 2563 - จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก ที่ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน การพัฒนาองค์ความรู้ ตลอดจนเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางด้านการแพทย์และสุขภาพ ถือเป็นเรื่องสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น จึงเกิดความร่วมมือในการลงนามร่วมกันภายในเครือข่ายย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ที่มุ่งสร้างต้นแบบเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อนวัตกรรมการแพทย์ของประเทศ รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะพัฒนาย่านนี้ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพและนวัตกรรมทางการแพทย์ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธีขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือของ 2 กระทรวงคือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงสาธารณสุข
ด้วยเหตุนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จำกัด จึงจับมือกันร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัย “การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี” เพื่อร่วมดำเนินการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ และการมีส่วนร่วมแบบโปร่งใส เพื่อเป้าหมายของการ “อยู่ เป็น สุข” และร่วมมือกันผลักดันผลงานวิจัยนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าให้เกิดทรัพย์สินทางปัญญาจากหิ้งสู่ห้าง ยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพและการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพตามแผนยุทธศาสตร์ของชาติ Thailand 4.0 ในการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) พร้อมทั้งขับเคลื่อนการวิจัยค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการภายใต้องค์ความรู้“อยู่ เป็น สุข” (V Wellbeing)ส่งเสริมงานวิจัยนวัตกรรมให้เกิดการต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากดร.ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงานและเป็นผู้แทนลงนาม พร้อมทั้งรองศาสตราจารย์ธราดล เก่งการพานิชคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมเป็นพยานในการลงนาม และได้รับเกียรติจากนายภาคภูมิ เพิ่มมงคลกรรมการผู้จัดการ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จำกัด ให้เกียรติเป็นผู้แทนร่วมลงนาม พร้อมทั้งคุณนิตยา บุญเป็งผู้ประสานงานวิจัยเชิงพาณิชย์ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จำกัด ร่วมเป็นพยานในการลงนาม โดยเป็นผู้แทนของรองศาสตราจารย์ ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ที่ปรึกษาด้านกฏหมายและทรัพย์สินทางปัญญา บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จำกัด
ดร.ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์ คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวว่า “ความร่วมมือของคณะสาธารณสุขฯ กับ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จำกัด สืบเนื่องมาจากแผนงานของเราทั้งสองฝ่ายนั้น นอกจากจะตอบโจทย์Health Literacyซึ่งมีหัวใจสำคัญ คือเข้าถึง เข้าใจ โต้ตอบ ซักถาม แลกเปลี่ยน ตัดสินใจ เปลี่ยนพฤติกรรม และบอกต่อตามนโยบายของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่คำนึงถึงสุขภาพของประชาชน คณะสาธารณสุขฯ ของเรายังต้องการองค์กรที่จะมาช่วยตอบโจทย์ด้านนวัตกรรมดิจิทัลให้กับเราด้วย นั่นก็เพราะคณะสาธารณสุขฯ ของเราสามารถเป็นนวัตกรรมสังคมให้กับผู้คนได้ด้วยตัวเอง แต่เรายังขาดองค์กรที่จะมาต่อยอดนวัตกรรมด้านดิจิทัลและไอทีที่สามารถเข้ากับ Health Literacy ของคนทั่วไปได้แบบง่ายๆ ทางบริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ มาเสนอแผนงานให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจึงเลือกที่จะลงนามความร่วมมือด้วย”
ดร.ชะนวนทองบอกอีกว่า “การที่ตัดสินใจลงนามร่วมมือกับ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ สิ่งสำคัญอีกประการก็
คือ การมีค่านิยมร่วมที่ตรงกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งไม่ใช่ธุรกิจที่วัดเพียงตัวเงิน หรือรายได้เท่านั้น แต่เป็นธุรกิจที่สร้างมูลค่าให้กับสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ตีค่าไม่ได้ อีกอย่างบริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ ไม่ได้เอางานวิจัย หรือนวัตกรรมที่มีมาขาย แต่นำมาเพื่อพัฒนาร่วมกัน ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างมูลค่าให้กับทุกคน และช่วยลดช่องว่างระหว่างฐานะได้ นี่คือหลักการของงานสาธารณสุขที่เห็นประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นสำคัญ”
“ดิฉันมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การลงนามร่วมมือกันในครั้งนี้ นอกจากจะตอบโจทย์ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว ยังช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้กับทุกคนอีกด้วย เพราะยุคนี้คำว่า สุขภาพกับเศรษฐกิจต้องเดินควบคู่กันไป ยิ่งในช่วงโควิด-19 ระบาดนี่ยิ่งสำคัญ เนื่องจากเราจะอยู่คนเดียวในสังคมไม่ได้ เราต้องพึ่งพากัน และมองไปในทางบวก ดิฉันมองว่านักธุรกิจก็เปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทางที่ต้องเดินไปด้วยกัน ยิ่งงานวิจัยที่ทำให้สังคมดีขึ้น เรายิ่งต้องส่งเสริมสนับสนุน แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง และทำด้วยความโปร่งใส เพื่อให้ผลที่ได้ออกมาดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะงานสาธารณสุขไม่ได้อยู่แค่ในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่อยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคนด้วย อย่างโครงการ‘สูงเนินโมเดล’ที่ดิฉันเคยทำที่ จ.นครราชสีมา ที่เริ่มต้นเมื่อปี 2561 จนมาถึงปัจจุบันนี้ เชื่อมั้ยว่าเราสามารถช่วยให้มีผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่สูงเนินน้อยลงอย่างมาก เพราะทุกคนที่เข้าร่วมได้รับความรู้และหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเองอย่างจริงจังนั่นเอง”
ดร.ชะนวนทองพูดถึงแนวคิด‘อยู่ เป็น สุข’ หรือ V Wellbeingว่า V หมายถึง เราทุกคน ที่ต้องเข้าถึงและเข้าใจข้อมูลในเรื่องการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง และคำว่า Wellbeing หมายถึง สุขทั้งในและนอก อยู่ตรงไหนก็สุข เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร และรู้ว่าเพื่อน หรือครอบครัวเราทำอะไร คือต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของตัวเองได้ เพราะเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป เราก็จะสามารถอยู่กับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีความสุข
“สำหรับแนวคิดในการขับเคลื่อน หรือผลักดันงานวิจัยด้านสุขภาพ ตามความคิดของดิฉัน คือ การแชร์ความรู้ให้กันและกันนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งตรงกับหลักการของ Health Literacy ที่สุดเลย เพราะทุกคนเป็นหมอด้วยตัวเองในเรื่องสุขภาพได้ ฉะนั้น ก่อนที่จะเจ็บป่วย เราต้องรู้วิธีป้องกัน หรือเมื่อเจ็บป่วยแล้ว เราต้องสามารถพูดคุยกับหมอที่โรงพยาบาลรู้เรื่อง นี่คือสิ่งที่คณะสาธารณสุขฯ ลุกขึ้นมาขับเคลื่อนและผลักดัน เพื่อทำให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอภาคในเรื่องสุขภาพที่ดีอย่างเท่าเทียมกัน”
ด้านนายภาคภูมิ เพิ่มมงคลกรรมการผู้จัดการ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จำกัดพูดถึงความเป็นมาของการจับมือร่วมกันทำงานด้านวิจัยให้ฟังว่า “เนื่องจากย่านโยธีเป็นพื้นที่ ที่เน้นในเรื่องนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ความเป็นมาที่ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ ได้มาร่วมมือกับคณะสาธารณสุขฯ ม.มหิดล เนื่องมาจากประเทศไทยของเรานั้น เป็นจุดหมายด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่ถือเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้วยบริการที่ดีกว่า และราคาที่เป็นมิตร เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้ว เมืองไทยจึงได้เปรียบ สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือ บ้านเรามีสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเป็นที่พักฟื้นให้ผู้ป่วยซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก จะไปภูเขา หรือทะเลก็เดินทางแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น แถมค่าครองชีพในบ้านเรายังไม่สูงมาก รัฐบาลจึงต้องการโปรโมทเรื่องนี้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากธุรกิจเกี่ยวกับการแพทย์อย่างโรงพยาบาลแล้ว ยังเป็นการกระจายรายได้ไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น สปา และเวลเนส ซึ่งบ้านเรามีชื่อเสียงเป็นอย่างดีอยู่แล้วทั่วทุกภูมิภาคของไทย พอเรานำโครงการนี้มาเสนอกับท่านคณบดีคณะสาธารณสุขฯ ท่านก็เห็นด้วยทันที เพราะเป็นสิ่งที่คณะสาธารณสุขฯ ต้องการจะผลักดันในเรื่องนี้อยู่แล้ว”
นายภาคภูมิบอกว่า “บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ เคยเซ็นสัญญาลงนามความร่วมมือกับโรงพยาบาลและสถาบันการแพทย์ชั้นนำมาก่อนแล้ว ซึ่งเป็นความร่วมมือกันในการพัฒนา นวัตกรรมการแพทย์เชิงป้องกัน (Preventive Healthcare) ดังนั้น เมื่อลงนามกับคณะสาธารณสุขฯ ม.มหิดล ก็จะเน้นนโยบาย ‘การป้องกัน’ ซึ่งจะช่วยลดทั้งค่ายา ค่ารักษา และค่าเครื่องมือแพทย์ เป็นการช่วยประหยัดงบประมาณให้กับรัฐบาลได้อีกทางหนึ่ง เพราะต่อให้คุณเป็นคนร่ำรวยมีเงินเยอะ แต่ถ้าคุณต้องมาเจ็บป่วยบ่อยๆ คุณก็ไม่มีความสุขแน่นอน ดังนั้น มาหาทางป้องกันไว้ก่อนเป็นการดีที่สุด”
“สำหรับบทบาทของ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ เราถือว่าเราเป็นบริษัทเอกชนรายแรกๆ ที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นสถาบันที่ก่อตั้งโดยรัฐบาลได้ชวนเรามาร่วมมือด้วย ด้วยความที่บริษัทเราได้รับการสนับสนุนด้านนวัตกรรมมาโดยตลอด 11 ปี ทั้งทุนวิจัย ทั้งการประชาสัมพันธ์งานวิจัย ซึ่งทั้งหมดเป็นการนำงานวิจัยจากบนหิ้งไปสู่ห้าง พูดง่ายๆ ว่าเป็นการนำงานวิจัยต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ เมื่อ NIA ต้องการสนับสนุนงานวิจัยให้มีอิมแพคมากขึ้น NIA จึงมีนโยบายในการสนับสนุนให้เกิดย่านนวัตกรรม อย่างที่ได้บอกไว้ว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์อันดับ 1 ของโลก ฉะนั้น ย่านนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพโยธีจึงเหมาะสมมาก เพราะมีโรงพยาบาลและสถาบันวิจัยการแพทย์ตั้งอยู่เยอะอยู่แล้ว”
“รูปแบบการทำงานของเรา คือ จะต้องคุยกับนักวิจัยก่อน ว่างานวิจัยไหนสามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้บ้าง เช่น ถุงเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยูเรีย ชิ้นนี้เป็นงานวิจัยที่บริษัทเราทำขึ้นมา คุณสมบัติ คือ ถุงเท้านี้จะช่วยลอกผิวหนังเท้าของผู้ป่วยเบาหวานให้หลุดร่อนออกมาโดยง่าย เพื่อไม่ให้ผิวหนังบริเวณเท้าเกิดแผลกดทับ แล้วลามเป็นแผลไม่หายจนถึงขั้นผู้ป่วยต้องตัดขา หรือจะเป็นนวัตกรรมวัสดุเส้นใยชีวภาพขึ้นรูปจากน้ำมะพร้าวที่นำมาทำเป็นแผ่นมาส์กหน้าส่งไปขายที่เกาหลี ซึ่งมาส์กนี้สามารถช่วยป้องกันฝ้าและป้องกันการอักเสบที่เกิดจากการยิงเลเซอร์เพื่อความงามบนใบหน้าได้ เป็นต้น”
“ด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ ก็ยิ่งเข้ากับนโยบายการป้องกันของเราพอดีเลย สิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ในตอนนี้ คือ การป้องกัน โดยทำให้สุขภาพของตัวเองแข็งแรงเข้าไว้ วิธีการของเรา คือ เปลี่ยนวิธีให้ข้อมูล เป็นภาษา หรือ รูปภาพ ที่เข้าใจได้ง่าย สอดคล้องกับวิถีชีวิต และภูมิสังคม ของคนกลุ่มต่างๆ เพื่อเขาจะได้นำข้อมูลไปใช้ ในการตัดสินใจได้ และ ทำตามที่ตัดสินใจจนสำเร็จ ซึ่งกระบวนการนี้ เรียกว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (health literacy) เช่น ลดการกินยา โดยเลือกรับประทานอาหารที่ได้คุณค่าแทน ลดการรับประทานเค็มครึ่งหนึ่ง หรือลดการรับประทานหวานครึ่งหนึ่ง เป็นต้น โดยเราจะมีเครื่อง Bio Feedback ซึ่งเป็นเครื่องสแกนดิจิทัล เพื่อตรวจวัดตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งเครื่องนี้จะสะท้อนผลลัพธ์ออกมาให้เห็นว่า มีอวัยวะส่วนไหนภายในร่างกายของเราที่กำลังมีความผิดปกติเกิดขึ้นบ้าง ทำให้เรารู้ถึงสาเหตุและรีบป้องกันการเจ็บป่วยได้ นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมการทำ Urban Farm โดยใช้พื้นที่ของดาดฟ้าตึกปลูกผัก และใช้ระบบดิจิทัลรดน้ำอัจฉริยะ โดยการวัดสภาพอากาศและควบคุมเวลาเปิด-ปิดน้ำผ่านแอพพลิเคชั่น มีโรงเรือนกางมุ้ง และมีห้องแล็บ เพื่อตรวจสอบเรื่องยาฆ่าแมลง เชื้อโรค รวมทั้งไข่พยาธิด้วย ซึ่งเราจะใช้ตรงนี้เป็นโมเดลในอนาคต โดยจะเริ่มลงมือทำในเดือนธันวาคมนี้”นายภาคภูมิกล่าวทิ้งท้าย
ข้อมูลข่าวโดย :มหาวิทยาลัยมหิดล
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37391 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. เข้ม สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศแจ้งประสานเจ้าหน้าที่สกัดกั้นและติดตามผู้ลักลอบเข้าเมือง ใช้กลไกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ท้องถิ่น เฝ้าระวังบุคคลที่เข้ามาในพื้นที่ พร้อมกำชับห้ามเจ้า | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ศบค.มท. เข้ม สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศแจ้งประสานเจ้าหน้าที่สกัดกั้นและติดตามผู้ลักลอบเข้าเมือง ใช้กลไกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ท้องถิ่น เฝ้าระวังบุคคลที่เข้ามาในพื้นที่ พร้อมกำชับห้ามเจ้า
ศบค.มท. เข้ม สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศแจ้งประสานเจ้าหน้าที่สกัดกั้นและติดตามผู้ลักลอบเข้าเมือง ใช้กลไกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ท้องถิ่น เฝ้าระวังบุคคลที่เข้ามาในพื้นที่ พร้อมกำชับห้ามเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจ ปล่อยปละละเลย
วันนี้ (7 ธ.ค. 63) เวลา 07.00 น. ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีบัญชาให้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ให้เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้จังหวัดแจ้งหน่วยปฏิบัติ กลไกผู้ปกครองท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เน้นความเข้มข้นในการสกัดกั้นและติดตามผู้ลักลอบเข้าเมืองตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข
เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามบัญชาของนายกรัฐมนตรีข้างต้น นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด/ประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ดำเนินการ 3 มาตรการ ได้แก่ 1) ประสานแจ้งหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ เช่น ตำรวจภูธร ตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ทหาร และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข บูรณาการสกัดกั้นและติดตามการลักลอบเข้าเมืองที่ไม่ผ่านกระบวนการคัดกรองโรค โดยเฉพาะการลักลอบเข้าประเทศทางช่องทางธรรมชาติ 2) แจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครในพื้นที่ เฝ้าระวังสังเกต และใช้มาตรการทางการข่าว โดยวางข่ายข่าว จัดตั้งแหล่งข่าว และอาจกำหนดให้มีการตั้งด่านคัดกรองโรคสำหรับบุคคลที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ให้สอดคล้องกับมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยหากตรวจพบให้ดำเนินการตามระเบียบกฎหมาย มาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และรายงานผู้รับผิดชอบตามกฎหมายคนเข้าเมืองให้ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด และ 3) ชี้แจงทำความเข้าใจกับข้าราชการ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ห้ามมิให้ปล่อยปละละเลยหรือรู้เห็นเป็นใจในพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37377 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ เปิดตึกผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3 ชั้น พัฒนาศักยภาพดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
รพ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ เปิดตึกผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3 ชั้น พัฒนาศักยภาพดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน
โรงพยาบาลแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เปิดตึกอุบัติเหตุฉุกเฉิน รองรับบริการด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ ลดการส่งต่อ ลดความแออัด ผู้มารับบริการในโรงพยาบาลขนาดใหญ่
โรงพยาบาลแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เปิดตึกอุบัติเหตุฉุกเฉิน รองรับบริการด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ ลดการส่งต่อ ลดความแออัด ผู้มารับบริการในโรงพยาบาลขนาดใหญ่
วันนี้ (7 ธันวาคม 2563 ) ที่โรงพยาบาลแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดอาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3 ชั้น และรับมอบเงิน 10 ล้านบาท จากพระเทพมงคลเมธี (หลวงพ่อประจักษ์ โชติโก) ณ วัดชัยสามหมอ พระอารามหลวง เพื่อนำไปสร้างห้องผ่าตัด ห้องตรวจหัวใจ และห้อง ICU พร้อมทั้งเปิดกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด ชมรม To Be Number One
นายแพทย์เกียรติภูมิให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลแก้งคร้อเป็นโรงพยาบาลชุมชนแม่ข่าย ที่ตั้งอยู่บนถนนสายหลัก ที่มีการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงบ่อยครั้ง ในปี 2561 มีรายงานผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแก้งคร้อ 1,135 ราย และปี 2562 จำนวน 1,288 ราย จึงจำเป็นที่จะต้องขยายบริการด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ ตลอดจนหอผู้ป่วยวิกฤติ โดยก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3 ชั้นเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับงบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุข 59,202,750 บาท (ห้าสิบเก้าล้านสองแสนสองพันเจ็ดร้อยห้าสิบบาทถ้วน) สามารถให้บริการประชาชนได้เพิ่มมากขึ้น และช่วยลดความแออัด ลดการส่งต่อไปโรงพยาบาลศูนย์ชัยภูมิได้
นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหลักการทำงานในสถานการณ์โควิด 19 ต้องเตรียมพร้อมรองรับโอกาสและสถานการณ์ที่จะมาถึง ให้เข้มข้นมาตรการป้องกันตนเอง DMHT ได้แก่ สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และการตรวจรักษาที่รวดเร็ว โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ต้องดูแลสัมผัสกับผู้ป่วย/ ผู้รับบริการ อยากให้นำแนวคิด “นนก” นำหนึ่งก้าวไปใช้ประยุกต์ เน้นทำงานในเชิงรุก เช่น การออกเยี่ยมบ้านในชุมชน รวมถึงการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ให้ อสม.ในพื้นที่ ช่วยกันสอดส่องดูแล หากพบเห็นใครแปลกหน้าให้รีบแจ้งหน้าที่ทันที
สำหรับอาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3 ชั้น ประกอบด้วย ชั้นที่ 1 เป็นห้องตรวจผู้ป่วยนอกและห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน ชั้นที่ 2 เป็นห้องปฏิบัติการ ทันตกรรม หอผู้ป่วยหนัก และชั้นที่ 3 เป็นห้องคลอดและ ห้องผ่าตัด โดยปัจจุบันมีแพทย์ทั้งหมด 16 คน แพทย์เฉพาะทางได้แก่ สูติ-นรีแพทย์ 2 คน กุมารแพทย์ 2 คน แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว 1 คน แพทย์ศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ 1 คน แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป 8 คน ทั้งนี้อยู่ในแผนพัฒนาแพทย์เฉพาะทางเพิ่มคือ ศัลยแพทย์และวิสัญญีแพทย์
******************************* 7 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37425 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพส. เปิดประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ธพส. เปิดประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี
ธพส.เตรียมเปิดประมูลงานจ้างก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี มูลค่าโครงการกว่า 6,700 ล้านบาท คาดได้ผู้รับจ้างในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมขานรับนโยบายการส่งเสริมการลงทุนภาครัฐ และเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมตามแนวทางของรัฐ
บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) เตรียมเปิดประมูล งานจ้างก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี มูลค่าโครงการกว่า 6,700 ล้านบาท คาดได้ผู้รับจ้างในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมขานรับนโยบายการส่งเสริมการลงทุนภาครัฐ และเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมตามแนวทางของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้ได้ตามเป้าหมายของปี 2563 และ 2564
ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ ธพส. ผู้บริหารโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ถนนแจ้งวัฒนะ เปิดเผยว่า ธพส. ได้ประกาศประกวดราคาจ้างงานก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือ ของโครงการส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ โซนซี ซึ่งมีราคากลางในการจัดจ้างประมาณ 6,729 ล้านบาท และกำหนดวัน e-bidding ในวันที่ 17 ธันวาคม 2563
สำหรับงานก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือ ของศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ โซนซี มีกรอบระยะเวลาในการดำเนินงาน 840 วัน โดยจะดำเนินงานก่อสร้างตามมาตรฐานอาคารเขียวไทย (TREES) และ ธพส. มีแผนที่จะเสนอขอรับรองมาตรฐาน LEED จาก United States Green Building Council หรือ USGBC ด้วย
ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี ได้ดำเนินงานเสาเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างชั้นใต้ดิน (Basement) ซึ่งได้ลงนามสัญญาจ้างไปเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา และมีความก้าวหน้าในการดำเนินงานเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนกันยายน 2564
หลังจากการเปิดประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือแล้ว ธพส. จะดำเนินงานประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคารด้านทิศตะวันออก อาคารด้านทิศตะวันตก และอาคารสนับสนุนต่อไปในช่วงกลางปี 2564 โดย ธพส. มั่นใจว่าจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จตามกำหนดในเดือนกันยายน 2566 อย่างแน่นอน
ดร.นาฬิกอติภัค กล่าวต่อว่า สำหรับการเบิกจ่ายงบลงทุนของปี 2563 ในการก่อสร้างพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ โซนซี ปัจจุบันเบิกจ่ายไปแล้วกว่า 88% คาดว่าจะเบิกจ่ายได้ครบทั้ง 100% หรือประมาณ 1,642 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 2564 คาดว่าจะใช้งบลงทุนในการก่อสร้างเพิ่มเติมอีกประมาณ 4,000 – 5,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะสามารถเบิกจ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ถือว่าเป็นการตอบรับตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และเป็นการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นการขับเคลื่อนให้มีกระแสเม็ดเงินไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายของนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ส่วนประชาสัมพันธ์ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.)
โทร. 0 2142 2264
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37428 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และปฏิบัติธรรมถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และปฏิบัติธรรมถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และปฏิบัติธรรมถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และปฏิบัติธรรมถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมีสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เข้าร่วมพิธี ณ อาคารมหาเจษฎาบดินทร์ ชั้น ๓ วัดยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37429 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดโครงการรณรงค์วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ภายใต้แนวคิด “กระทรวงเกษตรฯ ใสสะอาด ร่วมต้านการทุจริต (Zero tolerance & Clean MOAC)” | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดโครงการรณรงค์วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ภายใต้แนวคิด “กระทรวงเกษตรฯ ใสสะอาด ร่วมต้านการทุจริต (Zero tolerance & Clean MOAC)”
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดโครงการรณรงค์วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ภายใต้แนวคิด “กระทรวงเกษตรฯ ใสสะอาด ร่วมต้านการทุจริต (Zero tolerance & Clean MOAC)”
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธาน เปิดงานโครงการรณรงค์วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ภายใต้แนวคิด “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใสสะอาด ร่วมต้านการทุจริต (Zero tolerance & Clean MOAC)” ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากปัญหาการทุจริตคอรัปชันในภาครัฐ เป็นปัญหารุนแรง เรื้อรัง ส่งผลกระทบกับการพัฒนาประเทศ และเป็นภาพลบต่อความเชื่อมั่นในระบบราชการไทย คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริตภาครัฐระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2565) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2559 ซึ่งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐได้กำหนดวิสัยทัศน์ “ประเทศไทย ใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต” โดยมีพันธกิจหลักเพื่อสร้างวัฒนธรรมการต่อต้านทุจริต ปฏิรูปกระบวนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตทั้งในระบบให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ผ่านยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศไทยมีระดับคะแนนของดัชนีการรับรู้การทุจริต สูงกว่า ร้อยละ 50 ภายในปี 2564
ดังนั้น เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้จัดโครงการรณรงค์วันต่อต้านคอร์รัปชันของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องในโอกาสวันต่อต้านคอรัปชั่นสากล (ประเทศไทย) เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการต่อต้านการทุจริตให้บุคลากรในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ แสดงถึงภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรใสสะอาด เปิดเผย โปร่งใส ปลอดการทุจริต ตลอดจนปลูกจิตสำนึกสร้างพฤติกรรมซื่อสัตย์แก่บุคลากร รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน และภาพลักษณ์ที่ดีของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37379 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานวุฒิสภา ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรี และคู่สมรส เข้าร่วมพิธี ณ ท้องสนามหลวง ในการนี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมวางพานพุ่มถวายความเคารพด้านหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ฯ ในนามกระทรวงวัฒนธรรมด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37400 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อจัดทำมาตรการป้องกันการทุจริตกระทรวงยุติธรรม | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อจัดทำมาตรการป้องกันการทุจริตกระทรวงยุติธรรม
นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต เป็นประธานเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อจัดทำมาตรการป้องกันการทุจริต กระทรวงยุติธรรม
ในวันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น.ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์นพลัสแวนด้าแกรนด์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต เป็นประธานเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อจัดทำมาตรการป้องกันการทุจริต กระทรวงยุติธรรม โดยมี บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านบริหารความเสี่ยงในสังกัดกระทรวงยุติธรรม จำนวนทั้งสิ้น ๖๐ คน เข้าร่วมฯ เพื่อให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ได้ทบทวนมาตรการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบของส่วนราชการ รวมทั้งได้ร่วมกันวิเคราะห์ความเสี่ยง และจัดทำมาตรการ แนวทางในการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่อาจเกิดขึ้นในหน่วยงาน
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า นโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญและกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ การดำเนินการทางวินัยและทางอาญาต่อข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่มีข้อร้องเรียน เกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ หลักการกำหนดให้มีการวางระบบการประเมินความเสี่ยง ต่อการทุจริตและประพฤติมิชอบในส่วนราชการกระทรวงยุติธรรมได้เห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงได้สั่งการให้มีการกำหนดมาตรการแผนบริหารจัดการความเสี่ยง ที่อาจก่อให้เกิดการทุจริตและป้องกันเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ ของบุคลากรในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ความไม่เป็นธรรมให้แก่ประชาชนโดยเร็ว อย่างบูรณาการ และมีเอกภาพชัดเจนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37437 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ชวนอุดหนุนกระเช้าสินค้าสหกรณ์เป็นของขวัญปีใหม่ | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
รมช.มนัญญา ชวนอุดหนุนกระเช้าสินค้าสหกรณ์เป็นของขวัญปีใหม่
รมช.มนัญญา ชวนอุดหนุนกระเช้าสินค้าสหกรณ์เป็นของขวัญปีใหม่ ในโอกาสเป็นประธานเปิดตัวโครงการส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ด้วยสินค้าสหกรณ์ ประจำปี 2564 รณรงค์ให้คนไทยซื้อของไทย สร้างรายได้กลับคืนสู่สมาชิกสหกรณ์ปีละ 1.2 ล้านบาท
มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ด้วยสินค้าสหกรณ์ ประจำปี 2564 ว่าโครงการฯ ดังกล่าวเป็นการนำสินค้าของสหกรณ์มาตกแต่งและจัดเป็นกระเช้าของขวัญเพื่อจัดจำหน่ายส่งมอบความสุขและความปรารถนาดีให้แก่กันในช่วงเทศกาลปีใหม่ โครงการฯ นี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 ตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ให้มาเลือกซื้อกระเช้าสินค้าสหกรณ์เป็นของขวัญปีใหม่ โดยในแต่ละปีสามารถสร้างรายได้กลับคืนสู่สมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าในจังหวัดต่างๆ ได้ปีละประมาณ 1.2 ล้านบาท
รมช.มนัญญา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายในการส่งเสริมให้เกษตรกรนำผลผลิตการเกษตรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ทั้งพืชผัก ผลไม้ สมุนไพร สินค้าประมง และปศุสัตว์ มาพัฒนาต่อยอดโดยการแปรรูปเป็นสินค้าและผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่มีความหลากหลายและทันสมัย ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตการเกษตร ซึ่งต้องคำนึงถึงความต้องการของตลาด ใส่ใจกับทุกขั้นตอนการผลิตสินค้าเพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน และคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก ยกระดับสู่การเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยมเพื่อสร้างรายได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น ซึ่งโครงการนี้เป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะช่วยส่งเสริมและรณรงค์ให้คนไทยช่วยกันซื้อของไทยและใช้ของไทยที่เป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาชาวบ้าน และเป็นการสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า รูปแบบของกระเช้าสินค้าสหกรณ์ที่จะนำมาจำหน่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ได้คัดสรรสินค้าและผลิตภัณฑ์จากสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มอาชีพของสหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนต่าง ๆ ได้แก่ ข้าวอินทรีย์ อาหารแปรรูป ผลไม้แปรรูป ขนมที่ทำจากธัญพืชและสมุนไพร และพิเศษสุดสำหรับปีนี้คือ ได้คัดเลือกสินค้าและผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร และสินค้าของสมาชิกสหกรณ์จากโครงการซูเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ ร่วมจัดใส่ลงในกระเช้าปีใหม่ด้วย ซึ่งสินค้าของลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านที่จะนำมาจัดลงกระเช้าของขวัญ มีทั้งข้าวกล้อง ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันญี่ปุ่น ของลูกหลานเกษตรกรจากจังหวัดขอนแก่น มะขามคลุก มะเขือเทศแช่อิ่ม กระเทียมโทนดองน้ำผึ้งและสามรส จากจังหวัดเชียงใหม่ ผักและผลไม้เมืองหนาว เช่น กะหล่ำปลี ซูกินี (แตงกวาญี่ปุ่น) มะเขือเทศราชินี สีแดงและสีเหลือง เกรฟฟุ๊ด พริกยักษ์ และกะหล่ำม่วง จากซูเปอร์มาเก็ตสหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์การเกษตรเชียงใหม่ จำกัด ซึ่งสินค้าทุกชนิดจะเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ภายใต้แนวคิด “ส่งความสุข ส่งความห่วงใย จากใจสินค้าสหกรณ์”
ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านที่ต้องการซื้อกระเช้าของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ได้มาเลือกซื้อสินค้าสหกรณ์และผลผลิตของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ได้คัดสรรมาจัดตกแต่งไว้ในกระเช้าของขวัญที่ตกแต่งด้วยผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าบาติก ที่มีสีสันสวยงาม นอกจากจะเป็นการมอบสิ่งดีๆ ให้กับคนที่เรารักและเคารพแล้ว ยังได้สร้างกำลังใจและสร้างรายได้พร้อมความสุขกลับคืนสู่เกษตรกรที่ผลิตสินค้าเหล่านี้อีกด้วย โดยช่องทางการสั่งซื้อกระเช้าสินค้าสหกรณ์สามารถเลือกรูปแบบกระเช้าของขวัญและสินค้าสหกรณ์ที่จะนำมาจัดลงกระเช้าปีใหม่ได้จาก Facebook : coop market (โคออบ มาร์เก็ต) หรือโทร. 02-6285512 มีหลายราคาตั้งแต่ 500-3,000 บาท มีทั้งกระเช้าสำเร็จรูปและตกแต่งไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์มีบริการจัดส่งฟรีสำหรับผู้ที่สั่งซื้อกระเช้าสินค้าสหกรณ์ ครบ 5,000 บาท ขึ้นไป เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจะเปิดจำหน่ายทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2563 - 12 มกราคม 2564 และในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ ทางกรมส่งเสริมสหกรณ์จะแจกคูปองส่วนลด 10% เป็นการขอบคุณทุกท่านที่มาอุดหนุนสินค้าสหกรณ์ และในวันที่ 15 ธันวาคม 2563 นี้ จะนำตัวอย่างกระเช้าปีใหม่จากสินค้าสหกรณ์ไปจัดแสดงในวันที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการฯ นี้ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37395 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเปิดระบบนัดหมายออนไลน์ เพิ่มประสิทธิภาพให้คำปรึกษานักลงทุน | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
บีโอไอเปิดระบบนัดหมายออนไลน์ เพิ่มประสิทธิภาพให้คำปรึกษานักลงทุน
บีโอไอเปิดระบบนัดหมายออนไลน์ เพิ่มประสิทธิภาพให้คำปรึกษานักลงทุน
บีโอไอเปิดระบบนัดหมายออนไลน์
เพิ่มประสิทธิภาพให้คำปรึกษานักลงทุน
บีโอไอเปิดระบบนัดหมายออนไลน์เพื่อให้คำปรึกษาการลงทุน ระดมทีมร่วมให้ข้อมูลครบถ้วน ตั้งแต่เรื่องการยื่นขอรับการส่งเสริม ตลอดจนการใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ จากบีโอไอ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ พร้อมอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนตามแนวทางเว้นระยะห่างทางสังคม
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยว่า
บีโอไอเปิดตัวหน่วยให้คำปรึกษานักลงทุน หรือ Customer Service Unit (CSU) เพื่อให้คำปรึกษาอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุน ตั้งแต่เรื่องหลักเกณฑ์การขอรับการส่งเสริม นโยบาย ประเภทกิจการ และขั้นตอนการขอรับการส่งเสริม ตลอดจนการใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ของบีโอไอ เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล เครื่องจักร วัตถุดิบ และที่ดิน โดยมีทีมเจ้าหน้าที่ร่วมให้คำปรึกษาครอบคลุมกว่า 300 ประเภทกิจการที่บีโอไอเปิดให้การส่งเสริม
ทั้งนี้ หน่วย CSU เกิดขึ้นภายหลังจากที่บีโอไอได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่เมื่อเดือนตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่รัฐบาลมอบหมายในการเร่งส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนให้สอดรับกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยนักลงทุนสามารถเข้าระบบออนไลน์เพื่อนัดหมายขอรับคำปรึกษาได้ตลอดเวลาก่อนเดินทางเข้ารับคำปรึกษาที่สำนักงานบีโอไอ ถนนวิภาวิดีรังสิต หรือรับคำปรึกษาผ่านระบบการประชุมทางไกล
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการเดินทาง การติดต่อประสานงานทางธุรกิจและ
การลงทุนต่างๆ บีโอไอจึงนำเทคโนโลยีมาใช้ยกระดับการบริการ เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับนักลงทุนอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ครบถ้วนด้วยระบบการนัดหมายออนไลน์ล่วงหน้า ก่อนเข้ารับคำปรึกษาที่สำนักงานบีโอไอ ทำให้บริการได้อย่างทั่วถึง ลดความแออัด และเป็นการปฏิบัติตามแนวทางการเว้นระยะห่างทางสังคม” นางสาวดวงใจกล่าว
หน่วย CSU จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาทุกวัน ในวันและเวลาราชการ นักลงทุนสามารถนัดหมาย ผ่านระบบออนไลน์ทาง booking.boi.go.th หรือ นัดหมายผ่านโทรศัพท์ 0 2553 8300 นอกจากนี้ บีโอไอยังมีบริการสำหรับนักลงทุนที่ไม่สามารถเดินทางมาขอรับคำปรึกษาได้ด้วยตนเอง ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37417 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
รมว.วธ.ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๗.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและภริยา พร้อมด้วยนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมพิธี ณ ท้องสนามหลวง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37398 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. ร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
รมว.วธ. ร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
รมว.วธ. ร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๕๒ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ไปยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวงในการทรงจุดเทียนมหามงคล เพื่อถวายราชสดุดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และภริยา คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และประชาชน เฝ้ารับเสด็จ ในการนี้ ทรงทอดพระเนตรการแสดง ๓ ชุด คือ การแปรอักษรภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยอากาศยานไร้คนขับประกอบเพลง KINGOF KINGS การแสดงการขับร้องเพลงประสานเสียงโดยเด็กและเยาวชน และการแสดงทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวไทย ชุด “บุปผาสักการะน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ” โดยนักแสดงจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และภริยา นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เฝ้ารับเสด็จ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37409 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพในหลวงรัชกาลที่ 9 วันชาติ และ วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 | วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ทส. ร่วมกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพในหลวงรัชกาลที่ 9 วันชาติ และ วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563
ทส. ร่วมกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพในหลวงรัชกาลที่ 9 วันชาติ และ วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2563 เวลา 19.19 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีจุดเทียนมหามงคลเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และเจ้าคุณพระสีนีนาฏ พิลาสกัลยาณี ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37418 |