title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โปร 10 เดือน 10 กลับมาอีกครั้ง โอกาสดีของคนอยากมีบ้าน ธอส.เปิดประมูลขายบ้านมือสองออนไลน์ผ่านแอป G H Bank Smart NPA ลดราคาเต็มพิกัดสูงสุด 40% ทำนิติกรรมภายใน 30 ธ.ค.63 ลดเพิมอีก 10% | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
โปร 10 เดือน 10 กลับมาอีกครั้ง โอกาสดีของคนอยากมีบ้าน ธอส.เปิดประมูลขายบ้านมือสองออนไลน์ผ่านแอป G H Bank Smart NPA ลดราคาเต็มพิกัดสูงสุด 40% ทำนิติกรรมภายใน 30 ธ.ค.63 ลดเพิมอีก 10%
พรุ่งนี้ห้ามพลาด!! ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดงานมหกรรม 10.10 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ประจำเดือนตุลาคม ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA คัดทรัพย์ใหม่คุณภาพดี ทำเลเด่นใจกลางเมือง
พรุ่งนี้ห้ามพลาด!! ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดงานมหกรรม 10.10 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ประจำเดือนตุลาคม ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA คัดทรัพย์ใหม่คุณภาพดี ทำเลเด่นใจกลางเมือง อาทิ ใกล้ทางด่วน สถานีรถไฟฟ้า สถานศึกษา และแหล่งช้อปปิ้ง รวม 40 รายการ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงทรัพย์ในส่วนภูมิภาค ด้วยราคาเริ่มต้นประมูลลดจัดหนักสูงสุด ถึง 40% จากราคาปกติ ราคาต่ำสุดเพียง 105,000 บาทเท่านั้น พิเศษ!! ให้ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0%นานสูงสุด 60 เดือน ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี ผู้ชนะประมูล หากทำนิติกรรมภายใน 30 ธันวาคม 2563 รับส่วนลดเพิ่มอีก 10% เริ่มประมูลพร้อมกันทั้ง 40 รายการ ในวันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น.
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ มีกำหนดจัดมหกรรม 10.10 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส.ประจำเดือนตุลาคม โดยธนาคารได้คัดทรัพย์ใหม่สภาพดีทั่วประเทศรวม 40 รายการ ทั้งประเภททาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว ที่ดินเปล่า ห้องชุด และอาคารพาณิชย์ มาเปิดประมูลให้กับลูกค้าที่ต้องการมีบ้านได้เลือกซื้อแบบ New Normal ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ราคาเริ่มต้นประมูลให้ส่วนลดแบบจัดหนักสูงสุด 40% จากราคาปกติ หากทำนิติกรรมภายใน 30 ธันวาคม 2563 รับส่วนลดเพิ่มไปเลยอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูลสำหรับทรัพย์ที่นำมาเปิดประมูลในครั้งนี้แบ่งเป็นรายการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 18 รายการ โดยมีรายการที่น่าสนใจ อาทิ ทรัพย์ที่ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 865,000 บาท ได้แก่ ห้องชุดขนาด 28.5 ตารางเมตร ในโครงการสมาร์ทคอนโด พระราม 2 อ.บางขุนเทียน กรุงเทพฯ เดินทางสะดวกโดยรถยนต์เพราะอยู่ห่างจากทางด่วนเพียง 3.2 กิโลเมตรเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ เนื้อที่ 20.60 ตารางวา ในโครงการีสอร์ทต้าวัชรพล ซึ่งตั้งอยู่ในซอยสุขาภิบาล 5 (ซอย 10) ถนนวัชรพล ก็ถือเป็นอีกรายการที่เดินทางสะดวกเนื่องจากใกล้กับทางขึ้น-ลงทางด่วนฉลองรัช (รามอินทรา-อาจณรงค์) และรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งมีราคาเริ่มต้นประมูลที่ 3,060,000 บาท
ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาคที่นำออกประมูลมีจำนวน 22 รายการ แบ่งเป็นรายการที่น่าสนใจ อาทิ รายการที่มีราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุด 105,000 บาท ได้แก่ ที่ดินเปล่าขนาด 135 ตารางวา ในโครงการไทรโยคการ์เด้นฮิลล์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ส่วนทรัพย์ที่ราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงที่สุด 40% จากราคาปกติ โดยมีราคาเริ่มต้นประมูลเหลือเพียง 840,000 บาทเท่านั้น ได้แก่ บ้านเดี่ยว 1 ชั้น ในโครงการบ้านสวนแสนสุข คลอง 29 ขนาด 64 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ อ.องครักษ์ ถนนรังสิต-นครนายก(ทล.305) จ.นครนายก และบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดพื้นที่มากถึง 473 ตารางวา ในหมู่บ้านหนองแข้ อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด ราคาเริ่มต้นประมูลเพียง 1,890,000 บาทเท่านั้น ส่วนรายการ ที่ตั้งอยู่ในทำเลดี อาทิ รายการทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 56 ตารางวา ในโครงการเดอะวิกตอเรียพีค อ.เมือง จ.ขอนแก่น พื้นที่ใช้สอยในอาคาร 168 ตารางเมตร ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานศึกษาถึง 2 แห่ง และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ราคาเริ่มต้นประมูล 2,735,000 บาท
ทั้งนี้ การประมูลบ้านมือสองออนไลน์ในวันที่ 10 ตุลาคม 2563 ทั้ง 40 รายการ จะเริ่มเปิดประมูลพร้อมกันตั้งแต่เวลา 12.00 – 13.00 น. ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลออนไลน์ได้จนถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2563 เวลา 12.30 น.(เฉพาะลูกค้าที่ยังไม่เคยลงทะเบียน) ส่วนผู้ชนะการประมูลจะได้รับ QR Code สำหรับติดต่อกับธนาคารเพื่อชำระเงินและทำสัญญาตามที่ธนาคารกำหนดภายใน 3 วันทำการนับถัดจากวันที่ประมูลได้ และสามารถเลือกใช้โปรโมชั่นผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% ได้นานสูงสุด 60 เดือน หรือเทดาวน์แล้วยื่นกู้เลยก็มีสิทธิ์เลือกใช้โปรโมชั่นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน (ภายใต้เงื่อนไขของมาตรการพิเศษที่ธนาคารกำหนด) สอบถามรายละเอียด หรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com หรือ www.ghbank.co.th หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35854 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จับกัง 1” ติดตาม “บิ๊กป้อม” ลง พท สมุทรสงคราม สั่ง 5 เสือแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่ | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
“จับกัง 1” ติดตาม “บิ๊กป้อม” ลง พท สมุทรสงคราม สั่ง 5 เสือแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ติดตามรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่สั่ง 5 เสือแรงงานลุยช่วยชาวบ้านสมุทรสงครามแก้ยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ
วันที่ 9 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ติดตาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมประชุมการเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำในระดับพื้นที่โดยการใช้ระบบบริหารจัดการข้อมูลจากระบบการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform : TPMAP) ณ ศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม ทั้งนี้ ได้รับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน กระบวนการดำเนินงาน และผลสำเร็จของการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบบูรณาการจังหวัดสมุทรสงคราม ณ ห้องประชุม แม่กลอง ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงครามให้การต้อนรับ และบรรยายสรุปผลการดำเนินงานของจังหวัดในภาพรวม พร้อมนี้ ผู้แทน สภาพัฒน์ฯ ได้กล่าวความเป็นมาของการแก้ไขปัญหาความยากจน และตัวแทนผู้นำชุมชนและครัวเรือนเป้าหมายกล่าวถึงการได้รับความช่วยเหลือจากจังหวัดสมุทรสงคราม
สำหรับสถานการณ์ด้านแรงงานของจังหวัดสมุทรสงคราม มีกำลังแรงงานที่มีงานทำ จำนวน 111,075 คน แบ่งเป็นแรงงานนอกระบบ 58,454 คน และแรงงานต่างด้าว จำนวน 15,256 คน ทั้งนี้ นายสุชาติฯ กำชับ 5 เสือแรงงานในพื้นที่ติดตามพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีความต่อเนื่อง ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการขจัดและแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในประเทศ นำไปสู่การพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35835 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัดฯกอบชัย เปิดงานสัมมนา Delta Future Industry Summit 2020 | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
ปลัดฯกอบชัย เปิดงานสัมมนา Delta Future Industry Summit 2020
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนา Delta Future Industry Summit 2020 ภายใต้หัวข้อ "เตรียมพร้อมประเทศไทยรับมืออนาคตยุค Next Normal" ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท
วันนี้ (9 ต.ค. 63) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนา Delta Future Industry Summit 2020 ภายใต้หัวข้อ "เตรียมพร้อมประเทศไทยรับมืออนาคตยุค Next Normal" เพื่อเป็นเวทีพิเศษให้ทุกภาคส่วนได้เชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนแนวโน้มอุตสาหกรรมล่าสุด ร่วมผลักดันประเทศไทยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังยุคโควิด-19 โดยมี นายแจ็คกี้ จาง ประธานบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “การจัดงานในวันนี้ถือเป็นการเชื่อมโยงผู้นำในภาคอุตสาหกรรม เข้ากับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีท้องถิ่นทั่วไทย เพื่อมุ่งพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและเดลต้าอีเลคโทรนิกส์ ได้ร่วมงานกันอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาหลายปี และเป็น Big Brother ที่ให้การสนับสนุนกองทุน Delta Angle Fund ที่จัดเป็นประจำทุกปี เพื่อสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นกว่า 500 ล้านบาท”
-----------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35832 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปัญหาการเข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานของรัฐ | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
ปัญหาการเข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานของรัฐ
สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓
เรื่อง ปัญหาการเข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานของรัฐ
ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายมณเฑียร บุญตัน
ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ผู้ถาม : นายมณเฑียร บุญตัน ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้
ภายหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ ส่งผลให้มีการตระหนักถึงการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ประกอบกับมีพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๒ จนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา ๕๙ ได้กำหนดให้หน่วยงานของรัฐเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสาธารณะในส่วนที่เปิดเผยได้ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก แต่มีข้อจำกัดทางเทคโนโลยีและทัศนคติของเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง รวมถึงฝ่ายการเมือง อีกทั้งในอดีตเว็บไซต์ที่อยู่ในความดูแลของภาครัฐที่ให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยสะดวก ได้นำการเข้าถึงเว็บไซต์ของคนพิการมาเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการประเมิน ซึ่งคนพิการสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของรัฐได้ไม่ถึงร้อยละ ๑๐ แตกต่างจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่คนพิการสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของรัฐได้ถึงร้อยละ ๙๒ ในอดีตประเทศไทยขำดโครงสร้างทางกฎหมายที่จะเอื้อให้ระบบข้อมูลข่าวสารของรัฐเข้าถึงได้โดยสะดวก โดยปัจจุบันข้อมูลข่าวสารของรัฐใช้เว็บไซต์ที่เข้าถึงยาก ประชาชนยังคงใช้เอกสารในการเข้าถึงข้อมูลของรัฐ ซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ไม่เกิดการบูรณาการการเชื่อมโยงข้อมูล อย่างไรก็ดี ข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐที่เป็นความจริง ไม่มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชน
- ขอเรียนถามว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ดำเนินการวางมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยง ความปลอดภัย และเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกสำหรับประชาชนอย่างไร และมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามมาตรฐาน เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารมีความเชื่อมโยง ความปลอดภัยและเอื้อต่อการเข้าถึงได้โดยสะดวกอย่างไร อีกทั้งกฎหมายข้อมูลข่าวสารที่จะตราเพื่อรองรับมาตรา ๕๙ ของรัฐธรรมนูญจะมีหลักการอย่างไร เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยเป็นไปตามมาตรฐานที่กระทรวงได้กำหนดขึ้น และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ตลอดจนควรกำหนดการพัฒนาบุคลากรหรือการเข้าร่วมเป็นภาคีหรือมีส่วนร่วมในประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อกำหนดมาตรฐานของประเทศไทยและนำมาใช้หรือไม่อย่างไร
ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมผู้ถูกตั้งกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันข้อมูลคือ สิ่งสำคัญที่สุดในการบริหารราชการแผ่นดินโดยเฉพาะการนำข้อมูลต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ในเชิงวิเคราะห์และนำไปใช้ในเรื่องงบประมาณ การพัฒนาประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ประสานงานร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่รับผิดชอบให้หน่วยงานของรัฐมาใช้ระบบดิจิทัลแต่เนื่องจากปัจจุบันสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลได้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีไม่ได้สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้แนวทางการดำเนินการในช่วงหลังอาจไม่ตรงกัน จึงได้แก้ปัญหาโดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นกรรมการในคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและเข้าร่วมประชุมเพื่อให้การทำงานมีความสอดคล้อง มีแนวทางการพัฒนาการนำข้อมูลดิจิทัลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกันและในปีพ.ศ. ๒๕๖๔ รัฐบาลจะมีหน่วยงานที่รับผิดชอบฐานข้อมูลกลางของภาครัฐ โดยนำหน่วยงานของรัฐวิสาหกิจมำพัฒนาการเก็บข้อมูล (Cloud) มาใช้ที่เดียวกัน ต่างจากในอดีตที่ข้อมูลหน่วยงานของรัฐแยกกัน และไม่มีความพร้อมเข้าสู่ระบบดิจิทัล การรวบรวมข้อมูลภาครัฐเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันมีความยากและแตกต่างกัน ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมาสำนักงบประมาณได้ยุติการสนับสนุนงบประมาณที่หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยจะเช่า Cloud เพื่อเก็บข้อมูลของหน่วยงาน ฉะนั้น หน่วยงานของรัฐจึงต้องเก็บข้อมูลไว้ที่การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ช่วยประหยัดงบประมาณการเก็บข้อมูล ส่งผลให้มาตรฐานการเก็บข้อมูลเป็นมาตรฐานเดียวกัน การนำข้อมูลขนาดใหญ่มาใช้ประโยชน์ และเกิดรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E - Government) ซึ่งจะมีการหารือการเขียนโปรแกรมกับทุกหน่วยงาน เนื่องจากข้อมูลแต่ละหน่วยงานมีควำมหลากหลายและแตกต่างกัน จึงกำหนดให้การเข้าถึงข้อมูลแต่ละประเภทมีเหมาะสม และเมื่อรวมข้อมูลของหน่วยงานของรัฐไว้ที่เดียวกัน มีรูปแบบเดียวกัน การเข้าถึงและการเปิดเผยข้อมูลให้กับประชาชนย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น หน่วยงานของรัฐต้องปรับวิธีคิดของผู้บริหารขององค์กรต่าง ๆ ให้เข้าใจและพร้อมที่จะเปลี่ยนหน่วยงานของตนเข้าสู่กระบวนการทางดิจิทัล นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยตั้งเจ้าหน้าที่บริหารที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องระบบดิจิทัลหรือการบริหารจัดการหน่วยงานของตน และติดตามการทำงานของหน่วยงานของตนเข้าสู่กระบวนการดิจิทัล หรือรัฐบาลดิจิทัลตลอดทุกเดือน ซึ่งจะได้เห็นการบูรณาการการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง และมีสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทำหน้าที่ตรวจสอบและจัดทำมาตรฐานเกี่ยวกับอุปกรณ์ดิจิทัล ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานดิจิทัลของประเทศไทย และมาตรฐานเทียบเคียงสากลโดยคำนึงถึงมาตรฐานในประเทศด้วย เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้จริงและคำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน ส่วนการพัฒนาเจ้าหน้าที่รัฐได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาสู่รัฐบาลดิจิทัลตามนโยบายของรัฐบาล สำหรับการรักษาความปลอดภัยระบบข้อมูลหน่วยงานของรัฐและการสื่อสำรทางดิจิทัล ได้มีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยป้องกันมิให้ข้อมูลของหน่วยงานถูกละเมิดและนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมให้การสนับสนุนการช่วยเหลือต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35831 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ผนึกหน่วยงานภาครัฐ นำร่องศึกษาโครงการ ‘วันใหม่-ไปต่อ’ เดินหน้าช่วยผู้ประกอบการต่อเนื่อง มอบสิทธิพักชำระเงินต้นเพิ่มอีก 6 เดือน | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
SME D Bank ผนึกหน่วยงานภาครัฐ นำร่องศึกษาโครงการ ‘วันใหม่-ไปต่อ’ เดินหน้าช่วยผู้ประกอบการต่อเนื่อง มอบสิทธิพักชำระเงินต้นเพิ่มอีก 6 เดือน
SME D Bank ผนึกกำลังหน่วยงานภาครัฐ จับมือ IAM- SAM ศึกษาโครงการ “วันใหม่-ไปต่อ” ช่วยเหลือลูกค้าได้รับผลกระทบโควิด-19 ฟื้นฟูกิจการด้วยหลักเกณฑ์ผ่อนปรน พร้อมช่วยต่อเนื่อง มอบสิทธิขยายเวลาพักชำระเงินต้นให้ลูกค้าสถานะชำระปกติเพิ่มอีก 6 เดือน
SME D Bank ผนึกกำลังหน่วยงานภาครัฐ จับมือ IAM- SAM ศึกษาโครงการ “วันใหม่-ไปต่อ” ช่วยเหลือลูกค้าได้รับผลกระทบโควิด-19 ฟื้นฟูกิจการด้วยหลักเกณฑ์ผ่อนปรน พร้อมช่วยต่อเนื่อง มอบสิทธิขยายเวลาพักชำระเงินต้นให้ลูกค้าสถานะชำระปกติเพิ่มอีก 6 เดือน ประคองธุรกิจกลับคืนสู่ภาวะปกติ
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ส่งผลต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็นจำนวนมาก กระทบความสามารถการชำระหนี้ที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง ซึ่งกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ตามปกติของระบบสถาบันการเงิน มีข้อจำกัดต้องเป็นไปตามมาตรการทางกฎหมาย อีกทั้ง ต้นทุนสูง และใช้เวลานาน ไม่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีความเปราะบาง ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและโลกยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ
ดังนั้น SME D Bank จึงศึกษาแนวทางบูรณาการความช่วยเหลือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ร่วมกับบริษัท บริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด (IAM) และบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) เพื่อแก้ไขปัญหาและหาทางออกที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อ่อนแอเพราะสถานการณ์โควิด-19 ผ่านโครงการ “วันใหม่-ไปต่อ” พาเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูของสองหน่วยงานดังกล่าว ซึ่งจะได้รับการผ่อนปรนหลักเกณฑ์และข้อกำหนดทางกฎหมาย ลดภาระการชำระหนี้ พลิกฟื้นธุรกิจได้อีกครั้ง รวมถึงรักษาสถานะทางการเงินของธนาคาร ช่วยให้มีสภาพคล่องรองรับการขับเคลื่อนนโยบายทางการเงิน
ทั้งนี้ เมื่อผ่านกระบวนการฟื้นฟูมาแล้ว SME D Bank ประสานหน่วยงานกำกับดูแลและพันธมิตร เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นต้น ดำเนินกิจกรรมเพิ่มศักยภาพ รวมถึง พาสู่กระบวนการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ เช่น ขยายตลาดออนไลน์ มาตรฐานบัญชี เป็นต้น ช่วยยกระดับผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในที่สุด ก่อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการกลับมาเป็นเอสเอ็มอีที่มีความแข็งแรง ร่วมเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป
“โครงการ “วันใหม่-ไปต่อ” เป็นการบูรณาการความช่วยเหลือดูแลลูกหนี้กลุ่มที่ต้องการการฟื้นฟู ซึ่งมีข้อตกลงเบื้องต้นให้ทั้งสองหน่วยงานเข้ามาศึกษา portfolio ของธนาคาร ซึ่งกรอบแนวทาง นอกจากการปรับโครงสร้างทางการเงินที่หน่วยงานบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company: AMC) จะดำเนินการแล้ว ยังเพิ่มเติมด้วยการเสริมความรู้ด้านบริหารจัดการให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และหากสามารถกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ SME D Bank ยินดีจะรับลูกค้ากลับมาดูแลต่อให้ธุรกิจดำเนินเติบโตต่อเนื่อง”
นางสาวนารถนารี กล่าวถึงบทบาทของ SME D Bank ต่อการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ผ่านมา ดำเนินการควบคู่ทั้งมาตรการทางการเงิน และมาตรการไม่ใช่การเงิน โดยด้านการเงิน ดำเนินมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติให้ลูกค้าทุกรายเป็นเวลา 6 เดือน เริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา มีลูกค้าธนาคารเข้าเกณฑ์มาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติ จำนวน 43,215 ราย มูลค่ารวม 66,479 ล้านบาท
สำหรับด้านที่ไม่ใช่ทางการเงิน ธนาคารได้สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ด้วยแนวคิด “เติมความรู้คู่ทุน” ออฟไลน์ควบคู่ออนไลน์ ยกระดับรับยุค New Normal เช่น หลักสูตรเรียนรู้ด้วยตัวเองที่เว็บไซต์ wdev.smebank.co.th, เพิ่มช่องทางขายสินค้าในตลาดนัดออนไลน์ ด้วยเฟซบุ๊กกรุ๊ป “ฝากร้านฟรี SME D Bank” และผลักดันสินค้าขยายตลาดผ่านแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดัง เช่น Shopee, LAZADA, Thailandpostmart.com, Alibaba, LINE , JD Central เป็นต้น เฉพาะแค่เดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา มียอดการเข้ามาลงทะเบียนร่วมกิจกรรมสูงกว่า 2,800 ราย ขณะที่ปัจจุบันมียอดร่วมกิจกรรมกว่า 23,321 ราย
นอกจากนั้น SME D Bank ช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่อง รองรับหลังครบมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติ 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2563 นี้เป็นต้นไป โดยให้สิทธิลูกค้าที่มีสถานะชำระปกติ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2563 สามารถขยายระยะเวลาพักชำระเงินต้นเพิ่มเติม คงเหลือชำระเฉพาะดอกเบี้ยได้อีก 6 เดือน สำหรับภาระหนี้ที่พักชำระไว้ ธนาคารจะนำยอดดังกล่าว ไปรวมให้ชำระในช่วงท้ายของสัญญา และในช่วงที่ผ่อนปรนนี้ ไม่ถือว่าเสียประวัติข้อมูลเครดิต
สำหรับลูกค้าที่ต้องการพักชำระหนี้เงินต้นเพิ่มเติมอีก 6 เดือน สามารถลงทะเบียนผ่านการสแกน QR Code ในใบแจ้งหนี้ที่ทางธนาคารจะส่งไปให้ โดยเปิดให้ลูกค้าลงทะเบียนได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อได้ที่สาขา SME D Bank ทั่วประเทศ อีกทั้ง ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน 2563 ที่ผ่านมา SME D Bank เข้าเยี่ยมลูกค้า เพื่อแนะนำแนวทางช่วยเหลือขยายระยะเวลาพักชำระเงินต้นเพิ่มอีก 6 เดือน ซึ่ง ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2563 สอบถามลูกค้าไปแล้วกว่า 66% ของผู้เข้าเกณฑ์ได้รับสิทธิ์ทั้งหมด โดยมีลูกค้าแจ้งความประสงค์ขอพักชำระเงินต้นเพิ่มเติม จำนวน 4,576 ราย วงเงิน 7,207 ล้านบาท ซึ่งก่อนจะครบกำหนดมาตรการในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ จะสอบถามความต้องการลูกค้าที่เข้าเกณฑ์ได้ครบถ้วนทุกรายแน่นอน ช่วยลูกค้ารักษาเครดิตการค้า และป้องกันการตกชั้นหนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35839 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"มุ่งมั่น พัฒนา ส่งเสริมอุตสาหกรรม นำสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศหรือ S-Curve 11 ตามนโยบายรัฐบาล" | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
"มุ่งมั่น พัฒนา ส่งเสริมอุตสาหกรรม นำสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศหรือ S-Curve 11 ตามนโยบายรัฐบาล"
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวกลาโหม ร่วมเป็นเกียรติในงานวันคล้ายวันสถาปนากรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ครบ ๖๗ ปี
โดยมี คุณรมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม รวมทั้งผู้ช่วยทูต ฝ่ายทหารสถานเอกอัครราชทูตจากมิตรประเทศ 12 ประเทศ อดีตผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกระทรวงกลาโหม และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ร่วมแสดงความยินดี โดยมี พลโท เอกชัย หาญพูนวิทยา เจ้ากรมการอุตสาหกรรมทหาร ให้การต้อนรับและนำชมนิทรรศการผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
กรมการอุตสาหกรรมทหาร ฯ เป็นหน่วยงานหลักของกระทรวงกลาโหมที่สนับสนุน พัฒนาและควบคุมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อการพึ่งพาตนเองมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๙๖ นอกจากนี้ ยังดำเนินการอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับราชการทหารตามนโยบายของกระทรวงกลาโหม โดยประสานงานกับกระทรวงอื่น โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับการอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการทหาร พร้อมควบคุมและส่งเสริมกิจการขององค์การอุตสาหกรรมต่างๆ ร่วมกับทุกภาคส่วนในการดำเนินการร่วมกันให้นำพาประเทศไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศหรือ S-Curve 11 ตามนโยบายรัฐบาล
นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงกลาโหม ยังได้ขึ้นกล่าวแนวความคิดด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม โดยย้ำว่าเพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนารมย์ของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมในการที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้มีผลผลิตออกมาเป็นรูปธรรมสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพความพร้อมรบให้กับกองทัพ อันเป็นหลักประกันด้านความมั่นคง และเป็นไปตามหลักการพึ่งพาตนเอง เสริมสร้างขีดความสามารถทางด้านเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับประเทศต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35844 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะอนุกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมใหญ่ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35859 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2563 | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2563
วันนี้ (9 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (เนปาล 1 ราย, นอร์เวย์ 1 ราย, สหรัฐอเมริกา 2 ราย, เมียนมา 2 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด,สถานกักตัวรูปแบบเฉพาะองค์กร มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,441 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.85 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 128 ราย หรือร้อยละ 3.53 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,628 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก
เนปาล 1 ราย เพศหญิง อายุ 23 ปี สัญชาติเนปาล อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 24 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานกักตัวรูปแบบเฉพาะองค์กร (Organization Quarantine) ในจังหวัดปทุมธานี พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 7 ตุลาคม 2563 (วันที่ 13 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดปทุมธานี
นอร์เวย์ 1 ราย เพศชาย อายุ 29 ปี สัญชาติลิทัวเนีย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 3 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 6 ตุลาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร
สหรัฐอเมริกา 2 ราย มีสัญชาติไทย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 3 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร โดยทั้ง 2 ราย พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 3 ตุลาคม 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร รายแรก เพศหญิง อายุ 21 ปี อาชีพนักศึกษา อาการป่วยรายที่ 2 เพศชาย อายุ 23 ปี ป่วยด้วยอาการเจ็บคอในวันที่ 3 ตุลาคม 2563
เมียนมา 2 ราย เพศชาย อายุ 43 ปี และเพศหญิง อายุ 47 ปี ทั้ง 2 ราย มีสัญชาติไทย อาชีพพนักงานบริษัท เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ระดับจังหวัด (Local Quarantine) ที่จังหวัดตาก พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 5 ตุลาคม 2563 (วันแรกของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดตาก
นายแพทย์ธนรักษ์ กล่าวว่าสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยขณะนี้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ซึ่งภาพรวมผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทย 1,000 คน จะพบผู้ติดเชื้อเพียง 7 ราย ทั้งนี้ อัตราการติดเชื้อของผู้เดินทางเข้ามาจากแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การติดเชื้อของประเทศนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ขณะที่สถานการณ์ทั่วโลกยังคงพบการระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา และ อินเดีย แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี เช่น ในประเทศเวียดนาม นิวซีแลนด์ และประเทศไทย
ประเทศไทยอาจพบผู้ติดเชื้อในผู้ที่เดินทางมาจากประเทศเพื่อนบ้านได้ แต่จะเกิดการระบาดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการตรวจจับผู้ติดเชื้อได้รวดเร็วของภาครัฐ ควบคุมและจำกัดการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด รวมถึงความร่วมมือจากภาคประชาชนที่ระมัดระวัง ป้องกันการติดเชื้อให้กับตัวเองและครอบครัว
อย่างไรก็ตาม การเข้มงวดมาตรการป้องกันควบคุมโรคของประเทศไทยเป็นสิ่งที่ดี แต่กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับปัญหาทุกมิติ ทั้งสังคม และระบบเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพ-วิถีชีวิต-วิถีทางสังคม-เศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนการเปิดเศรษฐกิจ-เปิดประเทศให้กว้างขึ้น โดยยึดหลักความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด และจะดำเนินการภายใต้มาตรการความปลอดภัย รัดกุมและเหมาะสม มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์อย่างเป็นระบบ ให้คำแนะนำแนวทางการดำเนินงานให้ปลอดภัยแก่ผู้ประกอบการ/กิจการต่างๆ สนับสนุนการสื่อสารความเสี่ยงและเตรียมพื้นที่ชุมชน สนับสนุนการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกเพื่อให้สามารถตรวจจับผู้ป่วยโดยเร็วที่สุด และควบคุมเหตุการณ์หากเกิดสถานการณ์การพบผู้ติดเชื้อขึ้น
***************** 9 ตุลาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35863 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน ชี้ อสร.ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อ ปชช. ในชุมชน | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
รมช.แรงงาน ชี้ อสร.ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อ ปชช. ในชุมชน
- -
วันที่ 9 ตุลาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ อ.เดชอุดม และ อ.นาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี มอบป้ายผู้ทำคุณประโยชน์แก่อาสาสมัครแรงงาน (อสร) รวม 163 คน และพบปะแรงงานภาคการเกษตรกว่า 1,000 คน พร้อมจัดกิจกรรมบริการเคลื่อนที่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานทั้ง 5 หน่วยงานลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงลงพื้นที่พบปะประชาชน เพื่อรับฟังปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะต่างๆ ที่ต้องการให้ภาครัฐให้ความช่วยเหลือตามภารกิจของแต่ละกระทรวง ซึ่งในวันนี้ มีโอกาสมาพบกับแรงงานในเขตจังหวัดอุบลราชธานี จะนำข้อเสนอต่างๆ ไปหาแนวทางและมอบหมายให้หน่วยงานดำเนินการให้ความช่วยเหลือต่อไป โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ ได้จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่แก่พี่น้องกลุ่มเกษตรกรด้วย ได้แก่ ให้คำแนะนำตำแหน่งงานว่าง การสมัครเป็นผู้ประกันตนตาม ม.40 ให้ความรู้ด้านความปลอดภัย และการรับสมัครฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือ รวมถึงสาธิตอาชีพอิสระ ภารกิจต่างๆ ที่กระทรวงแรงงานมีบริการแก่แรงงานทุกกลุ่มเป้าหมาย จะมี อสร.ทำหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลจากภาครัฐไปสู่ประชาชนในชุมชน ให้ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารดังกล่าว รวมถึงเป็นสื่อกลางรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ความต้องการในเรื่องต่างๆ แจ้งให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานดำเนินการให้ความช่วยเหลือต่อไป วันนี้จึงมีการมอบป้ายผู้ทำคุณประโยชน์แก่ อสร. รวม 163 คน
“อาสาสมัครแรงงานที่อยู่ในชุมชน เป็นบุคคลสำคัญที่ทำหน้าที่ทั้งตัวแทนของภาครัฐ และตัวแทนของพี่น้องประชาชนในระดับพื้นที่ นำเสียงสะท้อนจากประชาชนให้ภาครัฐช่วยเหลือตั้งแต่ระบบฐานราก จะส่งผลให้การทำงานของภาครัฐสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35846 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปัญหาภาคบริการจากผลกระทบ Covid – 19 ในเกาะสมุย | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
ปัญหาภาคบริการจากผลกระทบ Covid – 19 ในเกาะสมุย
สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓
เรื่อง ปัญหาภาคบริการจากผลกระทบ Covid – 19 ในเกาะสมุย
ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายเจตน์ ศริธรานนท์
ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรงการท่องเที่ยวและกีฬา
ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรงการท่องเที่ยวและกีฬา
ผู้ถาม : นายเจตน์ ศริธรานนท์ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้
ด้วยคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ได้ลงพื้นที่เกาะสมุย เมื่อวันที่ ๑๐ – ๑๒ กันยายน ๒๕๖๓ เพื่อรับฟังปัญหาผลกระทบจากการแพร่ระบาด Covid - 19 จากผู้ประกอบการในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งพบว่าราคาตั๋วเครื่องบินไปกลับเกาะสมุยมีราคาแพง ไม่เอื้ออำนวยต่อการท่องเที่ยว จึงควรมีการเจรจาต่อรองกับสายการบิน นอกจากนี้ เกาะสมุยยังมีผู้ประกอบการสปาและนวดแผนไทยที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ดังนั้น ควรเพิ่มธุรกิจสปาและนวดแผนไทยรวมเข้าไปในภาคบริการโรงแรมกับร้านอาหารด้วย ส่วนภาพรวมของประเทศได้มีการบริหารจัดการเกี่ยวกับ Covid - 19 ได้เป็นอย่างดีเป็นที่ยอมรับและสร้างความเชื่อมั่นต่อต่างชาติ อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาด Covid - 19 ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติเป็นหลัก แม้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะได้บูรณาการการทำงานร่วมกัน แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องงบประมาณอาจทำให้ประสิทธิภาพของการแก้ไขปัญหาลดน้อยลง ทั้งนี้ ภาครัฐได้กระตุ้นการท่องเที่ยวโดยจัดโครงการเราเที่ยวด้วยกันในช่วงระยะเวลาวันที่ ๑ กรกฎาคม - ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๓
ขอเรียนถามว่า ผลจากการดำเนินการโครงการดังกล่าวมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากน้อยอย่างไร
ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรงการท่องเที่ยวและกีฬา ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาผู้ถูกตั้งกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า ผลกระทบจาก Covid - 19 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของประเทศเริ่มจากวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๓ สาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศปิดประเทศ นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้ ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมีจำนวนมากประมาณร้อยละ ๒๗ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ประกอบกับ ประเทศไทยได้ประกาศปิดประเทศในเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศได้ ต่อมาเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ รัฐบาลได้เริ่มมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ของบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวส่งผลให้สถานการณ์การท่องเที่ยวดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาภาคบริการธุรกิจท่องเที่ยวได้ขยายตัวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ปัจจุบันผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือ อาทิ มาตรการดอกเบี้ยต่ำการช่วยเหลือมัคคุเทศก์ ๓ เดือน เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท การคืนเงินหลักประกันร้อยละ ๗๐ ให้กับบริษัททัวร์ อีกทั้ง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้พยายามหาช่องทางเพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยว โดยได้เสนอแนวทางให้ภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณา โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อรับนักท่องเที่ยวประกอบกับเตรียมมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด Covid - 19 รวมทั้งใช้มาตรการกักตัว ๑๔ วัน สำหรับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน จะมีการช่วยค่าห้องพัก ร้อยละ ๔๐ สูงสุดไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท ค่าเครื่องบิน ๑,๐๐๐ บาท ค่าอาหารต่อวัน ๖๐๐ บาท โดยเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ มีผู้ใช้สิทธิ์ไปแล้วประมาณ ๘๕๑,๐๐๐ คน นอกจากนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เสนอขอขยายโครงการโดยให้บริษัทที่มีขนาดใหญ่ซื้อแพคเกจท่องเที่ยวเพื่อแจกให้ลูกค้าหรือพนักงาน อีกทั้งจะขอขยายระยะเวลาโครงการไปถึงเดือนธันวาคม ๒๕๖๓ และกรณีค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินไปเกาะสมุย จะดำเนินการหารือกับกระทรวงคมนาคม พร้อมทั้งให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไปเจรจาต่อรองกับสายการบิน ในส่วนสปาและนวดแผนไทยจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อเพิ่มในส่วนของอาหารจาก ๖๐๐ บาท เป็น ๙๐๐ บาท โดยจะรวมสปาและนวดแผนไทยเข้าไปในส่วนนี้ด้วย สำหรับภูเก็ตโมเดลจะรวม ๓ จังหวัด คือ ภูเก็ต กระบี่ (เกาะพีพี) สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า เกาะนางยวน) และจะเปลี่ยนชื่อเป็นโครงการ Special Tourist Visa (STV) คือ การขอวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ๙๐ วัน และสามารถต่อได้อีก ๑๘๐ วัน ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวแบบพำนักระยะยาวที่จะรองรับนักท่องเที่ยวจากยุโรป นอกจากนี้ จากการลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อรับฟังความคิดเห็นกรณีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และได้มีการรวบรวมข้อมูลเพื่อจะนำเสนอรายงานต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะมีการลงพื้นที่เกาะสมุยเพื่อสำรวจและรับฟังความเห็นเบื้องต้นต่อไป
(โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35829 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระแสตอบรับดี กว่า 2 แสนร้านค้าร่วมลงทะเบียน “คนละครึ่ง” | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
กระแสตอบรับดี กว่า 2 แสนร้านค้าร่วมลงทะเบียน “คนละครึ่ง”
--
#ไทยคู่ฟ้าความคืบหน้าการเปิดลงทะเบียนร้านค้าในโครงการคนละครึ่ง จนถึงวันที่ 6 ต.ค. ที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการร้านค้าสนใจเข้าร่วมแล้ว 210,010 ร้านค้า แบ่งเป็นร้านค้าที่ลงทะเบียนสำเร็จแล้ว 152,795 ร้าน โดยส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบ สำหรับกิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จแบ่งออกเป็น กิจการที่มีหน้าร้านจำนวน 127,852 ร้าน และหาบเร่ แผงลอย จำนวน 24,943 ร้าน
.
เมื่อแบ่งตามภูมิภาค ร้านค้าในภาคกลางมีจำนวน 73,092 ร้าน คิดเป็น 34.8% รองลงมา คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 73,092 ร้าน คิดเป็น 25% และภาคใต้จำนวน 37,229 ร้าน คิดเป็น 17.7% โดยในรายจังหวัดนั้นพบว่า ร้านค้าที่ลงทะเบียนส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานครจำนวน 25,526 ร้าน คิดเป็น 12.2% รองลงมาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 7,105 ร้าน คิดเป็น 3.4% และจังหวัดสงขลา จำนวน 6,516 ร้าน คิดเป็น 3.1%
.
อย่างไรก็ตาม สำหรับร้านค้ารายย่อย หาบเร่ แผงลอย ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www. คนละครึ่ง .com หรือติดต่อที่ธนาคารกรุงไทยได้ทุกสาขา ส่วนประชาชนทั่วไปสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ที่ www. คนละครึ่ง .com เช่นกัน ตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 63 เป็นต้นไป และรอรับ SMS ยืนยัน โดยจะเริ่มใช้สิทธิใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค. - 31 ธ.ค. 63
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35843 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผุด “ชอปดีมีคืน” ลดภาษี – กระตุ้นการใช้จ่าย | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
ผุด “ชอปดีมีคืน” ลดภาษี – กระตุ้นการใช้จ่าย
--
#ไทยคู่ฟ้า ที่ประชุม ศบศ. หรือศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) วันนี้ เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ชอปดีมีคืน” และปรับปรุงมาตรการเราเที่ยวด้วยกันและมาตรการกำลังใจ >>>
1) มาตรการ “ชอปดีมีคืน” • ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2563 สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงหนังสือ และสินค้า OTOP ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท (ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ สลากกินแบ่งรัฐบาล น้ำมัน ค่าที่พัก และค่าตั๋วเครื่องบิน) เริ่ม 23 ต.ค. – 31 ธ.ค. 63 **เงื่อนไข : หากประชาชนได้ใช้สิทธิ์ตาม 1) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ 2) โครงการคนละครึ่ง แล้ว จะไม่สามารถใช้สิทธิ์นี้ได้
2) ปรับปรุงมาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน” และ “กำลังใจ” • เพิ่มสิทธิ์ให้เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุข สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร จำนวน 570 คน และเจ้าหน้าที่หัวหน้างานสาธารณสุขมูลฐานและงานสุขภาพภาคประชาชนระดับจังหวัดและระดับอำเภอ กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 2,615 คน สามารถเข้าร่วมโครงการกำลังใจได้ • ผู้ที่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันสามารถใช้บริการโรงแรมที่พัก และใช้ E-Voucher สำหรับค่าสนับสนุนอาหาร ค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยว ค่าสินค้า OTOP ในจังหวัดภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านได้ • ขยายระยะเวลาโครงการกำลังใจ และเราเที่ยวด้วยกัน ถึงวันที่ 31 ม.ค. 64 • อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการกำลังใจ และเราเที่ยวด้วยกัน ถึงวันที่ 31 มี.ค. 64
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35840 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอนิดเดียว! e-Catt แพลตฟอร์มโคเนื้อไทย | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
รอนิดเดียว! e-Catt แพลตฟอร์มโคเนื้อไทย
--
#ไทยคู่ฟ้าe-Catt เป็นแพลตฟอร์มโคเนื้อไทย ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อยกระดับให้เกษตรกรมีการเลี้ยงโคที่ดี ได้มาตรฐาน ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจนที่เกี่ยวกับพันธุ์วัว จำนวนวัวแต่ละพื้นที่ ตลอดจนราคา และช่วยส่งเสริมเลี้ยงวัวให้มีรายได้ในช่วงภัยแล้ง และฝนทิ้งช่วง พร้อมอำนวยความสะดวกในการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ (E-Commerce) ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการซื้อขายโคเนื้อระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขาย สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่เน้น “ตลาดนำการผลิต” โดยอีกไม่นานนี้ จะเปิดระบบให้เกษตรกรได้ลงทะเบียน แอดมินจะรีบมาแจ้งข่าวให้ทราบทันที...
.
ประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับหลังจากที่ระบบ e-Catt เปิดให้บริการ เช่น
1. เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ธ.ก.ส.
2. เชื่อมโยงองค์ความรู้ด้านวิชาการจากเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์
3. เกษตรกรได้รับการสนับสนุน และเข้าถึงบริการพื้นฐานจากเจ้าหน้าที่รัฐ
4 เชื่อมโยงการตลาด และประกันภัยเพื่อรองรับความเสี่ยง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35842 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-5 เหตุผลที่ทั่วโลกนิยมใช้จักรยานในช่วงโควิด-19 | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
5 เหตุผลที่ทั่วโลกนิยมใช้จักรยานในช่วงโควิด-19
5 เหตุผลที่นิยมใช้จักรยานในช่วงโควิด-19
5 เหตุผลที่ทั่วโลกนิยมใช้จักรยานในช่วงโควิด-19
1. ปลอดภัยตามหลัก Social Distancing
2. ทดแทนการใช้บริการขนส่งมวลชน
3. ออกกำลังกายได้สุขภาพ
4. ประหยัดเงิน ประหยัดพลังงาน
5. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35865 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย รับมอบผ้าห่มกันหนาว จำนวน 200,000 ผืน ตามโครงการ “ไทยเบฟ รวมใจต้านภัยหนาว" ปีที่ 21 | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
ปลัดกระทรวงมหาดไทย รับมอบผ้าห่มกันหนาว จำนวน 200,000 ผืน ตามโครงการ “ไทยเบฟ รวมใจต้านภัยหนาว" ปีที่ 21
ปลัดกระทรวงมหาดไทย รับมอบผ้าห่มกันหนาว จำนวน 200,000 ผืน ตามโครงการ “ไทยเบฟ รวมใจต้านภัยหนาว" ปีที่ 21
วันนี้ (9 ต.ค. 63) เวลา 13.30 น. ณ ห้องราชาวดี สโมสรราชพฤกษ์ (นอร์ธปาร์ค) ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานรับมอบผ้าห่ม ในพิธีส่งมอบผ้าห่มตามโครงการ “ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว” ปีที่ 21 โดยมี นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เป็นประธานฝ่ายส่งมอบ โอกาสนี้ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ร่วมเป็นสักขีพยานรับมอบ
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กล่าวว่า นับเป็นเวลา 21 ปี ที่กลุ่มบริษัทไทยเบฟเวอเรจ ได้ดำเนินโครงการ "ไทยเบฟรวมใจต้านภัยหนาว" ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่ได้ร่วมแบ่งปันความช่วยเหลือประชาชนเพื่อก้าวเดินไปด้วยกันกับภาครัฐในการบรรเทาสาธารณภัยเติมเต็มการบรรเทาภัยหนาว ดังคำขวัญ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ด้วยการส่งมอบผ้าห่ม จำนวน 200,000 ผืน เพื่อมอบให้ประชาชนจังหวัดพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครพนม สกลนคร บึงกาฬ หนองคาย หนองบัวลำภู เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ แพร่ พะเยา และน่าน
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า ในนามของประชาชนผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการไทยเบฟรวมใจต้านภัยหนาว ปีที่ 21 นี้ ต้องขอขอบคุณกลุ่มบริษัทไทยเบฟที่ดูแลประชาชน เข้าสู่ปีที่ 21 ทำให้พี่น้องประชาชนได้รับความสุขทางกาย คือ ได้รับผ้าห่มในการบรรเทาความช่วยเหลือร่วมกับทางราชการ และ "ความสุขทางใจ" ซึ่งประเทศไทยต้องการความเอื้ออาทรเพื่อนำไปสู่ความสามัคคี สุขกาย สุขใจ เป็นประโยชน์ที่ดีกับประเทศชาติและประชาชนอย่างยั่งยืนดังนโยบายของรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35855 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ปรับปรุงระบบไฟฟ้าวัดอรุณฯ แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
ก.อุตฯ ปรับปรุงระบบไฟฟ้าวัดอรุณฯ แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา
กระทรวงอุตสาหกรรม ปรับปรุงระบบไฟฟ้าวัดอรุณฯ แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา
วันนี้ (9 ตุลาคม 2563) เวลา 10.30น. รปอ.(นางวรวรรณ ชิตอรุณ) ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม (ศอ.จอส.อก.) เข้ารายงานผลการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบไฟฟ้าวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ระยะที่ 2 แก่ พระธรรมรัตนดิลก เจ้าคณะภาค 9 เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม และได้ตรวจติดตามความเรียบร้อยของงานทั้งหมด
ทั้งนี้ ศอ.จอส.อก. ได้จัดทำโครงการฯ เพื่อให้ระบบไฟฟ้าของวัดอรุณฯ มีความปลอดภัยและสวยงามยิ่งขึ้น โดยดำเนินการ 1) พัฒนาระบบป้องกันฟ้าผ่ารอบองค์พระปรางค์ เชื่อมต่อกราวด์ลงดินลึก 30 เมตร พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชกทางสายไฟฟ้า 2) งานระบบไฟฟ้า ซึ่งได้เดินท่อร้อยสายไฟเพื่อเก็บและจัดระเบียบสายไฟทั้งหมดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และ 3) ปรับระบบกราวน์ และไฟฟ้าส่องสว่าง บริเวณรอบองค์พระปรางค์วัดอรุณฯ จนแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35852 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกสมาคมลิเกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากสมาคมศิลปินพื้นบ้านภาคต่างๆ เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ. | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
นายกสมาคมลิเกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากสมาคมศิลปินพื้นบ้านภาคต่างๆ เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ.
นายกสมาคมลิเกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากสมาคมศิลปินพื้นบ้านภาคต่างๆ เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ.
วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายวันชัย เอนกลาภ นายกสมาคมลิเกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากสมาคมศิลปินพื้นบ้านภาคต่างๆ เข้าเยี่ยมคารวะ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อปรึกษาหารือเรื่อง แนวทางในการเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาของเครือข่ายศิลปินพื้นบ้าน โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวอัจฉราพร พงษ์ฉวี รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมหารือ ณ ห้องรับรอง ชั้น ๗ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35858 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมลงนามความร่วมมือการพัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซ ช่วยกลุ่มเป้าหมายสร้างอาชีพใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
พม. ร่วมลงนามความร่วมมือการพัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซ ช่วยกลุ่มเป้าหมายสร้างอาชีพใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
พม. ร่วมลงนามความร่วมมือการพัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซ ช่วยกลุ่มเป้าหมายสร้างอาชีพใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
วันนี้ (9 ต.ค. 63) เวลา 14.00 น. ที่ห้องอีเทอร์นิตี้บอลรูม โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ เขตราชเทวี กรุงเทพฯ นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมเป็นสักขีพยานและกล่าวถึงความร่วมมือ “การพัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซ” ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และธนาคารออมสิน โดยมีนายดอน ปรมัตถ์วินัยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานในพิธี และนางสาววิจิตา รชตะนันทิกุล รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว รักษาราชการแทนอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ร่วมลงนามความร่วมมือดังกล่าว
นางสาวสราญภัทร กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนด้านสุขภาพและอื่นๆ มากมาย โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนที่ประสบปัญหาทางสังคมที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ซึ่งโดยพื้นฐานมีความเดือดร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลับยิ่งได้รับผลกระทบที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นจากสถานการณ์โรคโควิด-19 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาสังคม สร้างความเป็นธรรม ส่งเสริมและพัฒนาความมั่นคงในชีวิต ตลอดจนความมั่นคงของสถาบันครอบครัวและชุมชน เพื่อมุ่งสู่การ “สร้างสังคมดี คนมีคุณภาพ” มีความตระหนักต่อผลกระทบของสถานการณ์ดังกล่าวที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของคนไทย แต่ในวิกฤติย่อมมีโอกาส ซึ่งบทเรียนสำคัญที่ผ่านมาบอกกับเราเสมอว่า ปัญหาเรื่องสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่แยกส่วนกัน จึงทำให้เราได้เห็นพัฒนาการหลายอย่างของการให้บริการภาครัฐและโอกาสใหม่ๆของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีกับการให้บริการแก่ผู้บริโภคทางออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการเปิดรับ Social Normal ใหม่ๆ ที่เป็นผลพวงจากการใช้ระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อาทิ สังคมไร้เงินสด และการทำงานทางไกล เป็นต้น
นางสาวสราญภัทร กล่าวต่อไปว่า ในช่วงที่ผ่านมา กระทรวง พม. ได้บูรณาการความร่วมมือกับส่วนราชการ สถาบันการศึกษา สถาบันการเงิน ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม เพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิต “อาชีพใหม่ ชีวิตใหม่หลังโควิด” ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ประสบกับวิกฤติในเรื่องอาชีพและรายได้ โดยการสำรวจผู้ที่ตกงานจากภาคแรงานและกลุ่มคนเปราะบางทางสังคม เช่น คนยากจน พ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้ที่มีการศึกษาในระดับไม่สูงนัก รวมไปถึงบัณฑิตใหม่ที่จบการศึกษาในช่วงวิกฤตินี้ ทั้งนี้ จึงได้ปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรการฝึกอาชีพให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น อาชีพด้านเทคโนโลยีดิจิทัล อาชีพการดูแลเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ (Caregiver) อาชีพธุรกิจการบริการแบบใหม่ (Hospitality) ตลอดจนการสร้างความตระหนักรู้ และเร่งส่งเสริมและพัฒนาทักษะกลุ่มอาชีพในชุมชน ให้มีทักษะการใช้ช่องทางออนไลน์ ซึ่งจะเปิดโอกาสของการเข้าสู่ระบบตลาดที่เปิดกว้างและสร้างแรงจูงใจให้แรงงานพัฒนาตนเอง โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
นางสาวสราญภัทร กล่าวต่ออีกว่า สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปที่มีความรู้ความสามารถด้านอีคอมเมิร์ซหรือผู้ที่ผ่านการอบรมเรียนรู้ทางออนไลน์ จากหลักสูตร “EASY E-COMMERCE ACADEMY SKILLS LEARN BY YOURSELF” ของ ETDA สามารถเข้ารับการประเมินทดสอบสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพได้ เพื่อยกระดับทักษะความสามารถด้านอีคอมเมิร์ซของคนไทยให้เป็นที่ยอมรับของสากล สู่การสร้างความมั่นใจให้กับผู้ร่วมลงทุน ผู้ประกอบการ และสถาบันการเงิน ที่สำคัญยังก่อให้เกิดการพัฒนาบุคลากร การฝึกอบรม และการขับเคลื่อนธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อให้เกิดระบบนิเวศน์ การพัฒนากำลังคนด้านอีคอมเมิร์ซอย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน
นางสาวสราญภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. ขอขอบคุณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก ที่สนับสนุนให้ กระทรวง พม. มีส่วนร่วมในโครงการ THAILAND e-Commerce SUSTAINABILITY โดยเปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดในการทำอีคอมเมิร์ซ การเพิ่มช่องทางการขายของออนไลน์ การยกระดับสินค้าชุมชน GO Online พร้อมต่อยอดถอดบทเรียนการพัฒนาคู่มือสำหรับกลุ่มอาชีพในชุมชน ซึ่งจะร่วมกันดำเนินการต่อเนื่องไปถึงปี 2564 ซึ่งกระทรวง พม. มั่นใจว่า “อีคอมเมิร์ซ” จะเป็นกระบวนการทำงานอย่างหนึ่งที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ให้สามารถช่วยเหลือตนเองในการดำรงชีวิตให้ก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยืดหยุ่นในการปรับตัวให้เข้ากับกิจกรรมภายใต้ฐานวิถีชีวิตใหม่ และพร้อมเรียนรู้ตลอดเวลา โดยกระทรวง พม. พร้อมที่จะให้การสนับสนุน ตลอดจนร่วมขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือ “การพัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซ” ให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเกิดประโยชน์สูงสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35860 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล เดินสายทัวร์อีสาน เร่งขับเคลื่อนไทยมีงานทำ | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
นฤมล เดินสายทัวร์อีสาน เร่งขับเคลื่อนไทยมีงานทำ
- -
วันที่ 9 ตุลาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เยี่ยมชมการพัฒนาทักษะฝีมือรองรับเทคโนโลยีชั้นสูง และมอบหนังสือรับรองความรู้ความสามารถแก่ผู้ผ่านการประเมิน ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 7 อุบลราชธานี
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า การพัฒนาทักษะฝีมือเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อแรงงานในปัจจุบัน ที่ต้องพัฒนาทักษะฝีมือของตนเองอยู่เสมอ เนื่องจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และต้องปรับตัวรับวิถีใหม่ (New Normal) หลังพบกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รูปแบบการเรียนรู้และการประกอบอาชีพจึงเปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนเกิดอาชีพใหม่ขึ้นด้วย ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ทั้งด้านความรู้และทักษะฝีมือให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การฝึกอบรมที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงานดำเนินการนั้น จึงเป็นการสร้างแรงงานให้มีคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย การยกระดับมาตรฐานฝีมือเพื่อให้ได้รับค่าจ้างอย่างเป็นธรรม โดยผ่านกระบวนการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ผลักดันให้สาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องและอาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะ ต้องดำเนินการโดยผู้ที่ผ่านการรับรองความรู้ความสามารถเท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน ประกาศให้สาขาอาชีพช่างไฟฟ้าเป็นสาขาอาชีพแรก ลำดับต่อไปจะเป็นช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็กและช่างเชื่อม
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่รับหนังสือรับรองความรู้ความสามารถในวันนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นแรงงานที่มีฝีมือและสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย สำหรับผู้ที่จบการฝึกหลักสูตรเตรียมเข้าทำงาน สาขาช่างกลึง ต้องเข้าไปฝึกงานในสถานประกอบกิจการ ขอให้ตั้งใจเรียนรู้และพัฒนาตนเอง เพื่อสร้างโอกาสในการทำงาน และขอฝากให้อาสาสมัครแรงงานในพื้นที่ ช่วยประชาสัมพันธ์ภารกิจของกระทรวงแรงงาน แก่ประชาชนในชุมชนได้ทราบถึงภารกิจต่างๆ ของกระทรวงแรงงาน ทั้งการจัดหางาน การพัฒนาทักษะฝีมือ การคุ้มครองดูแลด้านสวัสดิการและการสมัครเป็นผู้ประกันตนตาม ม.40
หลังจากนั้น รมช.แรงงาน และคณะ ได้เยี่ยมชมการฝึกอบรมและกิจกรรมอื่นๆ ของ สพร.7 อุบลราชธานี ได้แก่ การประเมินรับรองความรู้ความสามารถ สาขาช่างเครื่องปรับอากาศและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ระดับ 1 ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และเยี่ยมชมการบริการของหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน และสถานประกอบกิจการที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน การฝึกเตรียมเข้าทำงาน สาขาช่างกลึง การฝึกยกระดับฝีมือแรงงาน ช่างไฟฟ้าภายในอาคารผ่านระบบ Ad Zoom ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัท โฮมโปร จำกัด พร้อมชมผลงานนวัตกรรมสนับสนุนเกษตรยุคใหม่ โดยการนำระบบ IOT และพลังงานทดแทน มาประยุกต์การให้น้ำอัตโนมัติ
ในช่วงบ่ายได้เดินทางพบปะประชาชนภาคการเกษตร อ.เดชอุดม และ อ.นาจะหลาย จ.อุบลราชธานี ที่เข้ารับฟังแนวทางการให้ความช่วยเหลือแรงงานภาคการเกษตร และนำข้อเสนอจากกลุ่มเกษตรกร ไปวางแผนและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ความช่วยเหลือต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35836 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดเด็กปฐมวัยรับทราบร่างแผนพัฒนาเด็กปฐมวัยฉบับใหม่ คัดกรองเด็กพิเศษ-ด้อยโอกาสให้ได้ 99 เปอร์เซ็นต์ | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
บอร์ดเด็กปฐมวัยรับทราบร่างแผนพัฒนาเด็กปฐมวัยฉบับใหม่ คัดกรองเด็กพิเศษ-ด้อยโอกาสให้ได้ 99 เปอร์เซ็นต์
บอร์ดเด็กปฐมวัยรับทราบร่างแผนพัฒนาเด็กปฐมวัยฉบับใหม่ คัดกรองเด็กพิเศษ-ด้อยโอกาสให้ได้ 99 เปอร์เซ็นต์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยรับทราบร่างแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2563-2570 หลังปรับปรุงยุทธศาสตร์ใหม่ เน้นเด็กปฐมวัยได้รับการดูแลพัฒนารอบด้าน ได้รับการคัดกรองภาวะความต้องการพิเศษหรือด้อยโอกาสไม่น้อยกว่าร้อยละ 99 เมื่อร่างฯ ผ่านมติ ครม. 4 กระทรวงหลักบูรณาการการทำงานตามข้อเสนอผู้ตรวจการแผ่นดิน
วันนี้ (9 ตุลาคม 2563) ที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย ครั้งที่ 3/2563 ว่า ที่ประชุมได้รับทราบร่างแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2563-2570 ซึ่งเป็นการปรับปรุงร่างฯ ฉบับเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 อาทิ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดและการให้บริการแก่เด็กปฐมวัย มีการปรับปรุงให้มีการพัฒนาระบบการดูแลและให้ความรู้แก่ทั้งพ่อและแม่ของทารกในครรภ์อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ เด็กปฐมวัยได้รับการสำรวจและคัดกรองค้นหาภาวะความต้องการพิเศษ/ด้อยโอกาส ไม่น้อยกว่าร้อยละ 99 หากพบเด็กกลุ่มนี้จะต้องได้รับการส่งต่อ เพื่อวินิจฉัย ดูแล พัฒนาไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 และได้รับบริการด้านต่างๆ อย่างเท่าเทียม มีคุณภาพไม่น้อยกว่าร้อยละ 85
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันครอบครัวในการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอเปลี่ยนคำว่าสถานบริการเป็นหน่วยบริการ โดยให้หน่วยบริการจัดโครงการ/กิจกรรมให้ความรู้และเตรียมความพร้อมในการดูแล พัฒนา และคุ้มครองสิทธิเด็กแก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครอบครัว ส่วนยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการที่พัฒนาเด็กปฐมวัย ได้ปรับปรุงให้บุคลากรและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูแล พัฒนา และจัดการเรียนรู้เด็กปฐมวัย ได้รับการพัฒนาศักยภาพและสนับสนุนให้ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า สำหรับข้อเสนอ 5 ข้อของผู้ตรวจการแผ่นดินที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีการจัดการศึกษาเด็กเล็ก ได้เสนอให้กำหนดแผนปฏิบัติการทำงานร่วมกันระหว่าง 4 กระทรวงหลักที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ มหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ควรให้มีการดำเนินการแบบบูรณาการในหน่วยงานเดียวกัน (One Stop Service) ซึ่งจะสามารถทำได้เมื่อร่างแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2563-2570 ผ่านความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีแล้ว เนื่องจากกระทรวงหลักที่เกี่ยวข้อง โดยกระทรวงสาธารณสุข จะไปจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องและเป็นไปตามแผน โดยมีสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาในฐานะเลขานุการ เป็นหน่วยงานในการประสานงานและติดตามการดำเนินงานเป็นระยะ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการพัฒนาเด็กพิเศษและด้อยโอกาส โดยเพิ่มผู้แทนจากกรมสุขภาพจิต ชมรมกุมารแพทย์พัฒนาการ และสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี จากเดิมที่มีเพียงผู้แทนกรมอนามัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35861 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ลุยให้กำลังใจกลุ่มขุนโค จ.โคราช | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
รัฐมนตรีเกษตรฯ ลุยให้กำลังใจกลุ่มขุนโค จ.โคราช
รัฐมนตรีเกษตรฯ ลุยให้กำลังใจกลุ่มขุนโค จ.โคราช
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมเยือนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงโคขุนกู้วิกฤตโควิด ณ วีรชาติฟาร์ม บ้านเชียงสา ตำบลสะแกราช อำเภอปักธงชัย นครราชสีมา ซึ่งเป็นฟาร์มที่ลงทะเบียนผู้รวบรวม รับซื้อ และจำหน่ายโคขุน กับกรมปศุสัตว์ ตามโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมปศุสัตว์กับ ธ.ก.ส.
ทั้งนี้ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา มีกลุ่มวิสาหกิจชุม
ชนที่ขอเข้าร่วมโครงการ ผ่านการตรวจสอบเบื้องต้นและยื่นขอสินเชื่อจาก ธกส. แล้ว 68 กลุ่ม วงเงินกว่า 200 ล้านบาท โดยได้รับอนุมัติสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 0.01% ตามโครงการดังกล่าวจาก ธ.ก.ส. แล้ว จำนวน 6 กลุ่ม วงเงินประมาณ 12 ล้านบาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35853 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ตรวจเยี่ยมด่านผ่านแดนบ้านเขาดิน จ.สระแก้ว | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
รัฐมนตรีเกษตรฯ ตรวจเยี่ยมด่านผ่านแดนบ้านเขาดิน จ.สระแก้ว
รัฐมนตรีเกษตรฯ ตรวจเยี่ยมด่านผ่านแดนบ้านเขาดิน จ.สระแก้ว เล็งยกระดับเป็นจุดส่งออกสินค้า ลดการแออัดจากด่านคลองลึก อรัญประเทศ
นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดผ่านแดนบ้านเขาดินอ.คลองหาดจ.สระแก้วว่าจังหวัดสระแก้วตั้งอยู่ภาคตะวันออกของประเทศติดกับประเทศกัมพูชาด้านทิศเหนือติดกับจ.นครราชสีมาจ.บุรีรัมย์ทิศใต้ติดกับจ.จันทบุรีทิศตะวันตกติดกับจ.ปราจีนบุรีและจ.ฉะเชิงเทรามีพรมแดนติดกับประเทศกัมพูชาเป็นเขตแดนทางบกมีความยาวทั้งสิ้น165กิโลเมตรมีช่องทางการนำเข้าและส่งออกสินค้ารวม5แห่งโดยแยกเป็นจุดผ่านแดนถาวร2แห่งและจุดผ่อนปรน3แห่งโดยจุดผ่านแดนบ้านเขาดินได้รับการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวรเมื่อเดือนกุมภาพันธ์2562
นายประภัตรกล่าวต่อไปว่าการลงพื้นที่ในครั้งนี้ได้หารือร่วมกับนายเกียรติศักดิ์จันทราผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในพื้นที่โดยเฉพาะภาคการเกษตรเนื่องจากเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและมันสำปะหลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด19ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานกัมพูชาในการเก็บเกี่ยวผลผลิตส่งผลให้มีต้นทุนสูงจากเดิมดังนั้นจึงได้ประสานความร่วมมือกันในการสำรวจสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อเตรียมความพร้อมให้เป็นสถานที่ควบคุมโรคแห่งรัฐ(State Quarantine)และขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการที่จะนำแรงงานเข้ามาให้ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดซึ่งแรงงานเป็นเรื่องจำเป็นจึงต้องเร่งรัดดำเนินการให้ทันก่อนช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตคือต้นเดือนพฤศจิกายน
นายประภัตรกล่าวเพิ่มเติมว่านอกจากนี้ได้หารือกันในการยกระดับด่านผ่านแดนบ้านเขาดินให้เป็นจุดส่งออกสินค้าที่สำคัญส่งเสริมให้มีสินค้าหลากหลายประเภทเพื่อลดการแออัดของจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึกอ.อรัญประเทศจ.สระแก้วรวมถึงพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต้องมีความสมบูรณ์รองรับนักท่องเที่ยวและผู้มาใช้บริการได้หากสามารถพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวได้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งให้กับประชาชนในพื้นที่
ทั้งนี้การค้าชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาณจุดผ่านแดนถาวรบ้านเขาดินปี2563มียอดส่งออกสุกรมีชีวิตจำนวน482,014ตัวมูลค่า2,513,159,750บาทนำเข้าข้าวโพด100,437,500กิโลกรัมมูลค่า703,182,592บาทนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง17,937,500กิโลกรัมมูลค่า269,067,438บาทนำเข้ามันสำปะหลัง 575,179,400กิโลกรัมมูลค่า2,761,113,223บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35838 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในระดับพื้นที่ ๓ จังหวัด (จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดตาก และจังหวัดสุโขทัย) | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในระดับพื้นที่ ๓ จังหวัด (จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดตาก และจังหวัดสุโขทัย)
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่ ๓ จังหวัด (จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดตาก และจังหวัดสุโขทัย) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
ในวันพฤหัสบดีที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่ ๓ จังหวัด (จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดตาก และจังหวัดสุโขทัย) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ โดยมี นายวราเทพ รัตนากร ที่ปรึกษาคณะกรรมการฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมฯ โดยที่ประชุมรับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด ๓ จังหวัดฯ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกคนเป็นกรรมการ มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับ ติดตาม เร่งรัด ช่วยเหลือเยียวยาและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ โดยให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนในพื้นที่แต่ละจังหวัดเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในพื้นที่ ๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดตาก และจังหวัดสุโขทัยนอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบกรอบแนวทางภาพรวมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในระดับพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดตาก และจังหวัดสุโขทัย และรับทราบกรอบทิศทางในการขับเคลื่อนของจังหวัดในการช่วยเหลือประชาชน รวมทั้ง รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนในชนบท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35825 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ร่วมงาน “มหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 8” ชูสินเชื่อ GSB SMEs Startup No.1 ผ่อนล้านละ 1,700 บาท | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
ออมสิน ร่วมงาน “มหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 8” ชูสินเชื่อ GSB SMEs Startup No.1 ผ่อนล้านละ 1,700 บาท
เลขาธิการ ก.ล.ต. ร่วมเปิดบูธธนาคารออมสินภายในงานมหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 8 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2563 ณ อุดรธานีฮอลล์ ชั้น 4 เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี ซึ่งจัดบูธภายใต้แนวคิด “ธนาคารเพื่อสังคม”
นางพัชลีพร วรวิบูลย์สวัสดิ์ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ให้การต้อนรับ นางรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ประธานเปิดงานฯ นายนิติพัฒน์ ลีลาเลิศแล้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี และ นายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน ให้เกียรติร่วมเปิดบูธธนาคารออมสินภายในงานมหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 8 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2563 ณ อุดรธานีฮอลล์ ชั้น 4 เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี ซึ่งจัดบูธภายใต้แนวคิด “ธนาคารเพื่อสังคม” ที่สะท้อนผ่านการให้บริการทางการเงินและกิจกรรมเพื่อดูแลสังคมของธนาคารออมสินมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ บริการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน ส่งเสริมกิจกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชน สนับสนุนการประกอบอาชีพ และดูแลธุรกิจรายย่อยจนถึงระดับ SMEs ซึ่งปัจจุบันธนาคารฯ มุ่งให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19
สำหรับในงานนี้ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ คือ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SMEs นำเสนอ สินเชื่อGSB SMEs Startup No.1 สำหรับธุรกิจใหม่ไม่เกิน 3 ปี หรือเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือการตลาด มาแล้วไม่เกิน 3 ปี วัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ หรือลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ให้กู้สูงสุด 10 ล้านบาท กรณีหลักทรัพย์ค้ำประกันมากกว่า 50% ดอกเบี้ยปีแรก 1.07% (ผ่อนล้านละ 1,700 บาทต่อเดือน) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MOR/MRR +1.50% (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MOR ของธนาคารฯ = 5.995% ต่อปี และ MRR = 6.245% ต่อปี) พร้อมกันนี้ นำเสนอ สินเชื่อเคหะ สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านใหม่ หรือคอนโดมีเนียมใหม่ และทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.5% เป็นระยะเวลา 3 ปี ปีที่ 4 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% ต่อปี พร้อมยกเว้นค่าบริการสินเชื่อและค่าจัดทำนิติกรรมสัญญา โดยลูกค้าต้องจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35845 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมจากโครงการฝายร้อยเอ็ด โครงการฝายยโสธร-พนมไพร และโครงการฝายธาตุน้อย | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
ประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมจากโครงการฝายร้อยเอ็ด โครงการฝายยโสธร-พนมไพร และโครงการฝายธาตุน้อย
กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมจากโครงการฝายร้อยเอ็ด โครงการฝายยโสธร-พนมไพร และโครงการฝายธาตุน้อย เพื่อหารือถึงแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ
นายประยูร อินสกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมจากโครงการฝายร้อยเอ็ด โครงการฝายยโสธร-พนมไพร และโครงการฝายธาตุน้อย ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.ทองเปลว กองจันทร์) ให้เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมจากโครงการฝายร้อยเอ็ด โครงการฝายยโสธร-พนมไพร และโครงการฝายธาตุน้อย เพื่อรับทราบและพิจารณาผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในโครงการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมภายหลังการก่อสร้างเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร เขื่อนธาตุน้อย จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร และจังหวัดอุบลราชธานี รวมถึงการหารือถึงแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบฯ โดยที่ประชุมมีมติให้รายงานผลการดำเนินงาน ตลอดจนปัญหาและอุปสรรค เพื่อเสนอคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายร้อยเอ็ด โครงการฝายโสธร-พนมไพร และโครงการฝ่ายธาตุน้อย ประกอบการพิจารณาต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35847 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลมอบของขวัญให้คนไทย ดูบอลระดับไทยลีกฟรีจนจบฤดูกาล กระตุ้นกีฬาฟุตบอลให้คึกคัก | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
รัฐบาลมอบของขวัญให้คนไทย ดูบอลระดับไทยลีกฟรีจนจบฤดูกาล กระตุ้นกีฬาฟุตบอลให้คึกคัก
รัฐบาลมอบของขวัญให้คนไทย ดูบอลระดับไทยลีกฟรีจนจบฤดูกาล กระตุ้นกีฬาฟุตบอลให้คึกคัก
วันนี้ (9 ตุลาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องคริสตัลฮอลล์ บี โรงแรมดิแอทธินี แบงค็อก กรุงเทพมหานคร นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือโครงการ “รวมไทย SAVE บอลไทย 2020” หลังจากท่ีฟุตบอลไทยต้องหยุดแข่งขันเพราะพิษโควิด-19 ส่งผลให้วงการฟุตบอลไทยซบเซา รวมถึงนักเตะและผู้ประกอบธุรกิจกีฬาฟุตบอลขาดรายได้
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภาครัฐโดยการนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญและสนับสนุนกีฬาฟุตบอล และกีฬาทุกประเภทอย่างจริงจัง ความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นโอกาสดีที่คนไทยจะได้รับชมกีฬายอดนิยมจากช่องทีวีภาครัฐและเครือข่ายทีวีภาครัฐได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เป็นการแสดงให้เห็นถึงการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่ต้องการยกระดับฟุตบาลไทยให้เกิดความมั่นคง สร้างเงิน สร้างรายได้แก่ชุมชน รวมถึงเป็นการเปิดโอกาสให้แฟนบอลสามารถเข้าถึงกีฬาฟุตบอลได้อย่างใกล้ชิด
ด้าน พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และบริษัท ไทยลีก มีความจำเป็นต้องเลื่อนโปรแกรมแข่งขันฟุตบอลไทยลีก แต่ที่ส่งผลกระทบต่อฟุตบอลไทยทั้งระบบ คือ การสิ้นสุดสัญญาลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในเดือนตุลาคม 2563 ด้วยความร่วมมือของรัฐบาลโดยสำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ รวมถึงเครือข่ายทีวีภาครัฐ ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ และสนับสนุนด้านลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีกตลอดฤดูกาลแข่งขัน 2563 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป จะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้วงการฟุตบอลสามารถก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง และจะทำให้บอลไทยกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
ในส่วนของ พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวว่า กรมประชาสัมพันธ์ โดย NBT2HD มีความพร้อมในการถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีก เนื่องจากมีสถานีโทรทัศน์อยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ทำให้สามารถครอบคลุมการถ่ายทอดสดในต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นทีมเหย้าหรือทีมเยือน และเชื่อมั่นว่าการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลครั้งนี้ จะทำให้คนไทยได้รับชมฟุตบอลอย่างมีอรรถรส ประกอบกับ เป็นเรื่องดีที่จะทำให้ประชาชนมารับชมช่อง NBT มากขึ้น โดยทาง NBT ได้เตรียมการผลิตรายการเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล มีกูรูมาทำการวิเคราะห์ก่อนการแข่งขันในทุกสัปดาห์
----------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35856 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สารคดีสั้น ตอน 4 สืบสาน รักษา และต่อยอด | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
สารคดีสั้น ตอน 4 สืบสาน รักษา และต่อยอด
สารคดีสั้น ตอน 4 สืบสาน รักษา และต่อยอด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35837 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก. 4-01 ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
รมช.ธรรมนัส มอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก. 4-01 ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
รมช.ธรรมนัส มอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก. 4-01 ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พัฒนาอาชีพเกษตรกรรม
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยภายหลัง ลงพื้นที่ตรวจราชการ และเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) แก่เกษตรกร ณ หอประชุมโรงเรียนเดชอุดม อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ว่า มีนโยบายที่จะกระจายการถือครองลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการจัดหาที่ดินและจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ไร้ที่ดินทำกิน หรือมีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอต่อการครองชีพ และให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม ปรับปรุงทรัพยากร และปัจจัยการผลิต ตลอดจนการผลิตและการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรให้เกิดผลดียิ่งขึ้น
“วันนี้มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) แก่พี่น้องเกษตรกร จำนวน 700 ราย 779 แปลง เนื้อที่ 4,043-1-21 ไร่ ทำให้เกษตรกรได้รับโอกาสและความเสมอภาคทาง ได้มีที่ทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมายในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม อันจะทำให้เกษตรกรมีความเข้มแข็งและยั่งยืนในการประกอบอาชีพทางการเกษตร ก่อให้เกิดประโยชน์การใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน รักษาที่ดินไว้เพื่อใช้ในการดำรงชีพและเป็นมรดกตกทอดสู่ลูกหลานต่อไป” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี ได้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ประมาณ 2,478,061 ไร่ คลอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งจังหวัด จำนวน 24 อำเภอ จาก 25 อำเภอ โดยมีเกษตรกรได้รับการคัดเลือกเข้าทำประโยชน์และรับมอบเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 แล้ว จำนวน 137,095 ราย 164,816 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1,609,871 ไร่ คงเหลือพื้นที่สามารถจัดได้อีก จำนวน 276,124 ไร่
ต่อมา ได้ไปเยี่ยมชมกิจกรรมในศูนย์เรียนรู้การเพิ่มการผลิตสินค้าเกษตรเครือข่าย (ศพก.เครือข่าย) ของนายพา สายสมบัติ ณ บ้านเลขที่ 117 หมู่ที่ 2 ต.นาจะหลวย อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี ซึ่งเดิมปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยทำนา และปลูกมันสำปะหลังเป็นหลัก แต่รายได้ก็ยังไม่เพียงพอ ในปี 2552 จึงได้ไปศึกษาดูงานด้านการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และได้ลงมือทำเกษตรแบบผสมผสานอย่างจริงจัง พัฒนาพื้นที่การเกษตรทั้งหมดเป็นไร่นาสวนผสมแบบครบวงจร ทั้งยังได้รางวัลแปลงไร่นาสวนผสมดีเด่น ประจำปี 2560 จ.อุบลราชธานี โดยภายในศูนย์ฯ แบ่งเป็นฐานเรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ การเลี้ยงปลา การเลี้ยงเป็ด/ไก่ไข่ การเลี้ยงหนูพุก การทำถ่านชีวมวลคุณภาพสูงและผลิตน้ำส้มควันไม้ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังเปิดให้บุคคลที่สนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้การทำเกษตรภายในแปลงอีกด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35848 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เปิดการอบรมหลักสูตร นบส.ปปส. รุ่นที่ ๒ เพื่อพัฒนาผู้บริหารให้เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยาเสพติด | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
รมว.ยุติธรรม เปิดการอบรมหลักสูตร นบส.ปปส. รุ่นที่ ๒ เพื่อพัฒนาผู้บริหารให้เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยาเสพติด
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส.) รุ่นที่ ๒
ในวันพฤหัสบดีที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุม ดร.สมศักดิ์ และคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ชั้น ๒ อาคารสยามบรมราชกุมารี
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร
นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส.) รุ่นที่ ๒
โดยมีว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม
และนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ
หลักสูตรนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์
ความคิดและประสบการณ์การบริหารงาน ตลอดจนเกิดการสร้างเครือข่าย
ประสานการทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ
ทั้งนี้ การอบรมได้รับความร่วมมือจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
เป็นผู้ดูแลด้านเนื้อหา หลักสูตรมุ่งเน้นในเรื่องยาเสพติดและการบริหารจัดการองค์กรทั้งภาคทฤษฏี ภาคปฏิบัติ
ผู้เข้าร่วมอบรมฯ ประกอบด้วย ข้าราชการระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือน ตุลาการ อัยการ ทหาร ตำรวจ
และผู้บริหารระดับสูงขององค์กรภาคธุรกิจเอกชน รวมทั้งสิ้น ๔๕ คน
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกะทรวงยุติธรรม กล่าวใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า
เนื่องจากปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่รัฐบาลไทยและนานาประเทศทั่วโลก รวมถึงองค์การสหประชาชาติ
ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เป็นปัญหาของมวลมนุษยชาติที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
เนื่องจากเป็นรากเหง้าของปัญหาทุกอย่างและยังเชื่อมต่อกับปัญหาอื่นอีกมากมาย
เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ การสาธารณสุข การก่อการร้าย การคอร์รัปชั่น และเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของชาติ
ลดทอนศักยภาพของประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม ไม่เพียงแต่ในประเทศเท่านั้น
ทุกภูมิภาคทั่วโลกก็กำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ รวมทั้งมีการผลิตและแพร่ระบาดเพิ่มสูงขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทชนิดใหม่ๆ หรือ NPS
และสืบเนื่องจากการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษ ว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก ค.ศ. ๒๐๑๖
ชี้แนะการมองปัญหายาเสพติด และกำหนดแนวทางแก้ไขแนวใหม่แบบองค์รวมสำหรับประเทศสมาชิก
เพื่อนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศ
อีกทั้งทุกท่านถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์
ของหน่วยงาน และภาคีเครือข่ายเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด
โดยสามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้
ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร เพื่อสร้างเครือข่ายการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติด
เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และความมั่นคงของประเทศต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35824 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วัดโพธิ์เตรียมจัดงาน “ฉลองนวดไทยมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ” วันที่ ๒๙ ตุลาคมถึง ๒ พฤศจิกายนนี้ | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
วัดโพธิ์เตรียมจัดงาน “ฉลองนวดไทยมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ” วันที่ ๒๙ ตุลาคมถึง ๒ พฤศจิกายนนี้
วัดโพธิ์เตรียมจัดงาน “ฉลองนวดไทยมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ”
วันที่ ๒๙ ตุลาคมถึง ๒ พฤศจิกายนนี้
หลังจากที่องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศรับรอง ขึ้นทะเบียนนวดไทยเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ที่เมืองโปโกตา ณ สาธารณรัฐโคลอมเบีย เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา ได้สร้างความยินดีแก่ประชาชนชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในทั่วโลกยังคงมีความรุนแรง และมีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก แต่ประเทศไทยยังคงสามารถป้องกันการแพร่ระบาดได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยมาตรฐานการป้องกัน และการวางระบบสาธารณสุขของไทยที่เข้มแข็ง ทำให้วันนี้ประเทศไทยยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ดังนั้นไทยจึงกลายเป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกประสงค์จะเดินทางมาท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่มีความ โดดเด่นและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
“นวดไทย” ถือเป็นสุดยอดของโลกที่หลายคนอยากได้มีโอกาสทดลองหรือสัมผัส เนื่องด้วยได้รับการประกาศรับรองจากองค์การยูเนสโกเช่นนี้ ยิ่งเป็นการตอกย้ำ ถึงชื่อเสียงและคุณภาพระดับโลก
พระราชปริยัติมุนี (รศ.ดร.เทียบ สิริญาโณ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน กล่าวว่า “ตอนที่องค์การยูเนสโก ประกาศขึ้นทะเบียนรับรองนวดไทย เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ โดยเฉพาะนวดตำรับวัดพระเชตุพน ได้มีการจารึกไว้ในจารึกวัดพระเชตุพนเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีความครบถ้วนและสมบูรณ์ทุกประการ จุดกำเนิดการ “นวดไทย” เกิดขึ้นที่นี่ ซึ่งปัจจุบันภายในวัดพระเชตุพน ยังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพน มีการให้บริการและสอนด้านการนวดไทยแก่ผู้สนใจ ดังนั้นองค์ความรู้ด้านการนวดตำรับวัดพระเชตุพนนี้
จึงได้มีการถ่ายทอดแตกแขนงออกไปอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน ช่วงที่โควิด-19 ยังไม่ระบาด มีนักท่องเที่ยวจาก ทั่วโลกเดินทางมายังวัดพระเชตุพน เฉลี่ยวันละประมาณ 6,000-10,000 คน และในจำนวนนักท่องเที่ยวเหล่านี้ มักจองคิวเพื่อขอรับบริการ นวดไทย ตำรับวัดพระเชตุพน พร้อมกันเสมอ”
ด้าน นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า “กระทรวงวัฒนธรรม โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม มีหน้าที่ส่งเสริมและดำเนินการปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมภูมิปัญญาด้านการนวดไทยเป็นศาสตร์และศิลป์ทางการแพทย์ดั้งเดิมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมท้องถิ่น เป็นการรักษาทางเลือกควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพตามแบบแผนตะวันตก เป็นมรดกภูมิปัญญาที่ได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ปัจจุบันมีองค์กรต่างๆที่ส่งเสริมและพัฒนาการนวดไทยกว่า 50 องค์กร รวมไปถึงองค์กรภาควิชาชีพสถาบันการเรียนการสอนและสถานประกอบการเพื่อสุขภาพทั่วประเทศ การจัดงาน “ฉลองนวดไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” ถือว่าเป็นการประกาศและยืนยันบทบาทในการเป็นผู้ปฏิบัติและผู้สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศไทยในเวทีโลก ซึ่งการจัดงานฉลองจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม ถึง
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 ในครั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้คัดเลือกสุดยอดการแสดงทางวัฒนธรรมที่มีความสวยงามและมีเอกลักษณ์แสดงถึงความเป็นไทยมาจัดแสดงทุกวันตลอดการจัดงาน เพราะฉะนั้นจึงขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมงานนี้”
ด้าน กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข โดย พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ เปิดเผยว่า “การจัดงานฉลองนวดไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในครั้งนี้ วันเปิดงาน คือ วันที่ 29 ตุลาคม 2563 ถือเป็นวันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติด้วย ทางกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จึงได้จัดกิจกรรมร่วมกันไป โดยทางกรมฯ จะดูแลในส่วนของการจัดนิทรรศการและการสาธิตการนวดไทยของบรมครูและภาคีเครือข่ายนวดไทยที่เดินทางมาจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อมาสาธิตนวดไทยภายในงาน โดยเฉพาะนวดตำรับวัดพระเชตุพนที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานจะมาเปิดสาธิตให้ชมด้วย ดังนั้นเรามาชมงานนี้งานเดียวจะได้เห็นรูปแบบและภูมิปัญญาด้านการนวดไทยของแต่ละภูมิภาค ที่มีความแตกต่างกันไป ซึ่งตรงนี้มีความน่าสนใจมาก นอกจากนี้จะมีการเสวนาทางวิชาการเป็นประจำทุกวัน มีการออกร้านและจำหน่ายสินค้าสมุนไพรเพื่อสุขภาพ มีการให้บริการอาหารเพื่อสุขภาพต่างๆ เป็นต้น”
ด้าน คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ไวยาวัจกร วัดพระเชตุพน และกรรมการมูลนิธิสิริวัฒนภักดี ซึ่งให้ความสำคัญกับกิจกรรมต่างๆ ของวัดพระเชตุพน รวมทั้งการนวดไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “จารึกนวดไทย และฤๅษีดัดตน เกิดจากพระมหากรุณาธิคุณ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) โปรดสร้างไว้เป็นทาน เมื่อครั้งสถาปนาและปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน จนเปรียบเทียบว่า“วัดพระเชตุพน เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย” และเป็นแหล่งเล่าเรียนสรรพวิชาความรู้ภูมิปัญญาไทยหลายแขนง ในบรรดาสรรพวิชา “จารึกวัดโพธิ์” ซึ่งมีทั้งหมด 1,440 ชิ้น ซึ่งได้รับขึ้นทะเบียนเป็น มรดกความทรงจำแห่งโลก โดยองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO) โดยในจำนวนนั้น มี 60 ชิ้นพิเศษ จารึกเกี่ยวกับการนวดไทยไว้ เป็นหลักฐานองค์ความรู้การนวดไทย ที่มีความสมบูรณ์ครบถ้วนมากที่สุดในปัจจุบันจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ปี 2562 อีกด้วย และเมื่อวัดพระเชตุพนจะจัดงาน “ฉลองนวดไทยมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” ซึ่งเป็นโอกาสที่จะเผยแพร่ความรู้และภูมิปัญญาด้านสุขภาพของประเทศไทย ทั้งการนวดไทย และฤๅษีดัดตน ที่มีทั้งจารึกตำรา และรูปหล่อฤๅษีดัดตน จึงนับเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับมวลมนุษยชาติ ซึ่งผมในฐานะคนไทย และไวยาวัจกรของวัดพระเชตุพน รู้สึกยินดีในการจัดงานฉลอง และได้มีโอกาสร่วมในครั้งนี้ด้วย”
การจัดงานฉลองนวดไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและงานสัปดาห์ วันภูมิปัญญาแห่งชาติ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม ถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35828 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-1 ปี พัฒนาระบบสารสนเทศ อำนวยความสะดวกประชาชน | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
1 ปี พัฒนาระบบสารสนเทศ อำนวยความสะดวกประชาชน
--
#ไทยคู่ฟ้าการพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน เป็นนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้บริการประชาชน เช่น พัฒนาระบบร้องทุกข์ผู้บริโภคออนไลน์ /จัดทำฐานข้อมูลการถือครองที่ดินทั้งประเทศ /โปรแกรมคำนวณภาษีอากรและค่าธรรมเนียมผ่านเว็บไซต์ /รับชำระภาษีรถประจำปีผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ /พัฒนาระบบและกลไกดูแลความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของหน่วยงานรัฐ /ยกเลิกการขอรับสำเนาเอกสารจากประชาชน นอกจากนี้ ยังพัฒนาการให้บริการสำหรับแรงงานและผู้ประกอบการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตรวจสอบยอดเงินสะสมกรณีชราภาพ เงินสมทบ การเบิกจ่ายสิทธิประโยชน์และเปลี่ยนสถานพยาบาลของผู้ประกันตน ที่มีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 7,200,000 ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35841 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเร่งด่วน การรับฟังความคิดเห็นฯ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
นโยบายเร่งด่วน การรับฟังความคิดเห็นฯ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและการดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560 ตามนโยบายเร่งด่วนที่ได้ประกาศไว้ โดยตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นขั้นตอน และปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันให้ความร่วมมือและสนับสนุนอย่างเต็มที่ และพร้อมหารือร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้มีส่วนร่วมเพื่อศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ ความมั่นคงยั่งยืนของการบริหารประเทศและช่วยวางอนาคตของประเทศไทยด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35826 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำความร่วมมือไทย-ภูฏาน สานต่อองค์ความรู้รอบด้าน ทั้งการเกษตร และสาธารณสุข | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
นายกฯ ย้ำความร่วมมือไทย-ภูฏาน สานต่อองค์ความรู้รอบด้าน ทั้งการเกษตร และสาธารณสุข
นายกฯ ย้ำความร่วมมือไทย-ภูฏาน สานต่อองค์ความรู้รอบด้าน ทั้งการเกษตร และสาธารณสุข
วันนี้ (วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเชวัง โชเฟล ดอร์จี (H.E. Mr. Tshewang Chophel Dorji) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรภูฏานประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่ออำลาในโอกาสพ้นหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ประจำการในประเทศไทย มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ใกล้ชิดขึ้นในทุกระดับ ทั้งความใกล้ชิดระหว่างราชวงศ์ของทั้งสองประเทศ และความร่วมมือทางวิชาการ อาทิ ด้านการเกษตร การแพทย์ การสาธารณสุข และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้ฝากคำถวายพระพรชัยมงคลและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก โดยเชื่อมั่นว่าความปรารถนาดีจากพระราชวงศ์ รัฐบาล และประชาชนของทั้งสองประเทศจะช่วยให้ความสัมพันธ์พัฒนาต่อไปอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไป
เอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกแก่ภูฏานเสมอมา โดยเชื่อมั่นว่ามิตรภาพที่มีระหว่างสองประเทศจะดำเนินต่อไปอย่างแข็งขันและมีศักยภาพ พร้อมขอบคุณนายกรัฐมนตรีเมื่อครั้งที่ได้เดินทางเยือนภูฏานอย่างเป็นทางการ ได้ให้คำแนะนำด้านการพัฒนาการตลาดสินค้าเกษตรแก่ภูฏานทำให้ปัจจุบันได้พัฒนาเห็นผลสำเร็จ ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภูฏาน รวมทั้งยินดีกับความสำเร็จของรัฐบาลไทยในการกำหนดมาตรการจัดการกับโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบาย การบริหารจัดการ และการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีของประชาชนชาวไทย
ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะสานต่อความร่วมมืออย่างรอบด้าน ทั้งในระดับรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชน โดยเฉพาะความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา ส่งเสริมและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน ซี่งนายกรัฐมนตรียินดีต่อความสำเร็จของโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตร หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ OGOP (The One Gewog One Product) ของภูฏานที่ไทยเป็นต้นแบบในการริเริ่มโครงการ โดยเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร และพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน ตลอดจนไทยพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อต่อยอดและสนับสนุนสินค้าเกษตร เช่น การส่งออกสินค้าเกษตรผ่านระบบ e-commerce อีกทั้งจะร่วมกันเร่งดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ หู คอ จมูก (Ear Nose Throat-ENT) ในพื้นที่ศูนย์รักษาตาของโรงพยาบาลประจำกรุงทิมพู (Jigme Dorji Wangchuck National Referral Hospital-JDWNRH) ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35850 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรำลึก เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
กรมศุลกากรจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรำลึก เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
กรมศุลกากรจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยจัดพิธีทำบุญตักบาตร พระสงฆ์ และกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) โดยมีอธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานในพิธี
วันนี้ (9 ตุลาคม 2563) กรมศุลกากรจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยจัดพิธีทำบุญตักบาตร พระสงฆ์ และกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) โดยมีนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานในพิธี ณ ห้องโถงอาคาร 1 กรมศุลกากร
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อเป็นการร่วมแสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่หาที่สุดมิได้ กรมศุลกากรได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลโดยนิมนต์พระสงฆ์ 10 รูป จากวัดอัมพวัน ทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์และรับบิณฑบาตจากผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร
นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) “ศุลกากร สานสุข สู่ชุมชน” โดยมอบอุปกรณ์สำหรับป้องกันการแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดังนี้ เจลแอลกอฮอล์จำนวน 240 ขวด ถุงมือยาง จำนวน 50,000 ชิ้น และเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย จำนวน 10 เครื่อง ให้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุข 41 คลองเตย เพื่อใช้ประโยชน์ในการบริการด้านสาธารณสุขแก่สมาชิกชุมชนในเขตคลองเตย พร้อมมอบหน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้าสำหรับเด็ก รวม 4,000 ชิ้น เจลแอลกอฮอล์ รวม 240 ขวด ถุงมือยาง รวม 40,000 ชิ้น เครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย รวมทั้งสิ้น 20 เครื่อง ให้แก่ โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครเขตคลองเตย จำนวน 4 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนชุมชนหมู่บ้านพัฒนา โรงเรียนวัดคลองเตย โรงเรียนวัดสะพาน และโรงเรียนศูนย์รวมน้ำใจ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35849 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-ททท. แนะท่องเที่ยวปลอดภัยในช่วงโควิด 19 พร้อมเดินหน้าเศรษฐกิจไทย | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
สธ.-ททท. แนะท่องเที่ยวปลอดภัยในช่วงโควิด 19 พร้อมเดินหน้าเศรษฐกิจไทย
กระทรวงสาธารณสุข และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยปลอดภัยโควิด 19 ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA) พร้อมรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อเศรษฐกิจไทยเดินหน้า
กระทรวงสาธารณสุข และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยปลอดภัยโควิด 19 ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA) พร้อมรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อเศรษฐกิจไทยเดินหน้า
วันนี้ (9 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย และนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แถลงข่าวเรื่อง การท่องเที่ยวปลอดภัยในช่วงโควิด 19 สร้างความมั่นใจ เตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
นายแพทย์สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีเป้าหมายสำคัญคือประชาชนปลอดภัย เศรษฐกิจไทยเดินหน้าไปได้ สำหรับการเปิดรับชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ ขอให้ประชาชนคลายความกังวล กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน จัดทำมาตรการป้องกัน เฝ้าระวัง ศึกษาประเมินผลกระทบทางสุขภาพ ในกรณีพบผู้ป่วยและส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม และร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ขับเคลื่อนการดำเนินงานมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และสร้างวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ในนักท่องเที่ยวและประชาชนที่ใช้บริการ โดยกรมอนามัยได้ให้คำปรึกษาแนะนำด้านวิชาการ และจัดทำคู่มือการดำเนินการตามมาตรฐาน SHA แก่ผู้ประกอบการทั้ง 10 ประเภท ดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์กรมอนามัยhttps://uat.anamai.moph.go.th/th รวมทั้งได้พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดเพื่อเป็นต้นแบบการท่องเที่ยวปลอดโควิด 19
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ททท. ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำโครงการมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA) ซึ่งภาคธุรกิจอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้ง 10 สาขาให้ความสนใจจำนวนมากข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2563 มีผู้ลงทะเบียน 14,533 ราย สถานประกอบการสมัครเข้าร่วม 7,980 แห่ง และผ่านมาตรฐานการรับรอง 5,889 แห่ง โดยประเภทกิจการที่มีผู้ลงทะเบียนมากที่สุด คือ โรงแรมและที่พัก สถานที่จัดประชุม ภัตตาคาร/ร้านอาหาร บริษัทนำเที่ยว ยานพาหนะ สุขภาพและความงาม นันทนาการและสถานที่ท่องเที่ยว ร้านค้าของที่ระลึกและร้านค้าอื่นๆ ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า การจัดกิจกรรม/จัดประชุม โรงละคร/โรงมหรสพ และกีฬาเพื่อการท่องเที่ยว ตามลำดับ
นางสาวฐาปนีย์กล่าวต่อว่า มาตรฐาน SHA เป็นการรับรองความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งได้ประชาสัมพันธ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีแผนบูรณาการโครงการ SHA ร่วมกับพันธมิตรภาคธุรกิจด้านอาหาร GRAB TAXI นอกจากนี้ ททท. ยังได้จัดทำคู่มือท่องเที่ยวปลอดโรคและกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศรูปแบบวิถีใหม่ ภายใต้ข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุขและมาตรฐาน SHA เช่น โครงการ “Happy Bike ไร้โควิด 2020” ณ อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส จังหวัดระยอง คอนเสิร์ต “AMAZING THAILAND TUK TUK FESTIVAL The World’s First Tuk Tuk Drive-in Music Festival” ณ เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เป็นต้น และขอเชิญชวนคนไทยออกมาท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอย ทำให้ประเทศเกิดรายได้ และเกิดการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เดินหน้าต่อไป
*************************************** 9 ตุลาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35862 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ จังหวัดชายแดนประเทศมาเลเซียเพิ่มความเข้มงวดบริเวณจุดผ่านแดน พร้อมเน้นย้ำมาตรการป้องกันโรคสำหรับการจัดกิจกรรมด้านวัฒนธรรม | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ จังหวัดชายแดนประเทศมาเลเซียเพิ่มความเข้มงวดบริเวณจุดผ่านแดน พร้อมเน้นย้ำมาตรการป้องกันโรคสำหรับการจัดกิจกรรมด้านวัฒนธรรม
ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ จังหวัดชายแดนประเทศมาเลเซียเพิ่มความเข้มงวดบริเวณจุดผ่านแดน พร้อมเน้นย้ำมาตรการป้องกันโรคสำหรับการจัดกิจกรรมด้านวัฒนธรรม
วันนี้ (9 ต.ค. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 63 ได้รับทราบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นจำนวนมากในประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อรายใหม่จากผู้อยู่อาศัยในประเทศและผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งรับทราบปัญหากรณีการจัดแข่งขันกีฬาประเพณีเรือยาว ซึ่งมีการจัดการแข่งขันในหลายจังหวัดที่มีการละเลยการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนด จึงได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กำชับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง ป้องกันและสกัดกั้นตามแนวทางปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการ ดังนี้ 1) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนด้านประเทศมาเลเซีย (นราธิวาส ยะลา สตูล สงขลา) เน้นย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการและแนวทางปฏิบัติของการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรการเดินทางเข้ามาในประเทศผ่านจุดผ่านแดนในพื้นที่รับผิดชอบโดยเคร่งครัด รวมทั้งเพิ่มความเข้มงวด เฝ้าระวัง ป้องกัน มิให้มีการลักลอบเดินทางเข้าประเทศของคนไทยและบุคคลจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณชายแดน หากพบกรณีดังกล่าวให้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องและมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และ 2) สำหรับการจัดแข่งขันกีฬาประเพณีเรือยาว หรือกิจกรรมทางวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น เทศกาลสำคัญที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก/แออัด เช่น เทศกาลกินเจ และประเพณีลอยกระทง เป็นต้น ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดกำชับและเน้นย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35857 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 1 - 8 ตุลาคม 2563 | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 1 - 8 ตุลาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 1 - 8 ตุลาคม 2563 พบการกระทำผิด จำนวน 608 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 13.18 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 1 - 8 ตุลาคม 2563) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 608 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 13.18 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 353 คดี ค่าปรับ 3.62 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 190 คดี ค่าปรับ 5.98 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 15 คดี ค่าปรับ 0.12 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 7 คดี ค่าปรับ 0.14 ล้านบาท น้ำหอม 2 คดี ค่าปรับ 0.01 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 23 คดี ค่าปรับ 0.57 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 18 คดี ค่าปรับ 2.74 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 3,168.495 ลิตร ยาสูบ จำนวน 14,448 ซอง ไพ่ จำนวน 628 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 3,325.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 1,309 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 23 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35851 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-เกาหลีเหนือ ยินดีต่อความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่มีมาอย่างยาวนาน และพร้อมสานต่อความสัมพันธ์ต่อไป | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
ไทย-เกาหลีเหนือ ยินดีต่อความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่มีมาอย่างยาวนาน และพร้อมสานต่อความสัมพันธ์ต่อไป
ไทย-เกาหลีเหนือ ยินดีต่อความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่มีมาอย่างยาวนาน และพร้อมสานต่อความสัมพันธ์ต่อไป
วันนี้ (วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายคิม เช พง (H.E. Mr. Kim Je Bong) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีประจำประเทศไทย ยินดีที่ไทยกับเกาหลีเหนือมีความสัมพันธ์เป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน ยืนยันรัฐบาลไทยพร้อมทำงานร่วมกับเอกอัครราชทูตฯ อย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเกาหลีเหนือ ในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีชื่นชมเกาหลีเหนือที่ได้จัดการกับภัยธรรมชาติพายุไต้ฝุ่นในประเทศเกาหลีเหนือได้อย่างเรียบร้อย
เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบในวันนี้ พร้อมทั้งแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเกาหลีเหนือที่มีความเป็นมิตรที่ดีแก่กันมาตลอดระยะเวลา 45 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ยืนยันพร้อมทำงานเพื่อขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยเอกอัครราชทูตฯ ชื่นชมรัฐบาลไทยที่ทำงานอย่างหนักเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเห็นว่าสถานการณ์โควิด-19 เป็นวิกฤตการณ์ระดับโลกที่หลายประเทศกำลังเผชิญอยู่ ประเทศไทยโชคดีที่รัฐบาลดำเนินมาตรการอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ไทยไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศมาเป็นระยะเวลานาน เป็นที่ชื่นชมจากต่างชาติ พร้อมทั้งอวยพรเกาหลีเหนือให้ควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดดูแลประชาชนให้ปลอดภัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35833 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานกักกันตัวทางเลือกหรือ ALSQ อยู่ในพื้นที่ใดบ้าง ?? | วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563
สถานกักกันตัวทางเลือกหรือ ALSQ อยู่ในพื้นที่ใดบ้าง ??
สถานกักกันตัวทางเลือกอยู่ในพื้นที่ใดบ้าง ??
Q : สถานกักกันตัวทางเลือกหรือ ALSQ อยู่ในพื้นที่ใดบ้าง ??
A : - จังหวัดชลบุรี
- จังหวัดบุรีรัมย์
- จังหวัดภูเก็ต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35827 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี (นัดพิเศษ) 16 ตุลาคม 2563 | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี (นัดพิเศษ) 16 ตุลาคม 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (นัดพิเศษ) เรื่อง การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (16 ตุลาคม 2563) เวลา 10.00 น.ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (นัดพิเศษ) เรื่อง การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2563 เวลา 04.00 นาฬิกา เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
ข้อเท็จจริง
1. โดยที่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่ากลุ่มบุคคลที่เรียกตัวเองว่า “คณะราษฎร 2563” ซึ่งมีแกนนำที่สำคัญ อาทิ นายอานนท์ นำภา นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง นายกรกช แสงเย็นพันธ์ หรือ ปอ นายลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ แกนนำกลุ่มนักเรียนเลว นายทัดเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือ ฟอร์ด นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว และนางสาวจุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ ได้เชิญชวน ปลุกระดม และดำเนินการให้มีการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะขึ้นในกรุงเทพมหานครจำนวนหลายครั้ง โดยล่าสุดได้ประกาศนัดชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 เวลา 14.00 น ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน และต่อมาได้มีการเคลื่อนขบวนของผู้ชุมนุมมาปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลในช่วงดึกของวันดังกล่าว
2. ในช่วงที่มีการชุมนุม กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้กระทำการที่ล่วงละเมิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะในหลายประการ และได้ใช้วิธีการและช่องทางต่าง ๆ ก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายและความไม่สงบเรียบร้อยของประชาชน รวมทั้งมีการกระทำที่กระทบต่อขบวนเสด็จพระราชดำเนิน นอกจากนี้ยังมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำที่มีความรุนแรงจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล ทั้งยังกระทบโดยตรงต่อสัมฤทธิผลของมาตรการควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อันส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในภาวะเปราะบางอีกด้วย
การดำเนินการที่ผ่านมา เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของกลุ่ม “คณะราษฎร 2563” เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีจึงได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2563 เวลา 04.00 นาฬิกา เป็นต้นไป ส่งผลให้รัฐบาลสามารถควบคุมการชุมนุมมิให้เกิดความรุนแรง และไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความรุนแรงดังกล่าว เป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนทำให้นายกรัฐมนตรีไม่อาจขอความเห็นจากคณะรัฐมนตรีได้ทันท่วงทีซึ่งสามารถดำเนินการได้ตามมาตรา 5 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2558 ดังนั้น เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และเอื้อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคลให้ได้อย่างต่อเนื่อง จึงเห็นควรนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2563 เวลา 04.00 นาฬิกา เป็นต้นไป
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36009 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ ส่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรี จ่ายประโยชน์ทดแทนกว่า 3.7 แสนบาท แก่ญาติต่างด้าวเหยื่อรถไฟชนรสบัส ย้ำ ประกันสังคมดูแลสิทธิเท่าเทียม | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
‘สุชาติ’ ส่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรี จ่ายประโยชน์ทดแทนกว่า 3.7 แสนบาท แก่ญาติต่างด้าวเหยื่อรถไฟชนรสบัส ย้ำ ประกันสังคมดูแลสิทธิเท่าเทียม
รัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น มอบหมายให้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบประโยชน์ทดแทนแก่ญาติแรงงานต่างด้าว จำนวน 6 ราย ที่ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถไฟชนรถบัสขณะไปงานกฐินที่จังหวัดฉะเชิงเทรา รวมมูลค่า 370,888 บาท ณ วัดด่านสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ย
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบสิทธิประโยชน์ทดแทนแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถไฟบรรทุกสินค้าชนรถบัสขณะไปงานกฐินที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าว จำนวน 6 ราย ได้แก่เป็นค่าทำศพรายละ 50,000 บาท เป็นเงิน 300,000 บาท และเงินบำเหน็จชราภาพรวม 70,888 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 370,888 บาท ณ วัดด่านสำโรง ถนนสุขุมวิท อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายอนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการกรม สำนักงานประกันสังคม นาย U Myo Myint Naing ทูตแรงงานเมียนมาประจำประเทศไทย นายวิทูลย์ เวชสาร เจ้าหน้าที่ประสานงานสถานทูตเมียนมาร์ประจำประเทศไทย และนายโกวิท มหรรฆรัตน์ ผู้บริหารบริษัท เพอร์เฟค อินเตอร์โพรดักส์ เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย
นางธิวัลรัตน์กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงความเสียใจมายังครอบครัวของผู้เสียชีวิตและมีความห่วงใยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 19 ราย และได้รับบาดเจ็บหลายราย โดยในส่วนของกระทรวงแรงงาน ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุโดยทันที ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา รมว.แรงงาน ได้มอบหมายให้ดิฉัน และคณะลงพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทราเพื่อเยี่ยมเยียนให้กำลังใจและมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 9 ราย ที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลพุทธโสธร อ.เมืองฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา รวมทั้งมอบเงินค่าทำศพและสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีเสียชีวิตจากการทำงานแก่ญาตินายบุญส่ง สวนยิ้ม พนักงานขับรถบัสที่เสียชีวิต เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,357,467.40 บาท และในวันนี้ รมว.แรงงาน ได้มอบหมายให้ดิฉันและคณะ ลงพื้นที่วัดด่านสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อมามอบสิทธิประโยชน์ทดแทนแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถไฟบรรทุกสินค้าชนรถบัสขณะไปงานกฐินที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าว จำนวน 6 ราย เป็นค่าทำศพรายละ 50,000 บาท เป็นเงิน 300,000 บาท และเงินบำเหน็จชราภาพรวม 70,888 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 370,888 บาท ซึ่งจะเห็นได้ว่า กรณีดังกล่าวแม้ว่าจะเป็นแรงงานต่างด้าวที่เสียชีวิต แต่รัฐบาลและกระทรวงแรงงานไม่ได้ทอดทิ้งหรือนิ่งนอนใจ เพราะแรงงานทุกคนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ การที่เขาเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก็จะได้รับการดูแลคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยเฉพาะประกันสังคมจะให้ความคุ้มครองเหมือนกับแรงงานไทยทุกประการเช่นกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36004 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน สหกรณ์การเกษตรหัวตะพาน จำกัด | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน สหกรณ์การเกษตรหัวตะพาน จำกัด
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน สหกรณ์การเกษตรหัวตะพาน จำกัด จังหวัดอำนาจเจริญ พร้อมเยี่ยมชมบูธแสดงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มอาชีพสหกรณ์ และการดำเนินงานของลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายอัชฌา สุวรรณนิตย์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และคณะ ลงพื้นที่ติดตามนโยบายด้านการพัฒนาส่งเสริมสหกรณ์ และเยี่ยมชมการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรหัวตะพาน จำกัด อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ พร้อมรับฟังปัญหา และความต้องการด้านต่างๆ ของผู้นำสหกรณ์และสมาชิกสหกรณ์ จำนวน 500 คน อีกทั้งได้กล่าวมอบนโยบายการดำเนินงานต่างๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และชื่นชมบทบาทของสหกรณ์ที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม สร้างการมีส่วนร่วมและความสามัคคีให้กับชาวบ้านในพื้นที่ ร่วมมือกันทำงานในรูปแบบสหกรณ์ มุ่งเน้นงานด้านการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเพื่อยกระดับสหกรณ์ให้มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์พร้อมให้การสนับสนุนและพัฒนาสหกรณ์ในทุกๆ ด้าน เพื่อดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมมอบเงินอุดหนุนช่วยเหลือเรื่องหนี้สินและโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้แก่เกษตรกรและสมาชิกสหกรณ์
จากนั้น รมช.มนัญญา ได้เยี่ยมชมบูธแสดงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มอาชีพสหกรณ์ จำนวน 6 กลุ่ม ได้แก่ กระเป๋าผ้า ผ้าพื้นเมืองจากกลุ่มสตรีหัวตะพานคำพระ เสื่อกก จากกลุ่มอาชีพทอเสื่อกกบ้านนาหมอม้า ผักอินทรีย์ จากกลุ่มผักอินทรีย์บ้านโคกพระ ป้ายชื่อไม้แกะสลัก จากกลุ่มเฟอร์นิเจอร์อำเภอเมืองอำนาจเจริญ เนื้อโคแปรรูป จากกล่มอาชีพแปรรูปเนื้อโค และวุ้นเส้นจากถั่วเขียว จากกลุ่มอาชีพบ้านนาผาง อำเภอปทุมราชวงศา พร้อมพบปะผู้แทนเกษตรกรรุ่นใหม่ที่สมัครเข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตรในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ เยี่ยมชมนิทรรศการแสดงผลิตภัณฑ์ ผลผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรรุ่นใหม่ อาทิ มะพร้าวน้ำหอม กล้วย ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ พืชผักและผลไม้ต่างๆ ทั้งนี้ ในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร จำนวน 61 ราย ที่ผ่านมา สำนักงานสหกรณ์จังหวัดอำนาจเจริญ ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย ได้แก่ เกษตรจังหวัด พัฒนาที่ดินจังหวัด และประมงจังหวัด ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการฯ มาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการสร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตรต่างๆ ตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายสามารถนำมาใช้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรได้ ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน รวมทั้งจัดการศึกษาดูงาน จัดทำแผนการผลิต การลดต้นทุนด้วยเทคโนโลยีการเกษตร จัดการระบบน้ำ เกษตรอัจฉริยะ การควบคุมการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่แม่นยำ รวมทั้งมีการแนะนำให้ความรู้และส่งเสริมให้ผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยด้วย
นายวุฒิพร สมหมั่น หนึ่งในผู้สมัครเข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร กล่าวว่า ตนเองจบการศึกษาปริญญาตรี เดิมประกอบอาชีพพนักงานธนาคาร และลาออกมาประกอบอาชีพค้าขาย รวมทั้งมีพื้นที่ทำการเกษตร 30 ไร่ อยู่บ้านเลขที่ 151 บ้านโพนขวาว ตำบลจิกดู่ อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ ทำการเกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎีใหม่ และเกษตรอินทรีย์ ปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์ อ้อยคั้นน้ำ พันธุ์สุพรรณบุรี 50 มะพร้าวน้ำหอมอินทรีย์ไม้ดอกไม้ประดับ สละอินโด เลี้ยงเป็ด ไก่ รวมทั้งมีการแปรรูปผลผลิตด้วย เช่น แปรรูปอ้อยคั้นน้ำแบบครบวงจร น้ำตาลอ้อยแบบก้อน แบบผงชงดื่ม ไซรัปอ้อยอินทรีย์ และข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์
ทั้งนี้ สหกรณ์การเกษตรหัวตะพาน จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองแก้ว อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ จดทะเบียนจัดตั้งเป็นสหกรณ์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2514 ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 3,080 คน ทุนดำเนินงานกว่า 533 ล้านบาท สหกรณ์ฯ ดำเนินธุรกิจ ทั้งธุรกิจรับฝากเงิน ธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย ธุรกิจแปรรูป ธุรกิจบริการ และธุรกิจรวบรวม โดยสหกรณ์ดำเนินการรวบรวมข้าวเปลือกจากสมาชิก จำนวน 10,879 ตัน คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 139 ล้านบาท ทั้งนี้ สหกรณ์ฯ ได้ดำเนินงานสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในเรื่องการยกระดับสินค้าและการพัฒนาตลาดสินค้าเกษตร และสหกรณ์ฯ ได้มีการส่งเสริมให้สมาชิกประกอบอาชีพเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ โดยการให้ดำเนินการแบบกลุ่มเป็นไปตามความต้องการของสมาชิก ส่งเสริมการพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรในจังหวัดให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ พัฒนาศักยภาพกลุ่มอาชีพสหกรณ์ สนับสนุนการจัดตั้งกลุ่มอาชีพเพื่อสร้างรายได้เสริมจากการทำนา ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพและสร้างรายได้อย่างยั่งยืนต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36012 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการคนละครึ่ง ประชาชนให้ความสนใจอย่างล้นหลาม ลงทะเบียนครึ่งวันแรกกว่า 3.8 ล้านคน | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
โครงการคนละครึ่ง ประชาชนให้ความสนใจอย่างล้นหลาม ลงทะเบียนครึ่งวันแรกกว่า 3.8 ล้านคน
ความคืบหน้าของการลงทะเบียนรับสิทธิโครงการคนละครึ่งของประชาชน ที่เปิดให้ลงทะเบียนวันนี้เป็นวันแรก ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ซึ่ง ณ เวลา 13.00 น. มีประชาชนลงทะเบียนแล้วจำนวน 3,800,803 คน
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าของการลงทะเบียนรับสิทธิโครงการคนละครึ่งของประชาชน ที่เปิดให้ลงทะเบียนวันนี้เป็นวันแรก ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ซึ่ง ณ เวลา 13.00 น. มีประชาชนลงทะเบียนแล้วจำนวน 3,800,803 คน โดยเงื่อนไขของประชาชนที่สามารถร่วมลงทะเบียนได้จะต้องมีสัญชาติไทยอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในวันลงทะเบียน มีบัตรประจำตัวประชาชน และไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งได้รับสิทธิจากโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประชาชนที่สนใจยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ต่อเนื่องทุกวันในช่วงเวลา 06.00 - 23.00 น. จนกว่าจะครบ 10 ล้านคน
ผู้ที่ลงทะเบียนและยืนยันตัวตนสำเร็จแล้วจะเริ่มใช้จ่ายกับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 ระหว่างเวลา 06.00 น. – 23.00 น. โดยต้องเริ่มใช้จ่ายภายใน 14 วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ตนได้รับ SMS แจ้งรับสิทธิ หรือวันที่เปิดให้เริ่มใช้จ่ายตามโครงการ มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิและไม่สามารถลงทะเบียนได้อีก เช่น ได้รับ SMS ระหว่างวันที่ 16 - 23 ตุลาคม 2563 ต้องใช้สิทธิภายในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้น
สำหรับวิธีการใช้จ่ายกับร้านค้า ท่านสามารถเติมเงินโดยการโอนเงินของท่านไปยังแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ตามต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องโอนครั้งเดียว 3,000 บาท เช่น หากท่านต้องการจ่ายค่าอาหาร 200 บาท ท่านต้องมีเงินใน “เป๋าตัง” อย่างน้อย 100 บาท เพื่อสแกนจ่ายเงินกับร้านค้า “ถุงเงิน” โดยรัฐจะช่วยจ่ายให้ร้านค้าอีก 100 บาท หรือหากท่านจะใช้จ่ายค่าสินค้าจำนวน 400 บาท รัฐจะร่วมจ่ายให้ร้านค้า 150 บาท และท่านต้องมีเงินใน “เป๋าตัง” เพื่อสแกนจ่ายเงินอีกอย่างน้อย 250 บาท ทั้งนี้ ภาครัฐจะร่วมจ่ายไม่เกิน 3,000 บาท ตลอดระยะเวลาโครงการ
รองโฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการร้านค้าทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 240,000 ร้านค้า อย่างไรก็ดี ขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่สนใจโดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอย รีบมาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือสมัครโดยตรง ณ สาขาของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อเตรียมรองรับการใช้จ่ายของประชาชนที่จะเริ่มการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36016 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. กำชับผู้ว่าฯ จังหวัดชายแดน เข้มงวดมาตรการป้องกันโรคกลุ่มผู้ขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน สกัดกั้นการแพร่ระบาดโควิด-19 | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
ศบค.มท. กำชับผู้ว่าฯ จังหวัดชายแดน เข้มงวดมาตรการป้องกันโรคกลุ่มผู้ขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน สกัดกั้นการแพร่ระบาดโควิด-19
ศบค.มท. กำชับผู้ว่าฯ จังหวัดชายแดน เข้มงวดมาตรการป้องกันโรคกลุ่มผู้ขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดโควิด-19
วันนี้ (16 ต.ค. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศเพื่อนบ้านได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
เพื่อให้การปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในระดับพื้นที่ ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับชายแดนประเทศเพื่อนบ้านทุกจังหวัด ดำเนินการ 1) เข้มงวดการดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของกลุ่มผู้ขนส่งสินค้าตามความจำเป็นตามที่ได้กำหนดไว้ตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ที่ 8/2563 เรื่องแนวปฏิบัติตามข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 7 และระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2) ให้เสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณากำหนดพื้นที่สำหรับจอดยานพาหนะขนส่งสินค้าให้ชัดเจนและจำกัดการเข้าพื้นที่ดังกล่าวเฉพาะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการขนส่งสินค้าเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และ 3) ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ เพื่อเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ (Incident Commander :IC) ประจำช่องทางผ่านแดนทุกแห่งที่มีการอนุญาตให้ใช้ในการผ่านเข้า-ออกของบุคคล สินค้า และยานพาหนะ จำนวนช่องทางละ 1 ราย เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแล สั่งการ และประสานการปฏิบัติในการเข้า-ออกช่องทางให้เป็นไปตามข้อกำหนด คำสั่ง และระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด พร้อมทั้งพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้ช่องทางเข้า-ออกในระดับพื้นที่ และรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดทราบหรือพิจารณาดำเนินการ พร้อมรายงานการปฏิบัติมายัง ศบค.มท. ทราบต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36011 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ศึกษาการลดจำนวนวันกักตัวผู้เดินทาง เตรียมเสนอ ศบค. ประเทศต้องปลอดภัย | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
สธ.ศึกษาการลดจำนวนวันกักตัวผู้เดินทาง เตรียมเสนอ ศบค. ประเทศต้องปลอดภัย
ระทรวงสาธารณสุข เผยผลการศึกษาการลดวันกักตัวจาก 14 วันเหลือ 10 วัน ความเสี่ยงไม่แตกต่างกันวางแผนดำเนินการในกลุ่มประเทศที่มีอัตราติดโควิด 19 ต่ำ และเพิ่มมาตรการความปลอดภัย ทั้งการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ระบบติดตามตัว และการประเมินผล ยืนยันดำเนินการเป็นขั
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการศึกษาการลดวันกักตัวจาก 14 วันเหลือ 10 วัน ความเสี่ยงไม่แตกต่างกันวางแผนดำเนินการในกลุ่มประเทศที่มีอัตราติดโควิด 19 ต่ำ และเพิ่มมาตรการความปลอดภัย ทั้งการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ระบบติดตามตัว และการประเมินผล ยืนยันดำเนินการเป็นขั้นตอน คำนึงความปลอดภัยประชาชนเป็นหลัก ขณะนี้ยังไม่มีการลดจำนวนวันกักตัว เตรียมเสนอ ศบค.พิจารณา พบบางประเทศมีการกักตัวเหลือ 7 วัน
วันนี้ (16 ตุลาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงข่าวเรื่องการลดระยะเวลากักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศไทย
นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า ประเทศไทยเตรียมเปิดรับนักเดินทางต่างชาติ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้การกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศจำนวน 14 วัน อาจไม่จูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา เนื่องจากต้องพำนักอยู่ในประเทศไทยนานหลายวัน ส่งผลทำให้มีค่าใช้จ่ายมากขึ้น จึงมอบหมายให้กรมควบคุมโรคดำเนินการศึกษาข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับการลดระยะเวลากักตัว แต่คงมาตรการความปลอดภัยสำหรับประชาชน โดยผลการศึกษาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์เปรียบเทียบจำนวนวันที่กักกันกับร้อยละของการติดเชื้อที่ป้องกันจากจำนวนวันที่กักกัน พบว่า เมื่อจำนวนวันกักกันเพิ่มขึ้นจะป้องกันการแพร่เชื้อได้สูงขึ้น แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง คือช่วงวันที่ 10 จนถึงวันที่ 14 ของการกักตัว ร้อยละของการป้องกันการติดเชื้อไม่เพิ่มขึ้น ทำให้ความเสี่ยงไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และจากการหารือกับคณะกรรมการวิชาการ ภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ให้ข้อเสนอว่า มีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างรอบคอบ
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ขณะนี้ยังคงมาตรการกักตัวที่ 14 วัน หากจะลดจำนวนวันกักตัวลง จะมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้นได้จากการลดวันกักตัว คือ การนำร่องในประเทศที่ควบคุมโควิดได้ดี เช่น ไม่มีผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่ในประเทศหรือมีน้อย อัตราการติดเชื้อต่ำใกล้เคียงกับประเทศไทย เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เป็นต้น ก่อนเดินทางมีการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT PCR ภายใน 72 ชั่วโมง เมื่อเดินทางถึงไทยตรวจหาเชื้ออีก 2 ครั้ง และตรวจทางห้องปฏิบัติการมากขึ้น เช่น ตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกันเมื่อกักตัวครบ 10 วัน แนะนำให้สวมหน้ากาก หลีกเลี่ยงสถานที่มีคนจำนวนมากให้ครบ 14 วัน ระบบติดตามอาการผู้ผ่านการกักตัว 10 วัน หากมีการติดเชื้อขึ้นภายในประเทศต้องสอบสวนว่าเกี่ยวข้องกับผู้ที่ผ่านการกักตัว 10 วันหรือไม่ รวมถึงต้องมีการประเมินว่าการกักตัว 10 วันมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ คาดว่าต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน โดยจะเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) พิจารณาต่อไป
ด้านนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า การเลือกประเทศต้นทางที่จะลดวันกักตัวนั้น จะเลือกจากประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อต่ำ ซึ่งหากพิจารณาการติดเชื้อของผู้เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ พบว่า ปัจจุบันมีคนเดินทางเข้าประเทศไทยจาก 71 ประเทศ กักกันคนจำนวน 116,219 ราย ตรวจพบการติดเชื้อโควิด 19 จำนวน 49 ประเทศ จำนวน 728 ราย อัตราการติดเชื้อในกลุ่มผู้กักกันอยู่ที่ร้อยละ 0.63 อย่างไรก็ตาม มีถึง 22 ประเทศที่ไม่พบการติดเชื้อในผู้เดินทางมาประเทศไทย บางประเทศมีอัตราการติดเชื้อต่ำ เช่น จีน เดินทางเข้ามา 2,426 ราย ติดเชื้อ 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.04 ฮ่องกงเดินทางเข้ามา 1,883 ราย ติดเชื้อ 9 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.48 ไต้หวันเดินทางเข้ามา 5,581 ราย ติดเชื้อ 2 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.04 ออสเตรเลีย เดินทางเข้ามา 3,906 ราย ติดเชื้อ 4 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.1 และนิวซีแลนด์เดินทางเข้ามา 827 ราย ไม่พบการติดเชื้อ
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า หลายประเทศได้ใช้ข้อมูลทางระบาดวิทยาและการศึกษาใหม่ๆ เพื่อปรับเปลี่ยนนโยบายลดจำนวนวันกักตัวในระยะ 3-4 เดือนที่ผ่านมา โดยประเทศที่ลดวันกักตัวลงเหลือ 10 วัน ได้แก่ ฮังการี สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ สโลวีเนีย และลัตเวีย ประเทศที่ลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน ได้แก่ เบลเยียม และฝรั่งเศส แต่นโยบายที่หลากหลายนี้ขึ้นกับการประเมินสถานการณ์ของแต่ละประเทศและความจำเป็นในการดูแลผู้เดินทางมาจากต่างประเทศให้อยู่ในสถานที่ป้องกันการแพร่เชื้อได้ดี ซึ่งมาตรการเหล่านี้อาศัยข้อมูลทางวิชาการของแต่ละประเทศที่เปลี่ยนตามสถานการณ์ความเสี่ยงและกำหนดเป็นนโยบายใหม่
************************************16 ตุลาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36025 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทูตเมียนมา ปลื้ม!! ขอบคุณรัฐบาลไทย เยียวยาคนงานเสียชีวิต เหตุรถไฟชนรถบัส สิทธิเท่าเทียม | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
ทูตเมียนมา ปลื้ม!! ขอบคุณรัฐบาลไทย เยียวยาคนงานเสียชีวิต เหตุรถไฟชนรถบัส สิทธิเท่าเทียม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ทูตแรงงานเมียนมาประจำประเทศไทย ปลื้ม!! ขอบคุณรัฐบาลไทย ที่ให้การช่วยเหลือเยียวยาด้านสิทธิประโยชน์กรณีคนงานเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถไฟชนรถบัส คุ้มครองสิทธิมนุษยชน บรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ญาติและครอบครัวให้ดำรงชีวิตต่อไป
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังที่ได้มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เดินทางไปมอบสิทธิประโยชน์ทดแทนแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถไฟบรรทุกสินค้าชนรถบัสขณะไปงานกฐินที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าว จำนวน 6 ราย ได้แก่ เป็นค่าทำศพรายละ 50,000 บาท เป็นเงิน 300,000 บาท และเงินบำเหน็จชราภาพรวม 70,888 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 370,888 บาท ณ วัดด่านสำโรง ถนนสุขุมวิท อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการกรม สำนักงานประกันสังคม เข้าร่วมด้วย
นายมิว เมียน นาย (Myo Myint Naing) ทูตแรงงานเมียนมาประจำประเทศไทย ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทย กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการช่วยเหลือเยียวยาด้านสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีเสียชีวิตและการจ่ายค่าทำศพให้แก่ญาติและครอบครัวของคนงานสัญชาติเมียนมาที่มาทำงานในประเทศไทย จำนวน 6 คน ซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถไฟบรรทุกสินค้าชนรถบัสขณะไปงานกฐินที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา
ทูตแรงงานเมียนมาฯ ยังกล่าวอีกว่า ผมรู้สึกปลื้มใจที่รัฐบาลไทยกระทรวงแรงงาน และสำนักงานประกันสังคม รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้ทอดทิ้งคนงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศ ในวันนี้จึงขอขอบคุณรัฐบาลไทยและกระทรวงแรงงานที่ได้ให้การดูแลสิทธิประโยชน์ของพลเมืองชาวเมียนมาให้ได้รับความคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน แม้ว่าคนงานจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่สิทธิประโยชน์ที่ได้รับในวันนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ครอบครัว ญาติพี่น้องให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36020 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ มอบที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ รุดเยี่ยมผู้ประกันตนบาดเจ็บรถไฟชนเก๋งที่เพชรบุรี | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
‘สุชาติ’ มอบที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ รุดเยี่ยมผู้ประกันตนบาดเจ็บรถไฟชนเก๋งที่เพชรบุรี
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบของเยี่ยมและให้กำลังใจแก่ผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถไฟชนรถเก๋งที่จังหวัดเพชรบุรี
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เยี่ยมให้กำลังใจผู้ประกันตนที่ประสบอุบัติเหตุกรณีรถไฟชนรถเก๋งที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้าจังหวัดเพชรบุรี อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี โดยมี นายแพทย์ชุมพล เดชะอำไพ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี นางรัศมี สุจโต ประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรี และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานให้การต้อนรับ
โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงความเสียใจมายังครอบครัวของผู้เสียชีวิตและมีความห่วงใยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อคือ นางสาวฐิติชญาน์ แย้มเกสร อายุ 21 ปี เป็นชาว จ.ราชบุรี และบาดเจ็บ 2 ราย คือ นายทีรยุทธ์ เขื่อนทา คนขับรถ อายุ 39 ปี อาการสาหัสกระดูกคอหัก และนายบัณฑิต เจริญทรัพย์ อายุ 33 ปี เป็นชาว จ.จันทบุรี อาการสาหัสกระดูกแขนซ้ายหัก ซึ่งผู้ประสบเหตุที่ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย สำนักงานประกันสังคมรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด สำหรับผู้เสียชีวิต 1 ราย ได้รับเงินค่าทำศพ 50,000 บาท เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 30,000 บาท และบำเหน็จชราภาพ 75,877.96 บาท ผู้ประสบเหตุทั้ง 3 ราย เป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 ทำงานอยู่ที่บริษัท โรแยล พลัส จำกัด ในการนี้ รมว.แรงงาน ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุอย่างเต็มที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36024 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต เผยการจัดแข่งขันจักรยานทางไกลนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ผ่านมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 หนุนเป็นต้นแบบการแข่งกีฬานานาชาติประเภทอื่น | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
สาธิต เผยการจัดแข่งขันจักรยานทางไกลนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ผ่านมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 หนุนเป็นต้นแบบการแข่งกีฬานานาชาติประเภทอื่น
สาธิต เผยการจัดแข่งขันจักรยานทางไกลนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ผ่านมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 หนุนเป็นต้นแบบการแข่งกีฬานานาชาติประเภทอื่น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขร่วมกิจกรรมปล่อยตัวนักกีฬาจักรยานนานาชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ยืนยันทุกคนได้เข้าสู่มาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ตามระบบจัดการแข่งขันแบบ new normal พร้อมให้เป็นต้นแบบการแข่งกีฬาประเภทอื่น
เช้าวันนี้ (16 ตุลาคม 2563) ที่ศาลาริมน้ำตาปี อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมกิจกรรมปล่อยตัวนักกีฬาจักรยานนานาชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ว่า การจัดการแข่งขันจักรยานนานาชาติ ฯ ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกและชนิดแรกของประเทศไทยหลังจากวิกฤติโควิด 19 ซึ่งสมาคมจักรยานในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้รับอนุญาตให้จัดการแข่งขันจาก ศบค. กระทรวงการต่างประเทศ มีนักกีฬาจาก 4 ประเทศเข้าร่วม ได้แก่ ลักเซมเบิร์ก ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และรัสเซีย ซึ่งนักกีฬาและโค้ชที่เดินทางเข้าประเทศทุกรายได้ผ่านมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ตามระบบของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งการกักตัวในสถานกันที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) หรือสถานกักกันที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) เป็นเวลา 14 วัน และทำการตรวจหาเชื้อตามที่กำหนด ในส่วนการจัดแข่งขันได้จัดรูปแบบในรูปแบบ new normal ทุกคนจะผ่านการคัดกรองวัดอุณหภูมิ ใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยป้องกัน มีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจักรยาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักกีฬาและประชาชนในพื้นที่
“อยากให้การจัดแข่งกีฬาครั้งนี้ เป็นต้นแบบการจัดแข่งกีฬานานาชาติ เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ และสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างชาติได้อีกทางหนึ่ง” ดร.สาธิตกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36013 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สารคดีสั้น ตอน 5 ถุงผ้าพระราชทาน | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
สารคดีสั้น ตอน 5 ถุงผ้าพระราชทาน
สารคดีสั้น ตอน 5 ถุงผ้าพระราชทาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36006 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมคณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบร่างแรกของรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของไทย ปี 2563 ก่อนส่งสหรัฐอเมริกา | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
พม. จัดประชุมคณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบร่างแรกของรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของไทย ปี 2563 ก่อนส่งสหรัฐอเมริกา
พม. จัดประชุมคณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบร่างแรกของรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของไทย ปี 2563 ก่อนส่งสหรัฐอเมริกา
วันที่ 15 ต.ค. 63เวลา 13.30 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)มอบหมายให้นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 6/2563 เพื่อพิจารณาร่างรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2563 โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ อาทิ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม และกระทรวงแรงงาน เป็นต้น รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 60 คน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นางพัชรีกล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างแรกของรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2563 เรียบร้อยแล้ว โดยมีผลการดำเนินงาน 3 ด้านสำคัญ ดังนี้ 1) ด้านดำเนินคดีและบังคับใช้กฎหมาย: นำเสนอสถิติการปราบปรามดำเนินคดีค้ามนุษย์ 109 คดี เป็นการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ (ค้าประเวณี สื่อลามก และทางเพศอย่างอื่น) จำนวนมากที่สุด 95 คดี การพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ การพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากทุกหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และยึดหลักผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง ในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม 2) ด้านคุ้มครองช่วยเหลือ: พัฒนาระบบการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายโดยคำนึงถึงบาดแผลทางจิตใจของผู้เสียหาย และการเตรียมการรองรับการดูแลกลุ่มผู้เสียหายที่มีความหลากหลายทางเพศ การพัฒนา Mobile Application PROTECT-U เพื่อเป็นช่องทางช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหาย และการแจ้งเบาะแสการค้ามนุษย์ และ 3) ด้านป้องกัน: การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปรามการค้ามนุษย์ การกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการค้ามนุษย์ในกลุ่มแรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศ การคุ้มครองแรงงาน ต่างด้าวให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย และเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจแรงงานกลุ่มเสี่ยงและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิแรงงานอย่างเข้มงวด
นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ จะมีการพิจารณารายงานฯ ร่างที่ 2 ในการประชุมครั้งต่อไป และจะนำร่างรายงานดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อให้ความเห็นชอบในเดือนพฤศจิกายน 2563 ก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรี และส่งให้สหรัฐอเมริกา เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจัดระดับประเทศไทยในรายงานการค้ามนุษย์ ประจำปี 2564 ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36015 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม อัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทาน ทอดถวาย ณ วัดคฤหบดี เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
กระทรวงอุตสาหกรรม อัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทาน ทอดถวาย ณ วัดคฤหบดี เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา
นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 ณ วัดคฤหบดี แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ
วันนี้ (16 ตุลาคม 2563) เวลา 10.00 น. นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 ณ วัดคฤหบดี แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ
โดยมี นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหาร ข้าราชการและพนักงานของกระทรวงอุตสาหกรรม ตลอดจนประชาชนผู้มีจิตศรัทรา ร่วมบริจาคจตุปัจจัยทำบุญ และร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน โดยมียอดกฐินเพื่อถวายพระภิกษุ สามเณร และถวายจตุปัจจัยบำรุงพระอารามหลวง จำนวน 7,626,005.23 บาท
พร้อมกันนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบเงินสนับสนุนการศึกษาพระภิกษุสามเณรและองค์กรสาธารณประโยชน์เพื่อพระพุทธศาสนา จำนวน 4 ทุน ได้แก่ โรงเรียนวัดคฤหบดี(จันทรสถิตย์) โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดคฤหบดี โรงเรียนวัดบวรมงคลโรงเรียนพระปริยัติธรรมคฤหบดี วัดบวรมงคลราชวรวิหาร
การทอดกฐินเป็นประเพณีที่พุทธศาสนิกชน ได้ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน เพื่อเป็นการอุปถัมภ์พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสให้ได้รับอานิสงส์ตามพระวินัย และเป็นทุนในการบูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม โดยเป็นการรวมพลังแห่งความสามัคคี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจในการสร้างบุญกุศลสร้างความสุขของการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมทั้งเป็นการจรรโลงและส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้มั่นคงดำรงอยู่เจริญวัฒนาสถาพรสืบไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36014 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 9 - 15 ตุลาคม 2563 | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 9 - 15 ตุลาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 9 - 15 ตุลาคม 2563 พบการกระทำผิด จำนวน 574 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 8.42 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 9 - 15 ตุลาคม 2563) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 574 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 8.42 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 314 คดี ค่าปรับ 2.63 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 196 คดี ค่าปรับ 4.43 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 11 คดี ค่าปรับ 0.09 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 13 คดี ค่าปรับ 0.15 ล้านบาท น้ำหอม 2 คดี ค่าปรับ 0.05 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 29 คดี ค่าปรับ 0.56 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 9 คดี ค่าปรับ 0.51 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 3,448.900 ลิตร ยาสูบ จำนวน 6,331 ซอง ไพ่ จำนวน 375 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 3,660.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 1,304 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 29 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 15 ตุลาคม 2563 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 1,182 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 21.60 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 667 คดี ค่าปรับ 6.25 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 386 คดี ค่าปรับ 10.41 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 26 คดี ค่าปรับ 0.21 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 20 คดี ค่าปรับ 0.29 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 4 คดี ค่าปรับ 0.60 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 52 คดี ค่าปรับ จำนวน 1.13 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 27 คดี ค่าปรับ 2.71 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 6,617.395 ลิตร ยาสูบ จำนวน 20,779 ซอง ไพ่ จำนวน 1,003 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 6,985.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 2,613 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 52 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36017 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01
รมช.ธรรมนัส เดินทางมอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกร จ. นครราชสีมา ลดความเลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาค สร้างอาชีพเกษตรกรรมที่ยั่งยืน
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) แก่เกษตรกรจังหวัดนครราชศรีมา ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอครบุรี อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มีนโยบาย ในการดำเนินการกระจายสิทธิการถือครองที่ดินให้ถูกต้องตามกฎหมาย ให้เกษตรกรนั้นได้มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพและอยู่อาศัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งยังคุ้มครองให้สิทธิในที่ดินนั้นตกทอดสู่ลูกหลาน และใช้ในการทำการเกษตรให้เหมาะสมกับท้องถิ่นนั้น ๆ
“ในวันนี้มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ให้แก่พี่น้องเกษตรกร จำนวน 1,154 ราย ๆ ละ ไม่เกิน 2 ไร่ เนื้อที่ประมาณ 649-1-56 ไร่ ซึ่งการได้รับมอบ ส.ป.ก.4-01 ทำให้เกษตรกรได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ทำให้มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เกษตรกรที่ได้รับสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดิน มีหน้าที่ที่จะต้องทำประโยชน์ในที่ดินด้วยตนเอง โดยเน้นย้ำว่าอย่าเปลี่ยนแปลงสภาพที่ดินจนทำให้ไม่เหมาะสมแก่การเกษตรกรรม รวมทั้งต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขต่าง ๆ ในการใช้ประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินอย่างเคร่งครัดต่อไป” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครราชสีมา (ส.ป.ก.นครราชสีมา) มีพื้นที่กำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินในท้องที่ 25 อำเภอ เนื้อที่ดำเนินการปฏิรูปที่ดินประมาณ 3,235,411 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นที่ดินของรัฐ ประเภทป่าสงวนแห่งชาติที่เสื่อมโทรม ส.ป.ก.นครราชสีมา ได้จัดที่ดินให้สิทธิกับเกษตรกรไปแล้ว จำนวน 172,822 ราย 211,224 แปลง เนื้อที่ประมาณ 2,167,178 ไร่ ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ โดยในส่วนของอำเภอครบุรี มีพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน จำนวน 12 ตำบล เนื้อที่ดำเนินการปฏิรูป ประมาณ 276,749 ไร่ ส.ป.ก.นครราชสีมาได้จัดที่ดินให้สิทธิในที่ดินแก่เกษตรกรไปแล้ว 14,071 ราย 16,672 แปลง เนื้อที่ประมาณ 211,731 ไร่ และส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างเร่งรัดดำเนินการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36018 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล สั่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมด่วน | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
นฤมล สั่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมด่วน
รมช.แรงงาน สั่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมด่วน เตรียมลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือหลังน้ำลด บรรเทาความเดือนร้อนของประชาชน
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเผย จากที่ได้รับทราบข่าวสารกรณีมีฝนตกหนัก น้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนหลายพื้นที่ จึงมีความห่วงใยและต้องการให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เบื้องต้นได้มอบหมายให้หน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมให้ความร่วมมือกับจังหวัด จัดเจ้าหน้าที่ออกให้ความช่วยเหลือประชาชน อาทิ การขนย้ายสิ่งของ พร้อมสำรวจความต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐ และเตรียมการให้ความช่วยเหลือหลังน้ำลดด้วย โดยวันนี้ได้รับรายงานจากสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 5 นครราชสีมา ว่าในเขตเทศบาลเมืองนครราชสีมาและอำเภอปักธงชัย น้ำเริ่มลดลงแล้ว แต่ฝนยังตกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในบางพื้นที่มีน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนอีกหลายหลังคาเรือน จังหวัดนครราชสีมาได้ระดมเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ ยังจัดที่พักชั่วคราวและจัดหาอาหาร สิ่งของเครื่องใช้บางส่วนให้ประชาชนเรียบร้อยแล้ว
รมช.แรงงานกล่าวต่อว่า จากรายงานพบด้วยว่า ในพื้นที่ที่น้ำเริ่มลดลงแล้ว ประชาชนต้องการยารักษาโรค เนื่องจากน้ำท่วมขัง เกิดอาการเท้าเปื่อย และหลังจากนี้ต้องการให้ภาครัฐให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการจ้างงานเพื่อให้มีรายได้ ซึ่งในช่วงน้ำท่วมไม่มีรายได้ในการใช้จ่ายภายในครอบครัว อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงาน จะได้นำเรื่องดังกล่าวมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือภายใต้ภารกิจอย่างเร่งด่วนการช่วยเหลือหลังน้ำลด กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ให้บริการซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม รวมถึงสำรวจความต้องการเข้าฝึกอบรมเพื่อให้มีความรู้ต่อยอดสร้างอาชีพและรายได้ต่อไป
“ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ได้ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้ประสบปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ และขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง”รมช.แรงงานกล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36007 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เรียกประชุมหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด มอบนโยบายในการขับเคลื่อนงานภาคการเกษตร มุ่งเน้นสร้างการรับรู้ต่อพี่น้องประชาชน | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
ปลัดเกษตรฯ เรียกประชุมหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด มอบนโยบายในการขับเคลื่อนงานภาคการเกษตร มุ่งเน้นสร้างการรับรู้ต่อพี่น้องประชาชน
ปลัดเกษตรฯ เรียกประชุมหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุม Conference เรื่อง การชี้แจงผลงานและสถานการณ์ภาคเกษตร ร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมุ่งเน้นการดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจะต้องประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ความเข้าใจต่อพี่น้องเกษตรกรและประชาชน รวมถึงผลักดันให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดต่อเกษตรกรและประชาชน นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายทุกหน่วยงานในสังกัด ให้ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและเต็มประสิทธิภาพ อย่าให้เกิดความคลุมเครือต่อพี่น้องประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36023 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ได้ผลประเมินความโปร่งใสต่อเนื่องในระดับ AA | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
ธ.ก.ส. ได้ผลประเมินความโปร่งใสต่อเนื่องในระดับ AA
ธ.ก.ส. คว้าคะแนน 96.74 (ระดับ AA) จากการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ 2563 จากสำนักงาน ป.ป.ช. สะท้อนการเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในคุณธรรมและหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานอย่างต่อเนื่อง
นายสุรชัย รัศมี รองผู้จัดการ รักษาการแทนผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้เข้าร่วมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ 2563 มีผลประเมินอยู่ที่ 96.74 คะแนน ระดับยอดเยี่ยม (ระดับ AA) เป็นลำดับที่ 3 จาก 53 ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และลำดับที่ 11 ของหน่วยงานทั่วประเทศ 8,303 หน่วยงาน ธ.ก.ส. สามารถรักษามาตรฐานคุณธรรมและความโปร่งใสในระดับ AA (มากกว่า 95 คะแนน) ต่อเนื่อง 6 ปี
หลักเกณฑ์การประเมินพิจารณาตามตัวชี้วัด 10 ดัชนี คือ การปฏิบัติหน้าที่ การใช้งบประมาณการใช้อำนาจ การใช้ทรัพย์สินของราชการ การแก้ไขปัญหาการทุจริต คุณภาพการดำเนินงาน ประสิทธิภาพการสื่อสาร การปรับปรุงระบบการทำงาน การเปิดเผยข้อมูล และการป้องกันการทุจริต โดยใช้เครื่องมือการประเมิน 3 เครื่องมือ คือ การสำรวจความคิดเห็นพนักงานและผู้ช่วยพนักงาน สำรวจความคิดเห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก และการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ ในปีนี้ ธ.ก.ส. มีผลการประเมินเพิ่มขึ้น 0.31 คะแนน จากผลประเมินปีงบประมาณ 2562 อยู่ที่ 96.43 คะแนน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36021 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผยนายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่าย ยุติการชุมนุม | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
โฆษกรัฐบาล เผยนายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่าย ยุติการชุมนุม
โฆษกรัฐบาล เผยนายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่าย ยุติการชุมนุม
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ประชาชนทุกกลุ่ม และผู้ชุมนุมที่ให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ของรัฐในการยุติการชุมนุม
ทั้งนี้ เมื่อวานที่รัฐบาลได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเพื่อความสงบเรียบร้อยในเขตกรุงเทพมหานคร
แต่ก็ยังมีการชุมนุมเมื่อช่วงหัวค่ำ รัฐบาลจึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเพื่อบังคับใช้กฎหมายด้วยความเหมาะสม ในการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้ ได้ดำเนินการโดยใช้อุปกรณ์และขั้นตอนตามหลักสากลทุกประการ โดยขั้นแรกเป็นการประกาศขอความร่วมมือมวลชนให้ยุติการชุมนุมและถอยออกจากพื้นที่ แต่หลังจากที่ไม่เป็นผลสำเร็จ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการฉีดน้ำผสมสีที่ไม่เป็นอันตราย (เพื่อยืนยันตัวตนของกลุ่มผู้เข้าร่วมชุมนุม)
ทั้งนี้ท่านนายกรัฐมนตรีได้กำชับอย่างหนักแน่นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงในการปฎิบัติหน้าที่ต่อผู้ชุมนุมในทุกกรณี
อย่างไรก็ตามท่านนายกรัฐมนตรีขอย้ำ รัฐบาลพร้อมที่จะทำให้สังคมกลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด และนำความสงบสุขกลับมาสู่ประเทศ และเดินหน้าแก้ปัญหาที่เป็นทางออกของทุกฝ่ายร่วมกันภายใต้ขอบเขตของกฏหมาย และขอให้ประชาชนทุกคนร่วมมือร่วมใจกันฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไปด้วยกัน
....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36026 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 16 ตุลาคม 2563 | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 16 ตุลาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ไนจีเรีย 1 ราย, สหราชอาณาจักร 1 ราย, เอธิโอเปีย 1 ราย, สิงคโปร์ 1 ราย) ตรวจพบจากการคัดกรองที่ด่านควบคุมโรคท่าอากาศยานฯ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 16 ตุลาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ไนจีเรีย 1 ราย, สหราชอาณาจักร 1 ราย, เอธิโอเปีย 1 ราย, สิงคโปร์ 1 ราย) ตรวจพบจากการคัดกรองที่ด่านควบคุมโรคท่าอากาศยานฯ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 4 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,467 รายหรือคิดเป็นร้อยละ 94.49 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 143 ราย หรือร้อยละ 3.9 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,669 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก
ไนจีเรีย 1 รายเพศหญิง อายุ 36 ปี สัญชาติไทย อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ใน จ.ชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 1 วันที่ 13 ตุลาคม 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ
สหราชอาณาจักร 1 ราย เพศหญิง อายุ 19 ปี สัญชาติไทย อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 12 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 1 วันที่ 12 ตุลาคม 2563 มีอาการน้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น
เอธิโอเปีย 1 ราย เพศหญิง อายุ 37 ปี สัญชาติเอธิโอเปีย อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 12 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในโรงพยาบาลกักกันทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร ตรวจพบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 1 วันที่ 12 ตุลาคม 2563 ไม่มีอาการ
สิงคโปร์ 1 รายเพศชาย อายุ 46 ปี สัญชาติไทย อาชีพรับจ้าง มีประวัติติดเชื้อโควิด 19 เมื่อเดือนมิถุนายน 2563 เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ใน จ.ชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 1 วันที่ 14 ตุลาคม 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ
นายแพทย์โอกาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการเฝ้าระวังโรคโควิด 19 อย่างเข้มข้นในพื้นที่ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการพร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ในการเฝ้าระวังและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน ได้จัดส่งรถเก็บตัวอย่างนิรภัยพระราชทาน จำนวน
5 คัน ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ และประชาชนที่มีความกังวล ตั้งแต่วันที่ 12 - 15 ตุลาคม 2563 ตามจุดเสี่ยง อาทิ มัสยิดดารู้สอิสลาม, แม่ตาวใต้, ตลาดพาเจริญ, สุเหร่ามะนะฮ์ และด่านพรมแดนแม่สอด โดยเก็บตัวอย่าง จำนวน 4,680 ตัวอย่าง ส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 2 ,สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 2 จ.พิษณุโลก และโรงพยาบาลแม่สอด ผลตรวจจำนวน 2,280 รายไม่พบเชื้อ สำหรับส่วนที่เหลือคาดว่าจะทราบผลภายในวันนี้
ทั้งนี้ ด่านชายแดนแม่สอด ได้ปรับกระบวนการขนส่งสินค้าเพื่อความปลอดภัย ไม่ให้มีการแพร่เชื้อในประเทศ โดยจำกัดพื้นที่ในการขนส่งสินค้า ไม่อนุญาตให้พนักงานขับรถเข้าในเขตเมือง พร้อมดำเนินการคัดกรองอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง ข้อมูล ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2563 ได้ตรวจคัดกรองรถที่ผ่านพรมแดนแม่สอด จำนวน 257 คัน พนักงานขับรถ 257 คน ผู้โดยสาร 28 คน ผลไม่พบผู้ติดเชื้อ
******************************* 16 ตุลาคม 2563
*********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36022 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร มีผลบังคับใช้ 1 เดือน พร้อม “ขอร้อง” ให้ทุกคนช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบสุข | วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563
ครม. เห็นชอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร มีผลบังคับใช้ 1 เดือน พร้อม “ขอร้อง” ให้ทุกคนช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบสุข
ครม. เห็นชอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร มีผลบังคับใช้ 1 เดือน พร้อม “ขอร้อง” ให้ทุกคนช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบสุข
วันนี้ (16 ตุลาคม 2563) เวลา 11.05 น . ณ ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (นัดพิเศษ) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงแก่สื่อมวลชนว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ ให้ความเห็นชอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. 63 เวลา 04.00 น.
นายกรัฐมนตรีแถลงสื่อมวลชนว่า รัฐบาลมีความจำเป็นต้องมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ เพื่อให้ความเห็นชอบการประกาศใช้ตามกฎหมาย ที่ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 63 เวลา 04.00 น. ซึ่งจะต้องนำเข้าการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบภายใน 3 วัน ซึ่งวันนี้ได้ดำเนินการเพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามกระบวนการทางกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ สาระสำคัญของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีหลายประการด้วยกัน ตั้งแต่การเลิกชุมนุม การห้ามไม่ให้มีการชุมนุม การเข้าตรวจค้นผู้ต้องสงสัย และการเข้าจับกุม ที่ผ่านมาได้ใช้กฎหมายปกติ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ซึ่งวันนี้ไม่ได้ใช้แล้ว ซึ่งได้มีหารือฝ่ายเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศ ต่างประเทศ รวมทั้งทวิภาคีและพหุภาคีแล้ว
นายกรัฐมนตรียังเผยว่า เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่ปกติ จึงจำเป็นต้องประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ โดยรัฐบาลมุ่งหวังว่าจะประกาศใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเพียง 1 เดือน หรืออาจจะน้อยกว่านั้นหากสถานการณ์คลี่คลายได้โดยเร็ว เพราะหลักการสำคัญไม่ได้มุ่งหวังจะทำร้ายใคร ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่เป็นผู้ถูกกระทำเกือบทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ไม่ปกติ จึงขอให้ทุกคนช่วยกันสร้างเสถียรภาพ ทำให้บ้านเมืองสงบสุข นายกรัฐมนตรียังห่วงใยผู้บริสุทธิ์ พร้อมให้แนวทางแก่หัวหน้าผู้รับผิดชอบ คือ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนปฏิบัติ ได้แก่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เน้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างระมัดระวัง มิให้มีการใช้กำลัง ใช้การบังคับใช้กฎหมาย พร้อมเตือน มิให้กระทำการใดๆ ที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะหากทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกลงโทษ
นายกรัฐมนตรีย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องคำนึงและรักษาคนส่วนใหญ่ ขณะนี้มีนักธุรกิจร้องเรียนมาเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมวานนี้เป็นจำนวนมาก ในนามของคณะรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีจึงมิอาจปล่อยไว้ได้ ขณะเดียวกันการทำงานก็มีความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น พร้อมฝากสื่อมวลชนที่เข้าไปทำข่าวในพื้นที่ชุมนุมต้องติดปลอกแขนแสดงหน่วยงานสังกัดด้วย โดยในทางการเมืองเหลืออีกไม่เพียงกี่วันก็เปิดรัฐสภา รัฐบาลก็สนับสนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอให้ดำเนินตามขั้นตอนทางกฎหมาย ขอเตือนทุกคนที่กระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะผู้ที่ใช้สื่อโซเชียลให้ระมัดระวัง อย่าโฆษณาหรือบิดเบือน ทั้งนี้ รัฐบาลทำอย่างเดียวก็แก้ปัญหาอะไรก็ไม่ได้ ตราบใดที่คนไทยยังไม่มีน้ำใจเป็นหนึ่งเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือสื่อมวลชน เผยแพร่ข้อมูลเป็นข้อเท็จจริง และให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานซึ่งกำชับดำเนินมาตรการละมุนละม่อมต่อผู้ชุมนุม อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย เผยว่าไม่อยากให้การชุมนุมกระทบต่อเศรษฐกิจและบุคคลใดทั้งสิ้น พร้อมกล่าว “ขอร้อง” ผู้ชุมนุมเคารพกฎหมาย รักชาติ บ้านเมือง เพื่อให้ประเทศไทยก้าวต่อไป
-------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36010 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. เตือนนายจ้าง ต้องยื่นขออนุญาตทำงาน ให้ต่างด้าว 3 สัญชาติ ภายใน 31 ต.ค. นี้ เท่านั้น | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
กกจ. เตือนนายจ้าง ต้องยื่นขออนุญาตทำงาน ให้ต่างด้าว 3 สัญชาติ ภายใน 31 ต.ค. นี้ เท่านั้น
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เตือน นายจ้าง/สถานประกอบการ ติดต่อขอรับใบอนุญาตทำงาน ตามมติครม. 4 สิงหาคม 2563 ให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา)
4 กลุ่ม ที่เคยมีใบอนุญาตทำงาน แต่การอนุญาตสิ้นสุด และยังอยู่ในราชอาณาจักร ให้สามารถอยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราว และทำงานได้เป็นการเฉพาะ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 เพื่อไปดำเนินการขั้นตอนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป หากพ้นกำหนด พบจ้างคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน มีโทษปรับสูงสุด 100,000 บาท
นายสุชาติฯ กล่าวว่า ขอย้ำ เตือนให้ นายจ้าง/สถานประกอบการ ที่มีแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 ได้แก่ กลุ่มที่ 1) แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทำงานตามข้อตกลง MoU ซึ่งครบวาระการจ้างงาน 4 ปี กลุ่มที่ 2) แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ ถือเอกสารประจำตัวได้แก่ หนังสือเดินทาง (Passport : PP) เอกสารเดินทาง (TD) เอกสารรับรองบุคคล (CI) ที่ใบอนุญาตทำงานและการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดในช่วงตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 แต่ไม่ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 กลุ่มที่ 3) แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทำงานตามข้อตกลง MoU ที่การอนุญาตทำงานสิ้นสุดลงโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 50 มาตรา 53 หรือมาตรา 55 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เช่น ออกจากนายจ้างรายเดิม แต่หานายจ้างรายใหม่ไม่ได้ภายใน 30 วัน เป็นต้น กลุ่มที่ 4) แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาและเมียนมา ที่เข้ามาทำงานในลักษณะไป - กลับ หรือตามฤดูกาล โดยใช้บัตรผ่านแดน (Border Pass) ตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดน ตามมาตรา 64 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ซึ่งครบวาระการจ้างงาน และการอนุญาตให้พำนักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด รีบมาดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานกับกรมการจัดหางาน ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 และไปดำเนินการขั้นตอนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อให้สามารถอยู่และทำงานในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
นายสุชาติฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการว่า แรงงานต่างด้าวกลุ่มที่ 1 – 3 ต้องยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 ตามที่ตั้งของสถานประกอบการ ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ซึ่งใบอนุญาตทำงานจะสามารถใช้ได้ตั้งแต่ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 – 31 มีนาคม 2565 หลังจากนั้นคนต่างด้าวต้องตรวจสุขภาพ /ประกันสุขภาพกับโรงพยาบาลของรัฐที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด (กรณีไม่มีประกันสังคม) และยื่นขอรับการตรวจอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป (Visa) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ภายในวันที่ 31 มกราคม 2564 และขั้นตอนสุดท้ายคือ การจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ ออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ที่มีใบอนุญาตทำงานด้านหลังบัตร กับกรมการปกครอง ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 - 31 มีนาคม 2564 ส่วนคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาลบริเวณชายแดน ที่ถือบัตรบัตรผ่านแดน (Border Pass) ต้องยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 และคนต่างด้าวต้องตรวจสุขภาพ /ประกันสุขภาพ (กรณีไม่มีประกันสังคม) ภายในวันที่ 31 มกราคม 2564 โดยใบอนุญาตทำงานมีอายุครั้งละ 3 เดือน แต่สามารถขอต่อเนื่องได้ไม่เกินวันที่ 31 มีนาคม 2565
“ หากพ้นกำหนดระยะเวลาการดำเนินการดังกล่าวแล้ว เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบ แรงงานต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกผลักดันกลับประเทศ ส่วนนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และถ้ายังพบกระทำผิดซ้ำจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี “อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36252 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมธนารักษ์ จับมือกองทัพบก ร่วมลงนาม MOU สร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
กรมธนารักษ์ จับมือกองทัพบก ร่วมลงนาม MOU สร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3
กรมธนารักษ์จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินการก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 ระหว่างกรมธนารักษ์ กับ กองทัพบก โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ร่วมพิธี
วันนี้ (26 ตุลาคม 2563) นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินการก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 ระหว่างกรมธนารักษ์ กับ กองทัพบก โดยได้รับเกียรติจาก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมในพิธี
นายยุทธนา กล่าวต่อว่า ในปี 2534 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ย้ายโรงงานยาสูบทั้งหมดไปอยู่ส่วนภูมิภาค และให้พัฒนาพื้นที่เดิมของโรงงานยาสูบ เนื้อที่ประมาณ 430 ไร่ เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ ต่อมาในปี 2535 รัฐบาลมีโครงการจัดสร้างสวนสาธารณะบริเวณพื้นที่โรงงานยาสูบดังกล่าว เพื่อร่วมโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ และในปี 2537 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชทานชื่อสวนสาธารณะดังกล่าวว่า “เบญจกิติ” มีการออกแบบสวนสาธารณะ เป็น 2 ส่วน คือ สวนน้ำ (เนื้อที่ 130 ไร่) และสวนป่า (เนื้อที่ 300 ไร่)
กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์จึงได้ดำเนินการจัดสร้างสวนสาธารณะตามการส่งมอบพื้นที่ของโรงงานยาสูบแห่งประเทศไทย โดยในปี 2547 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จเปิดสวนน้ำ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 สำหรับสวนป่า “เบญจกิติ” แบ่งเป็น 3 ระยะ โรงงานยาสูบ แห่งประเทศไทย เป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ภายในกรอบวงเงิน 950 ล้านบาท
กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ได้ดำเนินการก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 1 เนื้อที่ 61 ไร่ แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2559 และเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2559 รัฐบาลได้จัดกิจกรรมงานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559 ณ พื้นที่สวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 1 โดยมีนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เป็นประธาน และได้ส่งมอบพื้นที่สวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 1 เนื้อที่ 61 ไร่ ให้กรุงเทพมหานครเป็นผู้ดูแลบำรุงรักษาแล้ว
นายยุทธนา กล่าวเพิ่มต่อว่า ในปี 2562 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบความคืบหน้าโครงการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 ตามกรอบการดำเนินงาน 4 กระบวนงาน ประกอบด้วย งานรื้อถอนงานออกแบบ งานจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ (PMC) และงานก่อสร้าง โดยมีแผนการก่อสร้างโครงการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 แล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 และแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 พื้นที่ คือ พื้นที่ก่อสร้างที่ 1 ช่วง 8 เดือนแรก จะก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2564 เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันที่ 12 สิงหาคม 2564 และพื้นที่ก่อสร้างที่ 2 ดำเนินการในส่วนงานสวนที่เหลือ งานปรับปรุงอาคารเดิม ให้เป็นอาคารกีฬาและอาคารพิพิธภัณฑ์ให้แล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2565
บริษัท สถาปนิกชุมชนและสิ่งแวดล้อม อาศรมศิลป์ จำกัด ผู้ออกแบบโครงการสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 เนื้อที่ประมาณ 259 ไร่ ภายใต้แนวคิดในการสืบสานพระราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการปลูกป่าในใจคน ด้วยการเป็นสวนป่าสำหรับคนเมือง (Urban Forest) ที่เชื่อมโยงและเอื้อต่อการเข้ามาทำกิจกรรมและใช้ประโยชน์ในวิถีชีวิตของคนเมือง เป็นแห่งเรียนรู้มีชีวิต ที่สร้างความผูกพันและสำนึกรักในคุณค่าของป่า น้ำ ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อนำไปสู่การมีส่วนร่วมและสำนึกหวงแหนดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ในการออกแบบเน้นให้มีพื้นที่สวนป่ามากที่สุด มีการปลูกต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้พุ่ม ไม้คลุมดิน ไม้น้ำ หลากหลายชนิดพันธุ์ มีงานสร้างอัฒจันทน์ ทางเดินลอยฟ้า ทางวิ่ง ทางจักรยาน และทางเดินโดยรอบโครงการ โดยให้มีสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสมและกลมกลืนกับความเป็นสวนสาธารณะในเมือง นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงอาคารเดิม (อาคารโกดังเดิม อาคารพิพิธภัณฑ์ และอาคาร Pavilion) ให้สามารถ ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบและตรงตามวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างโครงการฯ
ทั้งนี้ เพื่อให้การก่อสร้างสวนป่าในพื้นที่ก่อสร้างระยะที่ 1 แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนด และสามารถจัดงานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันที่ 12 สิงหาคม 2564 ได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด กรมธนารักษ์ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ซึ่งมีราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นที่ปรึกษา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังที่กำกับดูแลกรมธนารักษ์ เป็นประธานกรรมการ จึงได้ขอความร่วมมือจากกองทัพบก เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 เนื้อที่ประมาณ 259 ไร่ และในวันนี้ได้กำหนดให้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินการก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 ระหว่างกรมธนารักษ์กับกองทัพบก อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36247 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินปฏิวัติวงการ ออกสินเชื่อใหม่ “SMEs มีที่ มีเงิน” ปลดล็อกสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ ไม่ต้องหันพึ่งขายฝาก | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
ออมสินปฏิวัติวงการ ออกสินเชื่อใหม่ “SMEs มีที่ มีเงิน” ปลดล็อกสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ ไม่ต้องหันพึ่งขายฝาก
ธนาคารออมสินออกสินเชื่อใหม่ล่าสุด “สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน” ช่วยเหลือผู้ประกอบการ หลังจากช่วงที่ผ่านมาธนาคารออมสินได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนเพราะผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยถึงการออกสินเชื่อใหม่ล่าสุด “สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน” ช่วยเหลือผู้ประกอบการ หลังจากช่วงที่ผ่านมาธนาคารออมสินได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนเพราะผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง โดยออกสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษต่าง ๆ ที่เน้นช่วยลดภาระและเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้ประชาชน และผู้ประกอบการรายย่อย ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเพื่อช่วยกลุ่มฐานราก หรือ Soft Loan ช่วยเหลือ SMEs กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจประมง รวมไปถึง SMEs ทั่วไปที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบในครั้งนี้
แต่อย่างไรก็ดี ยังมีผู้ประกอบการ SMEs จำนวนมาก ที่ประสบปัญหาการดำเนินธุรกิจภายใต้ความยากลำบาก แต่ยังไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินตามมาตรการก่อนหน้านี้ได้ เพราะติดปัญหาธุรกิจขาดรายได้และมีภาระหนี้เดิม จึงจำเป็นต้องหันไปพึ่งการกู้นอกระบบรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะวิธีการ “ขายฝากที่ดิน” ที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญการถูกเอารัดเอาเปรียบด้วยดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงมาก วงเงินกู้ต่ำกว่าราคาประเมินมาก และมีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องสูญเสียที่ดินอย่างไม่เป็นธรรม
“เพื่อเป็นการปลดล็อกให้ SMEs ได้มีทางออกท่ามกลางวิกฤติรุนแรงครั้งนี้ ธนาคารออมสินจึงออกสินเชื่อใหม่ นั่นคือ สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน ที่มีแนวคิดในการเป็นตัวเลือกที่ยุติธรรมแก่ผู้ประกอบการ ให้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่เป็น SMEs สามารถใช้โฉนดที่ดินมาเป็นหลักประกันการกู้เงิน วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปเสริมสภาพคล่องให้กับกิจการ หรือนำไปไถ่ถอนจากสัญญาขายฝากที่ทำไว้ โดยธนาคารจะพิจารณาให้กู้ได้สูงถึง 70% ของราคาประเมินที่ดินของราชการ ไม่พิจารณาภาระผู้กู้และไม่วิเคราะห์รายได้ คิดอัตราดอกเบี้ย 5.99% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา และผู้กู้สามารถนำเงินต้นมาไถ่ถอนที่ดินคืนได้เมื่อพร้อม ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์มีความผ่อนคลายและธุรกิจมีความเข้มแข็งมากขึ้นแล้ว ก็จะมีความสามารถในการชำระหนี้คืนตามกำหนดเวลา ด้วยเงื่อนไขผ่อนปรนให้ลูกค้าได้กู้ง่าย ๆ เช่นนี้ เชื่อว่าสินเชื่อ SMEs มีที่มีเงิน จะช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถประคับประคองธุรกิจเดินหน้าต่อท่ามกลางความยากลำบากได้” นายวิทัยกล่าว
สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 หรือจนกว่าวงเงินจะหมด โดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ยื่นขอสินเชื่อได้ที่เว็บไซต์ www.gsb.or.th หรือติดต่อที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36255 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก สธ.แนะนักท่องเที่ยวหน้าหนาว ระวังการใช้เครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊ส | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
โฆษก สธ.แนะนักท่องเที่ยวหน้าหนาว ระวังการใช้เครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊ส
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แนะใช้เครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊สอาบน้ำ ต้องเปิดช่องระบายอากาศ หรือแง้มประตู หากมีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง หายใจลำบาก ได้กลิ่นแก๊สมากผิดปกติให้รีบออกจากห้องน้ำทันที
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แนะใช้เครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊สอาบน้ำ ต้องเปิดช่องระบายอากาศ หรือแง้มประตู หากมีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง หายใจลำบาก ได้กลิ่นแก๊สมากผิดปกติให้รีบออกจากห้องน้ำทันที
วันนี้ (27 ตุลาคม 2563) แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงนี้ ประชาชนมีการเดินทางท่องเที่ยว สัมผัสอากาศหนาวเย็น ตามภูเขา ดอยสูงซึ่งตามที่พัก รีสอร์ทในแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ มักมีไฟฟ้าไม่เพียงพอ และใช้เครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊สหุงต้ม LPG หรือแก๊สโพรเพนเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตน้ำร้อน หากแก๊สรั่วซึมออกมาในขณะอาบน้ำ หากสูดดมเข้าไปจะได้กลิ่น เกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจ จมูก หลอดลม เยื่อบุตาอักเสบ และทำให้ปริมาณก๊าซออกซิเจนในปอดลดลง ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ลดลงตามไปด้วย มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง เกิดอาการหายใจสั้น หัวใจเต้นเร็ว มึนงง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ทรงตัวไม่อยู่ หากขาดออกซิเจนอยู่นาน อาจทำให้เกิดอาการชัก หมดสติ และเสียชีวิตได้
แพทย์หญิงพรรณประภากล่าวต่อว่า ในการใช้เครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊ส ขอให้เปิดพัดลมดูดอากาศทุกครั้ง กรณีไม่มีพัดลมดูดอากาศให้แง้มประตูไว้ และเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้อย่างน้อย 20 นาทีก่อนที่คนต่อไปจะใช้ห้องน้ำ หากได้กลิ่นแก๊สมากผิดปกติ หรือมีอาการหน้ามืด วิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน ให้รีบออกจากห้องน้ำทันที ส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคโลหิตจาง หอบหืด ถุงลมโป่งพอง ความดันโลหิตสูง เป็นกลุ่มเสี่ยงมีโอกาสเสียชีวิตสูง ต้องเตรียมยาที่ใช้ประจำตัวติดตัวไปด้วยเสมอ
************************** 27 ตุลาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36262 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ห่วงคนงานไทยเรือล่มที่ไต้หวัน สั่งแรงงานจังหวัดนำทีมเยี่ยมญาติ ช่วยเหลือโดยด่วน | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
‘จับกัง1’ห่วงคนงานไทยเรือล่มที่ไต้หวัน สั่งแรงงานจังหวัดนำทีมเยี่ยมญาติ ช่วยเหลือโดยด่วน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยลูกเรือไทยที่ประสบเหตุเรือล่มนอกชายฝั่งเกาสง ของไต้หวัน สั่งการแรงงานจังหวัดนำทีมหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่เยี่ยมญาติแรงงานไทยถึงบ้าน ชี้แจงข้อมูลการให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่จะได้รับตามขั้นตอน
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยที่ประสบเหตุเรือล่มนอกชายฝั่งเกาสง ของไต้หวัน เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย คือ นายวรเดช จันทอง อายุ 29 ปี เป็นชาวจังหวัดสุรินทร์ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ และนายศิริพล โคตรศิริ อายุ 26 ปี เป็นชาวจังหวัดสมุทรปราการได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าซ้าย ถูกนำส่งโรงพยาบาล Kaohsiung Medical University เพื่อรักษาตัวแล้ว นอกจากนี้ อีก 3 ราย คือ นายนัฐพล มีแก้ว อายุ 33 ปี เป็นชาวจังหวัดอุดรธานี นายธนศักดิ์ เด่นกระจ่าง อายุ 43 ปี เป็นชาวจังหวัดมุกดาหาร และนายพชรพล สายเบาะ อายุ 29 ปี เป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี อาการไม่หนักจึงพาไปพักที่โรงแรมกักตัว (State Quarantine) ส่วนแรงงานไทยที่เหลือ คือ นายธีระพงษ์ จันทะรส อายุ 49 ปี เป็นชาวกรุงเทพมหานคร นายอชิรวิชญ์ เฮงศิริ อายุ 23 ปี เป็นชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายอรรณพ การสมดี อายุ 54 ปี เป็นชาวสกลนคร นายวิจารณ์ ธรณิศวรานนท์ อายุ 34 ปี เป็นชาวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนายฤทธิชัย สุกรี อายุ 31 ปี เป็นชาวจังหวัดนครปฐม รวมทั้งสิ้น 5 ราย เจ้าหน้าที่ทางการไต้หวันกำลังระดมการค้นหาอย่างเต็มที่ต่อไป
นายสุชาติกล่าวต่อว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวแล้วและมีความห่วงใยแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บและสูญหายจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ในวันนี้ผมจึงได้สั่งการให้แรงงานจังหวัดและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในจังหวัดที่เป็นภูมิลำเนาของแรงงานไทยแต่ละคน ลงพื้นที่ไปพบญาติเพื่อเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ และชี้แจงข้อมูลการให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆที่จะได้รับตามขั้นตอนของกฎหมาย เช่น ให้สำนักงานประกันสังคมจังหวัดตรวจสอบสถานะความเป็นผู้ประกันตน ให้จัดหางานจังหวัดตรวจสอบความเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ เพื่อให้การช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ตามขั้นตอนของกฎหมาย เป็นต้น รวมทั้งการแจ้งความคืบหน้าการค้นหาแรงงานไทยที่เหลืออย่างใกล้ชิดต่อไปด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36259 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36273 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เตือนประชาชนพายุลูกใหม่ ที่มีกำลังแรง เคลื่อนเข้าไทย 28-30 ต.ค.นี้ ให้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ระมัดระวังการเดินทาง ดูแลชีวิตและทรัพย์สิน | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
นายกฯ เตือนประชาชนพายุลูกใหม่ ที่มีกำลังแรง เคลื่อนเข้าไทย 28-30 ต.ค.นี้ ให้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ระมัดระวังการเดินทาง ดูแลชีวิตและทรัพย์สิน
นายกฯ เตือนประชาชนพายุลูกใหม่ ที่มีกำลังแรง เคลื่อนเข้าไทย 28-30 ต.ค.นี้ ให้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ระมัดระวังการเดินทาง ดูแลชีวิตและทรัพย์สิน
วันที่ 27 ตุลาคม 2563 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์สภาพอากาศ จังหวัดและการบรรเทาสาธารณภัย เฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือกับพายุลูกใหม่ ที่คาดว่ามีกำลังแรง ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนภัย
ทั้งนี้ พายุไต้ฝุ่น “โมลาเบ” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลางในวันที่ 28 ตุลาคม 2563 หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน ก่อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเป็นบริเวณกว้างและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในช่วงวันที่ 29-30 ตุลาคม 2563 โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ในขณะที่ลมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ส่งผลทำให้ภาคใต้ มีฝนตกหนักบางแห่งกับมีลมแรง
โดยจังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากในวันที่ 28 ตุลาคม 2563 มีดังนี้
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร มุกดาหาร อำนาจเจริญ ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี และตราด
ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล
นอกจากนี้ จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากในวันที่ 29-30 ตุลาคม 2563 มีดังนี้
ภาคเหนือ: จังหวัดเพชรบูรณ์ พิษณุโลก พิจิตร สุโขทัย ตาก และกำแพงเพชร
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร มุกดาหาร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี นครปฐม พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร
รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล
จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และลมแรง ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้
นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า “นายกรัฐมนตรีได้กำชับและสั่งการให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่เตรียมรับมือและป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและผลกระทบกับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน หากพื้นที่ใดคาดว่าจะได้ผลกระทบรุนแรงให้รีบแจ้งเตือน เช่น การยกสิ่งของขึ้นพื้นที่สูง หรือเตรียมอพยพหากจำเป็น เพื่อความปลอดภัย รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสัญจรหากไม่จำเป็นเร่งด่วน นายกรัฐมนตรีขอให้มั่นใจว่า รัฐบาลได้เฝ้าระวัง และสั่งทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมรับมือ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชม.”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36266 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไทย - สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563 | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
ความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไทย - สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563
รมว.คลัง แลกเปลี่ยนเอกสารกรอบความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการระดมทุนและการสร้างตลาดทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานไทย – สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลังไทยและสหรัฐอเมริกาในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไทย
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แลกเปลี่ยนเอกสารกรอบความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการระดมทุนและการสร้างตลาดทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานไทย – สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลังไทยและสหรัฐอเมริกาในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไทย กับ นาย Michael George DeSombre เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในโอกาสที่นาย Michael George DeSombre เข้าเยี่ยมคารวะ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563 ณ กระทรวงการคลัง
กรอบความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการระดมทุนและการสร้างตลาดทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานไทย - สหรัฐอเมริกา มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกันในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กระตุ้นการระดมทุนจากภาคเอกชน ส่งเสริมการเติบโตของตลาดเงินและตลาดทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนศึกษาถึงปัญหาและลดอุปสรรคเชิงนโยบาย กฎหมาย และกฎระเบียบต่อการเข้าถึงตลาดเงินและตลาดทุนของภาคเอกชนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย โดยทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะทำงานร่วม ประกอบด้วยผู้แทนของกระทรวงการคลังไทยและสหรัฐอเมริกา และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเชี่ยวชาญ และองค์ความรู้ ร่วมกำหนดแนวทางดำเนินการ และศึกษาถึงโอกาสการพัฒนาในมิติต่างๆ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย ซึ่งสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 อีกทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทย - สหรัฐอเมริกาในอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังไทยและกระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในกรอบความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการระดมทุนและการสร้างตลาดทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานไทย – สหรัฐอเมริกาดังกล่าว เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 ทำให้ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ได้ลงนามในกรอบความร่วมมือดังกล่าวกับสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับสาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐเกาหลี และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. (02) 273-9020 ต่อ 3607
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36251 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชื่นชมเด็กนิสิตนักศึกษาถือเป็นพลังของแผ่นดินในวันข้างหน้า ทุกคนคือเสียงหนึ่งของคนไทย ของประเทศไทย | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
นายกรัฐมนตรีชื่นชมเด็กนิสิตนักศึกษาถือเป็นพลังของแผ่นดินในวันข้างหน้า ทุกคนคือเสียงหนึ่งของคนไทย ของประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีชื่นชมเด็กนิสิตนักศึกษาถือเป็นพลังของแผ่นดินในวันข้างหน้า ทุกคนคือเสียงหนึ่งของคนไทย ของประเทศไทย
วันนี้(27ต.ค.63)เวลา21.25น.ณห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรอาคารรัฐสภาชั้น2ถนนสามเสนแขวงถนนนครไชยศรีเขตดุสิตกรุงเทพฯ ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งที่1 (สมัยวิสามัญ)พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่รับผิดชอบงานหลายด้านว่าตนก็ถูกโจมตีจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยอยู่ตลอดเวลาขอชี้แจงว่ารัฐบาลใช้Big Dataในการบริหารราชการแผ่นดินในการใช้งบประมาณให้ลงตรงถึงประชาชนระดับฐานรากให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเพียงพอพยายามแก้ปัญหาทุกมิติอย่างค่อยเป็นค่อยไปคัดแยกตัวเลขผู้มีรายได้ในระดับต่างๆเพื่อกำหนดมาตรการดูแลคนที่มีรายได้ที่แตกต่างกันซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจฐานราก
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าทุกคนทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยขณะนี้กรณีให้ตนลาออกเพราะบริหารประเทศล้มเหลวขอให้มองย้อนไปในปี2549และปี2557ที่มีการชุมนุมมีใครลาออกหรือไม่มีใครทำความผิดหรือไม่ยืนยันตนเองก็รักลูกหลานรักเด็กนิสิตนักศึกษาทุกคนคือพลังของแผ่นดินในวันข้างหน้าต้องสร้างความเข้าใจกันว่าบทบาทของใครอยู่ตรงไหนใครที่จะเป็นผู้ชี้นำในทางที่ถูกต้องและสงบทุกคนคือเสียงหนึ่งของคนไทยของประเทศไทย นายกรัฐมนตรียังกล่าวยอมรับวันนี้โลกเปลี่ยนวอนอย่าฟังความข้างเดียวทุกอย่างมีที่มาเช่นชุดนักเรียนทำให้เกิดการประหยัดไม่มีการแข่งขันไม่มีความแตกต่างสำหรับทรงผมก็เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่เด็กนักเรียนนักศึกษาเป็นต้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องการใช้โทรศัพท์ใช้โซเชียลมีเดียในการขับเคลื่อนนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามปรากฏข้อมูลข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ว่าในการเผยแพร่ข้อความต่างๆในโทรศัพท์มีผู้ที่โพสต์ครั้งแรก200คนอีกไม่กี่นาทีต่อมาขึ้นเป็น50,000คนจากแอคเคาน์เดิมที่แพร่หลายช่องทางเป็นการใช้ระบบเอไอในการโพสต์ข้อมูลต่างๆทั้งสิ้นโดยข้อมูลดังกล่าวเป็นความร่วมมือจากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิประชาชนยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยปิดกั้นแต่หากเป็นการละเมิดจนเกินไปไม่สุภาพสังคมก็รับไม่ได้วันนี้สังคมมีปัญหามีสิ่งที่ไม่ควรจะเผยแพร่ขึ้นในโทรศัพท์ทุกชั่วโมง
จากนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณสมาชิกรัฐสภาทั้งส.ส.และส.ว.ที่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ตลอด2วันที่ผ่านมาเพื่อหาทางออกของประเทศร่วมกัน
.............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36268 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรชูนวัตกรรมให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย จับมือสมาคมธนาคารไทยผลักดันระบบภาษีหัก ณ ที่จ่าย | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
กรมสรรพากรชูนวัตกรรมให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย จับมือสมาคมธนาคารไทยผลักดันระบบภาษีหัก ณ ที่จ่าย
กรมสรรพากรเปิดตัวระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) ในวันที่ 27 ตุลาคม 2563 ณ กรมสรรพากร ห้องพระอุเทน 1 ชั้น 2 เวลา 8.00 – 11.00 น. ร่วมมือกับสถาบันการเงิน 11 ธนาคาร นำนวัตกรรมมาใช้เพื่อความสะดวกของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดใหญ่
กรมสรรพากรเปิดตัวระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) ในวันที่ 27 ตุลาคม 2563 ณ อาคารกรมสรรพากร ห้องพระอุเทน 1 ชั้น 2 เวลา 8.00 – 11.00 น. ร่วมมือกับสถาบันการเงิน 11 ธนาคาร นำนวัตกรรมมาใช้เพื่อความสะดวกของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดใหญ่ กลาง เล็ก และผู้เสียภาษี โดยระบบนี้จะช่วยลดภาระในการจัดทำ และยื่นแบบรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายไปยังกรมสรรพากร รวมถึงการจัดเก็บเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ลดต้นทุนในการจัดทำหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ทั้งยังได้รับสิทธิ์ ลดภาษีหัก ณ ที่จ่าย จาก 3% เหลือ 2% ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2564
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “นวัตกรรมระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) เป็นหนึ่งในระบบภาษีที่กรมสรรพากรได้พัฒนาขึ้นในการเปลี่ยนแปลงการทำงานสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) โดยให้ผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่าย จากเดิมที่ผู้จ่ายเงินต้องยื่นแบบแสดงรายการและนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย ให้กรมสรรพากร และจัดทำเอกสารหลักฐานหนังสือรับรองให้ผู้รับเงินเอง เปลี่ยนมาเป็นการให้สถาบันการเงินหรือธนาคารเป็นตัวกลางดำเนินการ หักภาษี ณ ที่จ่ายแทน ช่วยลดขั้นตอน ลดต้นทุน ลดภาษี มีมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล สามารถจำกัดสิทธิการเข้าถึงและเปิดเผยข้อมูลได้ โดยได้เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563
ระบบ e-Withholding Tax ประกอบด้วยผู้เกี่ยวข้อง 4 ฝ่าย คือผู้จ่ายเงิน ธนาคารผู้ให้บริการระบบ ผู้รับเงินซึ่งเป็นผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และกรมสรรพากร โดยผู้จ่ายเงินจะจ่ายเงินผ่านธนาคารพร้อมแจ้งข้อมูลที่กำหนด เมื่อธนาคารได้รับเงินแล้วจะออกหลักฐานเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ผู้จ่ายเงินและผู้รับเงิน พร้อมทั้งจ่ายเงินหลังหักภาษีให้แก่ผู้รับเงิน และนำส่งข้อมูลและภาษีที่หักไว้ไปยังกรมสรรพากรภายในเวลาไม่เกิน 4 วันทำการ ถัดจากวันที่ธนาคารได้รับเงิน จากนั้นกรมสรรพากรจะออกใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ผู้จ่ายเงิน กรณีนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายขาดไป ผู้จ่ายเงินสามารถนำส่งภาษีเพิ่มเติมผ่านระบบนี้ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้สามารถตรวจสอบหลักฐาน หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย ได้ตลอดเวลาที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th”
ธนาคารที่เปิดให้บริการ e-Withholding Tax ในขณะนี้มีจำนวน 11 ธนาคาร ได้แก่ 1. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 2. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 3. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 4. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 5. ธนาคารมิซูโฮ จำกัด สาขากรุงเทพฯ 6. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) 7. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 8. ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น 9. ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด 10. ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) 11. ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)”
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า “ภาคธุรกิจการเงินได้ร่วมเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) เพื่อผลักดันระบบการชำระเงินของประเทศเข้าสู่ดิจิทัลทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงบุคคลทั่วไป โดยพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงิน (Payment Infrastructure Development) ส่งเสริมการเข้าถึง e-Payment ผ่านพร้อมเพย์เพื่อลดการใช้เงินสดและเช็ค พัฒนาระบบรับชำระทั้งขารับและขาจ่าย ส่งเสริมการใช้บัตรเดบิตและเครดิตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการพัฒนาระบบการชำระภาษีของกรมสรรพากร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคืนภาษีผ่านระบบพร้อมเพย์ที่ขยายจากบุคคลธรรมดามาสู่นิติบุคคล ช่วยให้การคืนภาษีรวดเร็ว ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ”
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนใช้งานระบบ e-Withholding Tax กับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36257 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. จับมือกรมกิจการเด็กและเยาวชน ส่งเสริมจิตสาธารณะเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
กยศ. จับมือกรมกิจการเด็กและเยาวชน ส่งเสริมจิตสาธารณะเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และ กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือจิตสาธารณะพัฒนาเด็กและเยาวชน
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และ กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือจิตสาธารณะพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยมีนางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน และนายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงฯ เมื่อวันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563 ณ ห้องประชุม กรมกิจการเด็กและเยาวชน
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า “กองทุนได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกรมกิจการเด็กและเยาวชน เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนหรือนักศึกษาผู้กู้ยืมเงินกองทุนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม รู้จักการสงเคราะห์แบ่งปันให้แก่เด็ก และเยาวชนที่ประสบความยากลำบาก กำพร้า ไร้ที่พึ่ง หรือถูกทอดทิ้งจากครอบครัว ผ่านการทำกิจกรรมจิตสาธารณะ ในสถานรองรับเด็ก สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน ประกอบด้วย สถานแรกรับ สถานสงเคราะห์เด็กอ่อน สถานสงเคราะห์เด็กอ่อน-โต สถานสงเคราะห์เด็กโต สถานคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก สถานพัฒนาและฟื้นฟูเด็ก และสถาบันเพาะกล้าคุณธรรม โดยมีหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชนในพื้นที่เป็นผู้นิเทศงานและรับรองการทำกิจกรรมในการลงพื้นที่ปฏิบัติงานจริงให้แก่นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืม ที่เป็นจิตสาธารณะ เช่น การเลี้ยงดู การฝึกอบรม ฝึกอาชีพ หรือบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจให้แก่เด็กและเยาวชน ซึ่งจะนับเป็นชั่วโมงจิตสาธารณะให้แก่นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมนำไปสะสมให้ครบ 36 ชั่วโมงต่อปีการศึกษาตามที่กองทุนกำหนด
ทั้งนี้ กยศ. เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาในลักษณะต่างๆ ปัจจุบันมีผู้กู้ยืมที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาจำนวนกว่า 5.7 ล้านราย โดยมีนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการศึกษากว่า 6 แสนรายต่อปีการศึกษา ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะเป็นการปลูกฝังให้เยาวชน รุ่นใหม่ได้มีจิตสาธารณะช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและทำความดีตอบแทนสังคมต่อไป”
นางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวว่า “กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีหน้าที่ส่งเสริมพัฒนาศักยภาพ คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชน และส่งเสริมสวัสดิการเด็กและครอบครัว โดยกําหนดนโยบาย มาตรการ กลไก ส่งเสริมและสนับสนุนภาครัฐและภาคเอกชน ติดตามและประเมินผลการดําเนินการ เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความมั่นคงในการดํารงชีวิต และเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัย สร้างความตระหนัก และเสริมสร้างการมีส่วนร่วม โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมจิตสาธารณะเพื่อให้เด็กและเยาวชนมีจิตสาธารณะ
กรมกิจการเด็กและเยาวชน และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา จึงทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือจิตสาธารณะพัฒนาเด็กและเยาวชน เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนหรือนักศึกษาผู้กู้ยืมเงินกองทุน เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม รู้จักการให้ การช่วยเหลือแบ่งปันให้กับเด็กในสถานรองรับ สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน รวมไปถึงการกำหนดแผนการทำกิจกรรม สำหรับนักเรียนหรือนักศึกษาของผู้กู้ยืมเงินกองทุนเพื่อใช้สำหรับทำกิจกรรมจิตสาธารณะกับเด็กในสถานรองรับ สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน ทั้งนี้จะมีการติดตามผลการดำเนินงานของนักเรียนหรือนักศึกษาผู้กู้ยืมเงินกองทุนและร่วมกันทบทวนผลการดำเนินงาน รวมทั้งสรุปบทเรียนเพื่อนำมาพัฒนาและขยายผลการดำเนินงานต่อไป
จากความร่วมมือของทั้ง 2 ฝ่าย ครั้งนี้เป็นการเพิ่มพื้นที่ให้กับกลุ่มเด็กและเยาวชนในการทำกิจกรรมจิตสาธารณะเพื่อสังคม และเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่น้อง ๆ ในสถานรองรับ สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชนในเรื่องการแบ่งปัน เสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และรู้จักมอบโอกาสให้กับผู้อื่นที่ด้อยโอกาสกว่าตนเองโดยไม่หวังผลตอบแทน และหวังว่าเมื่อผู้กู้ยืมจบการศึกษาไปแล้วจะเป็นบุคลากรตัวอย่างที่ดี มีคุณภาพ สามารถพึ่งพาตนเองและมีจิตสาธารณะตอบแทนสังคมได้” นางสุภัชชา สุทธิพล กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36258 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เตรียมเป็นประธานลงนามรถไฟความเร็วสูง ความร่วมมือไทย-จีน สัญญา 2.3 พรุ่งนี้ | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
นายกฯ เตรียมเป็นประธานลงนามรถไฟความเร็วสูง ความร่วมมือไทย-จีน สัญญา 2.3 พรุ่งนี้
นายกฯ เตรียมเป็นประธานลงนามรถไฟความเร็วสูง ความร่วมมือไทย-จีน สัญญา 2.3 พรุ่งนี้
เมื่อวันที่ 27 ต.ค.63 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จะเป็นประธานในพิธีการลงนามสัญญางาน ระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) โดยเป็นการลงนามระหว่างผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และผู้บริหารรัฐวิสาหกิจจีน โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และผู้แทนรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมเป็นฐานะสักขีพยาน จัดขึ้นที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สัญญา 2.3 วงเงิน 50,633.50 ล้านบาท โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ลงนามร่วมกับ บริษัท ไซน่า เรลเวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล (CHINA RAILWAY INTERNATIONAL CO., LTD.) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ ดีไซน์ คอร์เปอเรชั่น (CHINA RAILWAY DESIGN CORPORATION) โดยมีขอบเขตงาน คือการวางระบบรางระยะทาง 253 กิโลเมตร งานระบบรถไฟความเร็วสูง ระบบไฟฟ้า ระบบอาณัติสัญญาณ ระบบสื่อสาร งานจัดหาขบวนรถไฟ งานฝึกอบรมบุคลากรเพื่อการเดินรถและซ่อมบำรุง และงานถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้ ระยะเวลาเริ่มต้นของสัญญาแบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่ 1.การเริ่มต้นงานออกแบบระบบรถไฟความเร็วสูง และออกแบบระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนออกแบบขบวนรถไฟ 2. การเริ่มต้นงานฝึกอบรมบุคลากรเพื่อการเดินรถและซ่อมบำรุง และการถ่ายทอดเทคโนโลยี และ 3. การเริ่มต้นงานก่อสร้าง ติดตั้งงานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ระบบรถไฟความเร็วสูงที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาสิ้นสุดสัญญา 64 เดือน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับโครงการความร่วมมือรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา 253 กิโลเมตร ประกอบด้วย 6 สถานี ประกอบด้วย กรุงเทพ (บางซื่อ) ดอนเมือง อยุธยา สระบุรี ปากช่อง และนครราชสีมา ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 179,412.21 ล้านบาท โดยฝ่ายไทยได้ลงทุนโครงการทั้งหมดและดำเนินการก่อสร้างงานโยธา ส่วนฝ่ายจีนรับผิดชอบการออกแบบรายละเอียดงานโยธา ควบคุมงานการก่อสร้างโยธา ออกแบบและติดตั้งงานระบบรางและระบบไฟฟ้า เครื่องกล ระบบควบคุมการเดินรถและจัดนำขบวนรถไฟความเร็วสูง มีการแบ่งสัญญาก่อสร้างงานโยธาออกเป็น 14 สัญญา ปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ 1 สัญญา ช่วงกลางดง-ปางโศก อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง 1 สัญญา ช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ซึ่งมีความก้าวหน้าร้อยละ 42 รวมถึงเตรียมลงนามในสัญญาก่อสร้าง 9 สัญญา อยู่ในกระบวนการหาผู้รับจ้างอีก 3 สัญญา คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงได้ในปี 2569
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36256 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 5/2563 เพื่อประสานความร่วมมือ ในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ร่วมแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนแก่ประชาชน | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
ทส. ประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 5/2563 เพื่อประสานความร่วมมือ ในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ร่วมแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนแก่ประชาชน
ทส. ประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 5/2563 เพื่อประสานความร่วมมือ ในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ร่วมแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนแก่ประชาชน
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมให้การต้อนรับคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ผู้แทนหน่วยงานของรัฐทุกกระทรวง ทบวง กรม รวมถึงรัฐวิสาหกิจ และองค์การของรัฐ ในโอกาสตรวจเยี่ยมและประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันนี้ 26 ตุลาคม 2563 ณ ห้องอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
โดยในการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาหารือการแก้ไข ปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ในมิติด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งในเรื่องการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง PM 2.5 ปัญหาที่ดินทำกิน คทช. การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ ที่เกิดขัดข้อง มีความล่าช้า ส่งกระทบต่อการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของประชาชน ตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจของกระทรวงฯ ให้สามารถดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความอยู่ดีกินดีและประโยชน์สุขสูงสุดที่ประชาชนจะได้รับ
นอกจากนี้ คณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ยังได้รับทราบการดำเนินงานเรื่องที่สำคัญ ๆ เกี่ยวกับภารกิจของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ขอความสนับสนุนและต้องบูรณาการความร่วมมือจากกระทรวงต่าง ๆ ทั้งในเรื่องการบริหารจัดการธรณีพิบัติภัยทั้งระบบ การบริหารจัดการแหล่งมรดกทางธรณีวิทยาเพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนผ่านแนวทางอุทยานธรณี การสำรวจและประเมินศักยภาพทรัพยากรแร่ในทะเล การจัดการปัญหาขยะทะเลและการปล่อยน้ำเสียลงทะเลการจัดการน้ำเสียชุมชนและการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสีย การปรับปรุงกฎกระทรวง การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 รวมถึงการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ อีกทั้งได้ให้ข้อเสนอแนะเรื่องการนำเข้าขยะพลาสติก การแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนเรื่องที่ดินทำกินของประชาชน และการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่ดิน กรณีอุทยานแห่งชาติกำหนดแนวเขตที่ดินทับซ้อนกับที่อยู่อาศัย รวมถึงที่ดินทำกินของประชาชน ในคราวประชุมนี้อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36264 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การโอนเงินให้ร้านค้า “โครงการคนละครึ่ง” | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
การโอนเงินให้ร้านค้า “โครงการคนละครึ่ง”
ขณะนี้โครงการคนละครึ่งมีประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 9.4 ล้านคน และมีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 3.8 แสนร้านค้า ซึ่ง ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2563 มียอดการใช้จ่ายสะสม 704.5 ล้านบาท
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการคนละครึ่งมีประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 9.4 ล้านคน และมีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 3.8 แสนร้านค้า ซึ่ง ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2563 มียอดการใช้จ่ายสะสม 704.5 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 362.5 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 342 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย 232 บาทต่อครั้ง โดยใช้จ่ายครบทุกจังหวัด และจังหวัดที่มีการใช้จ่ายมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา และนครศรีธรรมราช
รองโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายของประชาชนครึ่งหนึ่งที่ใช้จ่ายกับร้านค้า ซึ่งร้านค้าจะได้รับยอดรวมโอนเข้าบัญชีที่ลงทะเบียนทุกสิ้นวัน ในช่วง 02.00 น. - 6.00 น. ตามระบบชำระเงินของธนาคาร สำหรับส่วนที่ภาครัฐร่วมจ่ายอีกครึ่งหนึ่ง ร้านค้าจะได้รับในวันทำการถัดไป ในช่วง 17.30 – 19.00 น. โดยยอดการใช้จ่ายในช่วงวันหยุดภาครัฐจะโอนให้ทันทีในวันทำการถัดไป สำหรับในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมาระหว่างวันที่ 23 - 25 ตุลาคม 2563 ในส่วนที่ภาครัฐร่วมจ่าย จำนวน 212 ล้านบาท ภาครัฐได้โอนให้ร้านค้า จำนวน 96,359 ร้านค้าเรียบร้อยแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา รวมทั้งอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงระบบการจ่ายเงินให้ร้านค้าให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี หากร้านค้าใดยังไม่ได้รับเงินขอให้ติดต่อธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อตรวจสอบสถานะบัญชีของท่านว่า เป็นบัญชีที่ไม่มีการเคลื่อนไหวนานเกิน 1 ปีหรือไม่ หรือมีปัญหาอื่นใด
นอกจากนี้ รองโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ในขณะนี้ได้รับทราบว่ามีพฤติกรรมโฆษณาชวนเชื่อในการดำเนินการโดยไม่มีการใช้จ่ายจริงตามเงื่อนไขโครงการ จึงขอย้ำเตือนว่าภาครัฐมีระบบการติดตามตรวจสอบพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ผิดปกติ รวมทั้งมีการตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการในติดตามความเคลื่อนไหวเรื่องดังกล่าว หากพบพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ผิดปกติหรือมีการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโครงการ ภาครัฐจะดำเนินการระงับการจ่ายเงินทั้งฝั่งร้านค้าและประชาชนทันที โดยหากตรวจสอบพบว่าการใช้จ่ายผิดเงื่อนไขโครงการจริงจะต้องมีการดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงขอให้ประชาชนและร้านค้าโปรดอย่าหลงเชื่อการเชิญชวนตามโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ ในการช่วยดำเนินการโดยไม่มีการใช้จ่ายจริงอย่างเด็ดขาดเพราะอาจตกเป็นเหยื่อในการสนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ ทั้งนี้ ภาครัฐมุ่งหวังให้โครงการคนละครึ่งสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน ตลอดจนช่วยให้ร้านค้ามีรายได้เพิ่มมากขึ้นได้จริง
โครงการคนละครึ่ง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 (24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36260 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ละทิ้งหน้าที่โดยการลาออก เห็นพ้องให้ตั้งคณะทำงาน นำไปสู่การพูดคุยหาทางออกร่วมทั้งรัฐบาล รัฐสภา ผู้เห็นต่างเพื่อหาทางออกประเทศอย่างแท้จริง | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ละทิ้งหน้าที่โดยการลาออก เห็นพ้องให้ตั้งคณะทำงาน นำไปสู่การพูดคุยหาทางออกร่วมทั้งรัฐบาล รัฐสภา ผู้เห็นต่างเพื่อหาทางออกประเทศอย่างแท้จริง
นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ละทิ้งหน้าที่โดยการลาออก เห็นพ้องให้ตั้งคณะทำงาน นำไปสู่การพูดคุยหาทางออกร่วมทั้งรัฐบาล รัฐสภา ผู้เห็นต่างเพื่อหาทางออกประเทศอย่างแท้จริง
วันนี้(27ต.ค.63)เวลา21.45น.ณห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรอาคารรัฐสภาชั้น2ถนนสามเสนแขวงถนนนครไชยศรีเขตดุสิตกรุงเทพฯ ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งที่1 (สมัยวิสามัญ)พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวขอบคุณสมาชิกรัฐสภาทั้งส.ส.และส.ว.ที่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ตลอด2วันที่ผ่านมาเพื่อหาทางออกของประเทศร่วมกันและจะนำข้อคิดเป็นคำเตือนไปพิจารณา
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างสูงในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด19จำนวนผู้ติดเชื้อที่ต่ำผู้เสียชีวิตจำนวนน้อยมากจนได้รับการยอมรับและยกย่องจากต่างประเทศ ส่วนที่มองว่าเศรษฐกิจไทยแย่นั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าขอให้ติดตามข้อมูลอย่างเป็นธรรมเพราะขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังก้าวเดินอย่างช้าๆแต่ถึงแม้เศรษฐกิจจะลดลงก็ลดลงในอัตราที่ช้ากว่าเดิมรวมทั้งมีมาตรการเพิ่มเข้าไปในเรื่องของการด้านการท่องเที่ยวโดยขณะนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนซึ่งถือวีซ่าพิเศษจำนวน41คนได้เดินทางมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้วโดยมีการคัดกรองมาจากต้นทางและมีใบรับรองแพทย์ตามหลักการมาตรฐานสากลทั้งนี้ก็จะมีการทยอยเดินทางมาเรื่อยๆขณะนี้สามารถเปิดประเทศได้แล้วแต่ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังโดยให้ความสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจและสุขภาพควบคู่กัน
อย่างไรก็ตามสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองอาจกดทับบรรยากาศเศรษฐกิจในช่วงปลายปีที่กำลังจะดีขึ้นที่ผ่านมาประเทศไทยเคยมีความรักและเอื้อเฟื้อต่อกันด้วยดีมาโดยตลอดจึงไม่อยากให้วัฒนธรรมดีงามของประเทศไทยแตกร้าวเสียหายไปเพราะความไม่เข้าใจระหว่างคนแต่ละรุ่นโดยขณะนี้มีกลุ่มที่ถูกชักชวนผ่านโลกโซเชียลมีเดียซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกวันนี้โลกของการติดต่อสื่อสารจะมีการถูกบันทึกและถูกกลุ่มคนนำไปจัดเป็นอุปนิสัยของเราถูกนำไปใช้ประโยชน์เสมอโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ไม่เคยรับข้อมูลใดๆมาก่อนโดยเฉพาะการป้อนข้อมูลเฉพาะทางให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามที่อีกฝ่ายต้องการโดยไม่รู้ตัวจึงขอให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการอ่านแต่อย่าเชื่อทุกอย่างที่เห็นและฟังขอให้ใช้สติปัญญาและมีภูมิคุ้มกันที่ดีในการตรวจสอบคัดกรองข้อมูลต่างๆเหล่านั้นขอให้ระมัดระวังในการนำข้อมูลของเราไปเผยแพร่ในต่างประเทศ รัฐบาลมีหน้าที่ที่จะดูแลและฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกกลุ่มและยินดีที่จะรับฟังข้อเรียกร้องพร้อมจะร่วมมือในการแก้ปัญหาแต่ต้องไม่ไปริดลอนสิทธิของคนอื่นยอมรับความเชื่อที่แตกต่างของแต่ละคนคำนึงถึงคนส่วนใหญ่เป็นหลักซึ่งเป็นหลักการส่วนใหญ่ของระบอบประชาธิปไตย
นายกรัฐมนตรีเห็นด้วยให้มีการตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางที่เสนอมาเพื่อนำไปสู่การพูดคุยหาทางออกโดยนำทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งรัฐบาลรัฐสภาผู้เห็นต่างมารวมกันพูดคุยเพื่อหาทางออกนำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริงทั้งนี้ข้อเรียกร้องใดๆของผู้ชุมนุมที่สอดคล้องกับคนกลุ่มใหญ่ก็พร้อมยินดีจะรับไปดำเนินการถ้าข้อเรียกร้องใดไม่สามารถพิสูจน์ได้เป็นความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ก็ขอสงวนสิทธิ์
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็อยู่ในขั้นตอนอยู่แล้วและเป็นหน้าที่ของรัฐสภาและนายกรัฐมนตรีก็พร้อมสนับสนุนในฐานะรัฐบาลในฝ่ายบริหารซึ่งแต่ละฝ่ายก็มีหน้าที่ของตนเองและไม่ไปก้าวล่วงหน้าที่ของใครยืนยันไม่เคยยึดติดกับตำแหน่งสิ่งสำคัญจะไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวเพื่อหนีปัญหาจะไม่ละทิ้งหน้าที่โดยการลาออกในขณะที่ชาติบ้านเมืองมีปัญหาในยามที่ทุกคนต้องช่วยกันประคับประคองให้ประเทศก้าวเดินไปข้างหน้าแก้ปัญหาเร่งด่วนทั้งการว่างงานSMEสินค้าการเกษตรการบริหารจัดการน้ำรวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและถนนต่างๆเพื่อให้ประชาชนในประเทศมีความสุข
_____________
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36269 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เยี่ยมชมศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และรับฟังการนำเสนอผลงาน และทิศทางการดำเนินงาน | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
รมว.วธ.เยี่ยมชมศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และรับฟังการนำเสนอผลงาน และทิศทางการดำเนินงาน
รมว.วธ.เยี่ยมชมศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และรับฟังการนำเสนอผลงาน และทิศทางการดำเนินงาน
วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เยี่ยมชมศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และรับฟังการนำเสนอผลงาน และทิศทางการดำเนินงาน โดยมี ดร.นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับ และนำชม ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36249 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ต้องทำงานเพื่อสร้างอนาคตไปด้วยกัน ย้ำจะทำงานในหน้าที่ให้จบ พร้อมยืนยันไม่ได้ต้องการรักษาอำนาจ | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
นายกรัฐมนตรีระบุคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ต้องทำงานเพื่อสร้างอนาคตไปด้วยกัน ย้ำจะทำงานในหน้าที่ให้จบ พร้อมยืนยันไม่ได้ต้องการรักษาอำนาจ
นายกรัฐมนตรีระบุคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ต้องทำงานเพื่อสร้างอนาคตไปด้วยกัน ย้ำจะทำงานในหน้าที่ให้จบ พร้อมยืนยันไม่ได้ต้องการรักษาอำนาจ
วันนี้ (27 ต.ค.63) เวลา 10.22 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ชั้น 2 ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) ยืนยันว่าไม่เคยพูดเรื่องการแบ่งชนชั้นระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่เลยสักครั้ง มีแต่บอกว่าคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ต้องทำงานไปด้วยกัน เพื่อจะสร้างอนาคตไปด้วยกัน โดยประวัติศาสตร์ ปัจจุบันและอนาคต เป็นสิ่งที่กำหนดความก้าวหน้าความยั่งยืนของประเทศไทย วันนี้เกิดการทำลายสถาบันครอบครัวในประเทศไทย ลูกไม่เคารพพ่อแม่ ลูกศิษย์ไม่เคารพครูอาจารย์ ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นในครอบครัว เมื่อตนเข้ามาทำหน้าที่ ต้องทำงานในหน้าที่ให้จบ ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการรักษาอำนาจไว้ให้นานที่สุด
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่สมาชิกไม่เคยพูดถึงเผด็จการรัฐสภาที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น ซึ่งตนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่มีการตรวจสอบการถ่วงดุลที่เข้มข้น วันนี้อยากให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ ก็ให้แก้กันไป ขออย่านำไปโยงเรื่องอื่น จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด ที่ผ่านมามีการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินมาทุกรัฐบาล
นายกรัฐมนตรียังฝากถึงทุกคน ขอให้อย่าลืมว่าประวัติศาสตร์คือปัจจุบันและอนาคต ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ทุกสัญชาติ ที่อยู่ในประเทศไทยต้องรักประเทศไทย ซึ่งตนไม่บังคับใครแต่เป็นสิ่งที่ต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน มีหลายเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่จะเข้ามารับหน้าที่ ทั้งการทุจริตมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ขอให้สมาชิกได้ไปทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นในปี 2557 รวมทั้งก่อนหน้านั้นหลายปี และวันนี้ที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายอยู่เพราะอะไร
-------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36253 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) 3 / 2563 | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) 3 / 2563
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) 3 / 2563 ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (27 ตุลาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) 3 / 2563 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่
2 - 3 พฤศจิกายน 2563 ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมีนางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36261 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขายหมด 1 ล้านหน่วยแล้ว!! สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หมวดที่ 1 เปิดขายหมวดที่ 2 วงเงิน 5,000 ล้านบาทต่อทันที เพื่อเร่งปล่อยสินเชื่อ Two-Gen | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
ขายหมด 1 ล้านหน่วยแล้ว!! สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หมวดที่ 1 เปิดขายหมวดที่ 2 วงเงิน 5,000 ล้านบาทต่อทันที เพื่อเร่งปล่อยสินเชื่อ Two-Gen
สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท ได้ลุ้นรางวัลสูงสุด 1 ล้านบาท ตลอด 24 เดือน จำหน่ายหมวดที่ 1 หมดแล้วทั้ง 1 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นมูลค่า 5,000 ล้านบาท หลังเปิดจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2563
สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท ได้ลุ้นรางวัลสูงสุด 1 ล้านบาท ตลอด 24 เดือน จำหน่ายหมวดที่ 1 หมดแล้วทั้ง 1 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นมูลค่า 5,000 ล้านบาท หลังเปิดจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2563 พร้อมประกาศเปิดจำหน่ายหมวดที่ 2 วงเงิน 5,000 ล้านาท ต่อทันทีอีก 1 ล้านหน่วย ซื้อสลากได้ผ่าน Application : GHB ALL หรือที่ทำการสาขาทั่วประเทศ และ ธอส. เตรียมนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายสลากไปจัดทำเป็นผลิตภัณฑ์ “โครงการสินเชื่อบ้าน Two-Gen” เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายการผ่อนชำระรายเดือน ระยะเวลากู้นานสูงสุดไม่เกิน 70 ปีต่อไป
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ตามที่ธนาคารได้เริ่มเปิดจำหน่าย สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท กรอบวงเงิน 15,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 หมวด ๆ ละ 1 ล้านหน่วย ตั้งแต่วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 นั้น ล่าสุด ณ วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563 เวลา 16.00 น. พบว่ามีลูกค้าประชาชนซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส.ชุดเกล็ดดาว หมวดที่ 1 หมายเลข BA 1000000 – BA 1999999 หมดครบทั้ง 1 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นมูลค่า 5,000 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการออม การลงทุน และความน่าสนใจของสลากออมทรัพย์ ธอส.ชุดเกล็ดดาว ซึ่งออมหน่วยละ 5,000 บาท แต่มีโอกาสในการถูกรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท/หมวด สูงถึง 0.0045% รวมถึงยังมีรางวัลอื่นๆ ที่ทำให้ผู้ออมมีโอกาสถูกรางวัลมากยิ่งขึ้น อาทิ รางวัลเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว รางวัลเลขสลับเลขท้าย 2 ตัว และรางวัลเลขสลับเลขท้าย 3 ตัว ซึ่งเป็นรางวัลที่ไม่เคยมีในสลากออมทรัพย์ที่ไหนมาก่อน ทั้งนี้ ธอส. ได้เปิดให้ผู้ที่สนใจซื้อสลากในหมวดที่ 2 จำนวนอีก 1 ล้านหน่วย ตั้งแต่หมายเลข BB 1000000 – BB 1999999 ต่อทันที โดยผู้ที่สนใจสามารถซื้อสลากได้ผ่าน 2 ช่องทาง คือ Application : GHB ALL หรือที่ทำการสาขาทั่วประเทศ และ ธอส. จะนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายสลากในครั้งนี้ไปเร่งจัดทำเป็นผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระรายเดือน โดยขยายระยะเวลาการกู้ได้นานสูงสุดไม่เกิน 70 ปี กับ “โครงการสินเชื่อบ้าน Two-Gen” ซึ่งจะเริ่มให้ยื่นกู้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ต่อไป
ทั้งนี้ สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว อายุสลาก 2 ปี ผลตอบแทนหน้าสลาก 0.4% ต่อปี ออกรางวัลทุกเดือน รวม 24 ครั้ง แบ่งเป็น รางวัลที่ 1 มูลค่ารางวัลสูงถึง 1,000,000 บาท/หมวด รางวัลที่ 2 มูลค่า รางวัลละ 50,000 บาท จำนวน 4 รางวัล/หมวด รางวัลที่ 3 มูลค่ารางวัลละ 5,000 บาท จำนวน 20 รางวัล/หมวด รางวัลที่ 4 มูลค่ารางวัลละ 500 บาท จำนวน 20 รางวัล/หมวด รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 100 บาท รางวัลเลขสลับเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 50 บาท รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 50 บาท และรางวัลเลขสลับเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 20 บาท เริ่มออกรางวัลครั้งแรกวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 สอบถามรายละเอียดหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ www.ghbank.co.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36265 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทิศทางแผนพลังงานแห่งชาติ มุ่งความมั่นคงทางพลังงาน เพิ่มใช้พลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าชุมชนฉลุย ขยายสถานีเติมไฟฟ้ารถอีวี ทุก50-70 กม. | วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
ทิศทางแผนพลังงานแห่งชาติ มุ่งความมั่นคงทางพลังงาน เพิ่มใช้พลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าชุมชนฉลุย ขยายสถานีเติมไฟฟ้ารถอีวี ทุก50-70 กม.
ทิศทางแผนพลังงานแห่งชาติ มุ่งความมั่นคงทางพลังงาน เพิ่มใช้พลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าชุมชนฉลุย ขยายสถานีเติมไฟฟ้ารถอีวี ทุก50-70 กม.
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลได้ดำเนินการขับเคลื่อนแผนนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ 2561-2580 ซึ่งหมายถึงการที่ทุกภาคส่วนจะได้บูรณาการการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการมีความมั่นคงทางพลังงานครอบคลุมทั้งระบบผลิตไฟฟ้า ส่งไฟฟ้า และจำหน่ายไฟฟ้า โดยคำนึงถึงต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม ลดภาระผู้ใช้ไฟฟ้า อีกทั้งต้องลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน
ทั้งนี้ในเรื่องของการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน รัฐบาลได้ตั้งเป้าการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนทางเลือก (ไฟฟ้า ความร้อน และเชื้อเพลิงชีวภาพ) ต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายที่ร้อยละ 30 ในปี พ.ศ. 2580 และเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ ในปี 2580 เป็นร้อยละ 34.23 มากกว่าแผนเดิม ที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 20.11 โดยเน้นที่พลังงานแสงอาทิตย์ (กำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 9,290 เมกะวัตต์ จากเดิม 6,000 เมกะวัตต์) และพลังแสงอาทิตย์ลอยน้ำ (เพิ่มเป็น 2,725 เมกะวัตต์ จากเดิม ที่ไม่ได้ตั้งเป้าไว้) มากไปกว่านั้น รัฐบาลได้เร่งสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศ จะมีการทบทวนโครงการสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซแบบลอยน้ำในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน เพื่อให้การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเกิดประโยชน์สูงสุด
พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าทั้งในพื้นที่ชุมชนและถนนสายหลักระหว่างเมือง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า กระตุ้นให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น จึงได้มีการสั่งการให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ดำเนินการกำหนดพื้นที่ติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าให้เพียงพอสำหรับการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV Mapping) โดยให้มีระยะห่างของแต่ละสถานีภายในรัศมีไม่เกิน 50-70 กิโลเมตร
นางสาวรัชดา ยังกล่าวด้วยว่า สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากจะมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าในเร็วๆนี้ โดยเน้นการผลิตไฟฟ้าตามศักยภาพของการปลูกพืชพลังงานในพื้นที่ อาทิ หญ้าเนเปียร์ กระถินณรงค์ เพื่อให้เกิดการสร้างงานและอาชีพในท้องถิ่น จึงอยากให้เกษตรกรวางแผนรวมตัวกันเพื่อปลูกพืชพลังงานให้มากๆ ทั้งนี้ เป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าในช่วงปี 2563-2567 มีปริมาณรวม 1,933 เมกะวัตต์ เริ่มที่โครงการ Quick Win (ระยะเร่งด่วน) จำนวน 100 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในปี 2563 และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายใน 12 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
.............................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36250 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล บุกเหนือสุดแดนอิสาน สร้างแรงงานภาคเกษตร พัฒนาเศรษฐกิจประเทศ | วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม 2563
นฤมล บุกเหนือสุดแดนอิสาน สร้างแรงงานภาคเกษตร พัฒนาเศรษฐกิจประเทศ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเยือนบึงกาฬ สร้างแรงงานคุณภาพภาคการเกษตร ต่อยอดสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
วันที่3ตุลาคม2563ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่จังหวัดบึงกาฬเพื่อพบปะเกษตรกรและร่วมมอบเอกสารสิทธิให้ประชาชนเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)ประชุมหารือเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับเกษตรกรหลังจากนั้นได้เยี่ยมชมกิจกรรมแรงงานสัญจรบริการพี่น้องประชนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดบึงกาฬ5หน่วยงานซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์และให้บริการภารกิจของกระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้องกับแรงงานภาคการเกษตรณชุมนุมสหกรณ์กองทุนสวนยางจังหวัดบังกาฬจำกัดตำบลท่าสะอาดอำเภอเซกาจังหวัดบึงกาฬ
ศาสตราจารย์นฤมลกล่าวว่าตามนโยบายของรัฐบาลโดยการนำของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีต้องการให้กระทรวงแรงงานขับเคลื่อนภารกิจเพื่อให้แรงงานไทยมีงานทำโดยพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานเพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพจึงมอบหมายกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเร่งพัฒนาทักษะกำลังแรงงานของประเทศภายใต้แนวคิด“สร้างยกให้รวมไทยสร้างชาติ”โดยจะเดินหน้าสร้างแรงงานภาคการเกษตรให้เป็นแรงงานคุณภาพยกระดับฝีมือให้มีทักษะที่หลากหลายสามารถประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพได้ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปรวมถึงให้โอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้มากขึ้นซึ่งกระทรวงแรงงานมีภารกิจในด้านการจัดหางานการพัฒนาพัฒนาทักษะฝีมือการคุ้มครองสวัสดิการแก่ผู้ทำงานในระบบและนอกระบบโดยเฉพาะกลุ่มภาคการเกษตรจะผลักดันให้ได้รับความช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ประกันสังคมซึ่งกระทรวงแรงงานมีหน่วยงานทุกจังหวัดเพื่อบริการประชาชนให้ได้รับบริการอย่างทั่วถึงซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้ต้องการรับฟังปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะจากภาคประชาชนที่ต้องการให้กระทรวงแรงงานดำเนินการภายใต้ภารกิจของกระทรวงเพื่อมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการโดยเฉพาะการพัฒนายกระดับการผลิตและการแปรรูปยางพาราและเกษตรกรรมด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีให้ได้มาตรฐานสากลเพื่อการส่งออกสู่ประเทศเพื่อนบ้านในอนุภาคลุ่มน้ำโขงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกการค้าชายแดน ตลอดจนการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มน้ำโขง
รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่าภารกิจของกระทรวงแรงงานที่ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนจะเกิดผลสําเร็จได้ต้องอาศัยฟันเฟืองกลไกที่สําคัญในพื้นที่ในระดับหมู่บ้านคืออาสาสมัครแรงงานซึ่งเป็นผู้แทนกระทรวงแรงงานในพื้นที่และเป็นผู้ที่สมัครใจทํางานให้กับกระทรวงแรงงานเพื่อให้เกิดสันติสุขด้านแรงงานแก่ผู้ใช้แรงงานนายจ้างลูกจ้างและประชาชนทั่วไปทําหน้าที่เพื่อเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านแรงงานให้กับประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบกันอย่างทั่วถึงและติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนจึงขอชื่มชมและขอขอบคุณอาสาสมัครแรงงานทุกท่าน
กิจกรรมแรงงานสัญจรบริการพี่น้องประชาชนประกอบด้วยโครงการแรงงานสัญจรพบประชาชนพื้นที่จังหวัดบึงกาฬให้ความรู้แก่อาสาสมัครแรงงานและเครือข่ายด้านแรงงานจำนวน70คนเพื่อนำนโยบายและภารกิจของกระทรวงแรงงานไปสู่การปฏิบัติและจัดกิจกรรมการให้บริการการรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียนกิจกรรมการรับสมัครงานแนะแนวอาชีพและประชาสัมพันธ์มาตรการสนับสนุนการจ้างงานผู้สำเร็จการศึกษาใหม่โครงการCo-Payment (จ้างงานเด็กจบใหม่) "รัฐช่วยเสริมเอกชนช่วยสร้าง"โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดบึงกาฬการสาธิตการใช้โซลาเซลล์เพื่อการประกอบอาชีพSmart Farmerและการมอบป้ายศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติให้แก่วิทยาลัยเทคโนโลยีเอ็น-เทคอินเตอร์เนชั่นแนลบึงกาฬโดยสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานบึงกาฬการให้คำปรึกษาแนะนำการรับคำร้องทุกข์ร้องเรียนเกี่ยวกับสภาพการจ้างแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบและให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับกฎหมายความปลอดภัยในการทำงานโดยสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดบึงกาฬและการให้ความรู้ในเรื่องสิทธิประโยชน์กับผู้ประกันตนการรณรงค์ส่งเสริมการสมัครเป็นผู้ประกันตนและบริการรับสมัครผู้ประกันตนมาตรา40โดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดบึงกาฬ
“เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสเจอคุณนากลุ่มแรงงานนอกระบบหลังจากที่ถูกบริษัทเลิกจ้างซึ่งได้เข้าฝึกอบรมหลักสูตรช่างเย็บผ้ากับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและได้กู้ยืมเงินจากธนาคารออมสินที่ค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)จำนวน50,000บาทเพื่อนำไปซื้อจักรเย็บผ้าและวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องจนปัจจุบันสามารถสร้างอาชีพใหม่รับจ้างตัดชุดได้ราคาชุดละ3,600บาทและมีการจ้างตัดชุดเป็นจำนวนมากจึงเป็นสิ่งที่การันตีได้ว่าแรงงานกลุ่มนี้สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่มีอาชีพและรายได้ที่ยั่งยืน” รมช.แรงงานกล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35657 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกร จ.บึงกาฬ ให้เกษตรกรได้รับโอกาสและความเสมอภาคในสังคม | วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม 2563
รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกร จ.บึงกาฬ ให้เกษตรกรได้รับโอกาสและความเสมอภาคในสังคม
รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกร จ.บึงกาฬ ให้เกษตรกรได้รับโอกาสและความเสมอภาคในสังคม
ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)แก่พี่น้องเกษตรกรณชุมนุมสหกรณ์กองทุนสวนยางจังหวัดบึงกาฬจำกัดต.ท่าสะอาดอ.เซกาจ.บึงกาฬว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีนโยบายเร่งรัดให้มีการหนังสืออนุญาต(ส.ป.ก. 4-01)ให้แก่เกษตรกรผู้มีสิทธิ์ที่จะได้รับการจัดสรรที่ดินจากรัฐรวมทั้งเป็นการอำนวยความสะดวกแก่เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล
“ซึ่งในวันนี้มีความยินดีที่ได้มามอบหนังสืออนุญาตส.ป.ก. 4-01ให้แก่เกษตรกรอำเภอเซกาจำนวน150ราย178แปลงเนื้อที่1,010-0-77ไร่เป็นทั้งแปลงเกษตรกรรมและแปลงชุมชนเมื่อเกษตรกรได้รับการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้วจะทำให้เกษตรกรได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมได้มีที่ทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมายในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพพร้อมทั้งปัจจัยการผลิต”ร้อยเอกธรรมนัสกล่าว
พันจ่าเอกประเสริฐมาลัยรองเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมกล่าวเพิ่มเติมว่าจังหวัดบึงกาฬนั้นมีพื้นที่ประกาศพระราชกฤษฎีกาให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินทั้งสิ้นจำนวน8อำเภอ52ตำบลมีพื้นที่ดำเนินการแล้วจำนวน1,277,306ไร่พื้นที่กันออกจำนวน176,673ไร่มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ไปแล้วจำนวน77,452ราย91,081แปลงเนื้อที่1,094,441ไร่คงเหลือพื้นที่ดำเนินการประมาณ500ไร่ในปีงบประมาณพ.ศ. 2563ที่ผ่านมาสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดบึงกาฬได้ดำเนินการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรจำนวน2,439ราย2,701แปลงเนื้อที่ประมาณ28,214.37ไร่ซึ่งแล้วเสร็จเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35659 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 พร้อมคณะลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ | วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม 2563
มท.1 พร้อมคณะลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์
มท.1 พร้อมคณะลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์
วันนี้ (3 ตุลาคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ สำนักสงฆ์ถ้ำมุนี หมู่ที่ 8 บ้านเขาวง ตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย พลตำรวจโทณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทยคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะผู้บริหารของกระทรวงมหาดไทยลงพื้นที่ตรวจติดตามโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว โดยมี นายสิริรัฐ ชุมอุปการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ นายชัยโรจน์ มุ่งธัญญา ผู้ช่วยผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พ.อ.นภัทร ศรีธนโชต รองเสธ.มท.31 ผู้แทน กองทัพภาคที่ 3 ผู้แทนจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ผู้แทนจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และนายสมเกียรติ คงทิม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลพรหมนิมิต และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ให้การต้อนรับ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้มาติดตามความคืบหน้าของโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว ซึ่งเป็นพื้นที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เนื้อที่ 766 ไร่ เป็นโครงการที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้มีแหล่งน้ำในการทำการเกษตรตลอดปี เนื่องจากสภาพปัญหาในพื้นที่ปัจจุบันแห้งขอด จากการขยายเขตเส้นทางรถไฟ ทำให้น้ำที่ไหลลงมาจากเทือกเขาวง ไม่สามารถไหลลงบ่อดินขาวได้ ซึ่งหน่วยงานทุกหน่วยงานได้ร่วมกันในการพัฒนาสระบ่อดินขาว ทั้งในเรื่องของการสร้างฝายชะลอน้ำ การทำท่ออุโมงค์ลอดเส้นทางรถไฟ บ่อหน่วงน้ำ การทำแปลงเกษตร และการที่จะพัฒนาอาชีพให้กับประชาชนโดยนำเกษตรทฤษฎีใหม่เข้ามาใช้ในระยะต่อไป ในขณะนี้งานโครงสร้างดำเนินการไปได้ดี โดยคาดว่าจะดำเนินการเเล้วเสร็จ ภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2563 ต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายและพร้อมที่จะสนับสนุนหากมีข้อขัดข้องใด
นายสิริรัฐ ชุมอุปการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวโดยสรุปว่า สระบ่อดินขาวเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของชุมชนแห่งนี้ ซึ่งเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 ทางกระทรวงมหาดไทยได้ลงพื้นที่มาติดตามและให้คำเเนะนำในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคเเล้ว ซึ่งทางจังหวัดนครสวรรค์ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ดำเนินการตามข้อเเนะนำแล้ว พร้อมทั้งได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เพื่อติดตามรายละเอียด ขณะนี้มีการดำเนินการไปเเล้วคิดเป็น ร้อยละ 90 ของงานทั้งหมด คาดว่าเเผนงานทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายใน 10 ตุลาคม 63 ซึ่งได้รับข้อเเนะนำว่าควรมีคณะกรรมการ ที่ทำหน้าที่ดูเเลบ่อดินขาว เพื่อให้สามารถดูแลพื้นที่เเละบริหารจัดการพื้นที่โครงการได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องบริหารจัดการเเก้ไขปัญหาน้ำท่วม การบริโภค-อุปโภค การทำคลองไส้ไก่ ที่เป็นเเผนในระยะกลาง เป็นต้น
จากนั้น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดาและคณะ ได้เดินทางตรวจติดตามพื้นที่ฝายชะลอน้ำบริเวณเขาวง บ่อหน่วงน้ำ แนวส่งน้ำและตำแหน่งท่อลอดทางรถไฟ และบริเวณสระบ่อดินขาวและชุมชนโดยรอบ
.
เวลา 12.45 น. ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลพรหมนิมิต พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินการตามแผนพัฒนาสระบ่อดินขาวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามปัญหา อุปสรรค และหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน
.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35662 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 พร้อมคณะลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ | วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม 2563
มท.1 พร้อมคณะลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์
มท.1 พร้อมคณะลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์
วันนี้ (3 ตุลาคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ สำนักสงฆ์ถ้ำมุนี หมู่ที่ 8 บ้านเขาวง ตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย พลตำรวจโทณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทยคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะผู้บริหารของกระทรวงมหาดไทยลงพื้นที่ตรวจติดตามโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว โดยมี นายสิริรัฐ ชุมอุปการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ นายชัยโรจน์ มุ่งธัญญา ผู้ช่วยผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พ.อ.นภัทร ศรีธนโชต รองเสธ.มท.31 ผู้แทน กองทัพภาคที่ 3 ผู้แทนจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ผู้แทนจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และนายสมเกียรติ คงทิม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลพรหมนิมิต และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ให้การต้อนรับ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้มาติดตามความคืบหน้าของโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว ซึ่งเป็นพื้นที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เนื้อที่ 766 ไร่ เป็นโครงการที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้มีแหล่งน้ำในการทำการเกษตรตลอดปี เนื่องจากสภาพปัญหาในพื้นที่ปัจจุบันแห้งขอด จากการขยายเขตเส้นทางรถไฟ ทำให้น้ำที่ไหลลงมาจากเทือกเขาวง ไม่สามารถไหลลงบ่อดินขาวได้ ซึ่งหน่วยงานทุกหน่วยงานได้ร่วมกันในการพัฒนาสระบ่อดินขาว ทั้งในเรื่องของการสร้างฝายชะลอน้ำ การทำท่ออุโมงค์ลอดเส้นทางรถไฟ บ่อหน่วงน้ำ การทำแปลงเกษตร และการที่จะพัฒนาอาชีพให้กับประชาชนโดยนำเกษตรทฤษฎีใหม่เข้ามาใช้ในระยะต่อไป ในขณะนี้งานโครงสร้างดำเนินการไปได้ดี โดยคาดว่าจะดำเนินการเเล้วเสร็จ ภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2563 ต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายและพร้อมที่จะสนับสนุนหากมีข้อขัดข้องใด
นายสิริรัฐ ชุมอุปการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวโดยสรุปว่า สระบ่อดินขาวเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของชุมชนแห่งนี้ ซึ่งเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 ทางกระทรวงมหาดไทยได้ลงพื้นที่มาติดตามและให้คำเเนะนำในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคเเล้ว ซึ่งทางจังหวัดนครสวรรค์ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ดำเนินการตามข้อเเนะนำแล้ว พร้อมทั้งได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เพื่อติดตามรายละเอียด ขณะนี้มีการดำเนินการไปเเล้วคิดเป็น ร้อยละ 90 ของงานทั้งหมด คาดว่าเเผนงานทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายใน 10 ตุลาคม 63 ซึ่งได้รับข้อเเนะนำว่าควรมีคณะกรรมการ ที่ทำหน้าที่ดูเเลบ่อดินขาว เพื่อให้สามารถดูแลพื้นที่เเละบริหารจัดการพื้นที่โครงการได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องบริหารจัดการเเก้ไขปัญหาน้ำท่วม การบริโภค-อุปโภค การทำคลองไส้ไก่ ที่เป็นเเผนในระยะกลาง เป็นต้น
จากนั้น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดาและคณะ ได้เดินทางตรวจติดตามพื้นที่ฝายชะลอน้ำบริเวณเขาวง บ่อหน่วงน้ำ แนวส่งน้ำและตำแหน่งท่อลอดทางรถไฟ และบริเวณสระบ่อดินขาวและชุมชนโดยรอบ
.
เวลา 12.45 น. ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลพรหมนิมิต พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินการตามแผนพัฒนาสระบ่อดินขาวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามปัญหา อุปสรรค และหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน
.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35663 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2563 | วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (อินเดีย 2 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย, รัสเซีย 1 ราย, สหรัฐอเมริกา 3 ราย, ปากีสถาน 1 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้,สถานกักตัวที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,386 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.50 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 138 รายหรือร้อยละ 3.85 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,583 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก
อินเดีย2 รายรายแรก เป็นเพศชาย อายุ 35 ปี สัญชาติอินเดีย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 23 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 8 รายทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล
อีกรายเป็นเพศชาย อายุ 43 ปี สัญชาติอินเดีย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 25 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 28 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 5 รายทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 รายเป็นเพศหญิง อายุ 27 ปี สัญชาติไทย อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 25 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 30 กันยายน 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่จังหวัดชลบุรี ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 2 รายทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล
รัสเซีย 1 รายเป็นเพศหญิง อายุ 23 ปี สัญชาติลาว อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 28 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 30 กันยายน 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร
สหรัฐอเมริกา3 รายรายแรก เป็นเพศชาย อายุ 23 ปี สัญชาติอเมริกัน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 17 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร ตรวจพบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 30 กันยายน 2563 (วันที่ 13 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร
อีก 2 ราย เป็นเพศหญิง สัญชาติอเมริกัน อาชีพครูอายุ 40 ปี และบุตรสาวอายุ 5 ปี เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 30 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร และตรวจพบเชื้อในวันแรกที่เข้ารับการกักตัว วันที่ 30 กันยายน 2563 ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร
ปากีสถาน 1 รายเป็นเพศหญิง อายุ 40 ปี สัญชาติมาซิโดเนีย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 30 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร และตรวจพบเชื้อในวันแรกที่เข้ารับการกักตัว วันที่ 30 กันยายน 2563 ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทั่วโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง วันนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 316,256 ราย ผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก 34,824,899 ราย สำหรับประเทศไทย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ และเข้าสู่ระบบการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการทุกราย อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อบางรายไม่แสดงอาการจึงอาจมีผู้ติดเชื้อปะปนอยู่ในชุมชนได้ รวมทั้งสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านพรมแดนติดกับประเทศไทย ที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด หากมีผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย อาจทำให้เกิดการระบาดของโรคโควิดในระลอกใหม่ ขอให้ประชาชนการ์ดอย่าตก รักษาวินัยในการป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างจากผู้อื่น หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนแออัด และลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ที่ใช้บริการผ่าน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง หากพบผู้ติดเชื้อจะสามารถติดตามตัวผู้สัมผัสมาตรวจและเฝ้าระวังโรคได้ง่ายและรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันควบคุมโรค
ทั้งนี้ ขอความความร่วมมือประชาชนตอบแบบสอบถามกรมควบคุมโรคโพล (DDC poll) ครั้งที่ 18 : เรื่องความคิดเห็นประชาชน เรื่องการป้องกันควบคุมโรคโควิด19 https://forms.gle/xvUGZhTtbYCBrRcD9 เพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนการดำเนินงานควบคุมป้องกันโรคระดับประเทศต่อไป
******************************** 3 ตุลาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35658 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- 'จับกัง1' ห่วงแรงงานไทยกลับจากเก็บผลไม้ป่าที่ฟินแลนด์และสวีเดน สั่งด่านดูแลใกล้ชิด | วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม 2563
'จับกัง1' ห่วงแรงงานไทยกลับจากเก็บผลไม้ป่าที่ฟินแลนด์และสวีเดน สั่งด่านดูแลใกล้ชิด
รมว.แรงงาน เผย นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ ชื่นชมแรงงานไทยมีทักษะฝีมือเป็นที่ยอมรับของนายจ้างต่างชาติ กำชับเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิดูแลแรงงานไทยกลับจากเก็บผลไม้ป่าที่ฟินแลนด์และสวีเดนอย่างใกล้ชิด
วันที่ 3 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ โดยจะจัดส่งไปอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ซึ่งขณะนี้ มีหลายประเทศแสดงความสนใจแรงงานไทย เนื่องจากแรงงานไทย มีวินัยในการทำงานและมีทักษะฝีมือดี และประเทศไทยมีมาตรการต่างๆ ที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 ได้ ทั้งนี้ ในการส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศนั้น จะดำเนินการโดยยึดหลักความปลอดภัยของแรงงานไทยเป็นสำคัญ
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้มีแรงงานไทยเดินทางกลับจากประเทศฟินแลนด์และสวีเดนจำนวน 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเดินทางมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเวลา 06.50 น. จำนวน 323 คน จากทั้งหมดจำนวน 324 คน ป่วย 1 คน เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลคู่ปฏิบัติการของสนามบิน ซึ่งการปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
และกลุ่มที่ 2 เดินทางมาจากประเทศสวีเดนถึงเวลา 14.10 น. จำนวน 264 คน เป็นแรงงานไทย 263 คน ต่างชาติ 1 คน รวมทั้งสองกลุ่มจำนวนทั้งสิ้น 588 คน ซึ่งแรงงานเหล่านี้ได้เดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศฟินแลนด์และสวีเดน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยได้รับค่าจ้างเดือนละประมาณ 70,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ แรงงานไทยทุกคนเมื่อเดินทางถึงประเทศไทยแล้วจะต้องเข้าสู่ขั้นตอนการกักตัว 14 วันตามสถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ ต่อไป
“ท่านนายกฯ ได้ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศและชื่นชมแรงงานไทยทุกคนที่มีทักษะฝีมือจนเป็นที่ยอมรับของนายจ้างต่างชาติ และไทยเป็นประเทศที่ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ได้ ในวันนี้ผมได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ กรมการจัดหางาน ดูแลแรงงานไทยทุกคนที่เดินทางกลับจากเก็บผลไม้ป่าที่ฟินแลนด์และสวีเดน เพราะพวกเขาเหล่านี้ถือว่าเป็นคนไทยที่เสียสละไปทำงานในต่างแดนและส่งรายได้กลับมาเลี้ยงดูครอบครัว รวมทั้งเป็นการนำรายได้เข้าประเทศอีกทางหนึ่งด้วย” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35660 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ถือบัตร APEC Card ที่จะสามารถเดินทางเข้ามาในไทยได้คือกลุ่ม ?? | วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
ผู้ถือบัตร APEC Card ที่จะสามารถเดินทางเข้ามาในไทยได้คือกลุ่ม ??
มีอะไรบ้างนะ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35664 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง 1 ห่วงเหตุไฟไหม้โรงงานเฟอร์นิเจอร์ จ.ระยอง สั่งกสร. ดูแลลูกจ้างใกล้ชิด | วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม 2563
จับกัง 1 ห่วงเหตุไฟไหม้โรงงานเฟอร์นิเจอร์ จ.ระยอง สั่งกสร. ดูแลลูกจ้างใกล้ชิด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงเหตุเพลิงไหม้โรงงานเฟอร์นิเจอร์ จังหวัดระยอง สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเร่งสอบข้อเท็จจริงพร้อมประสานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานดูแลสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายอย่างใกล้ชิด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงเหตุเพลิงไหม้โรงงานเฟอร์นิเจอร์ จังหวัดระยอง สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเร่งสอบข้อเท็จจริงพร้อมประสานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานดูแลสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายอย่างใกล้ชิด
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงกรณีเหตุเพลิงไหม้บริษัท โฮมแม็กซ์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยองว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยในเรื่องดังกล่าวจึงได้สั่งการให้ กสร.เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและดูแลเรื่องสิทธิตามกฎหมายให้กับลูกจ้าง ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่า โรงงานดังกล่าว ประกอบกิจการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ มีลูกจ้างรวม 133 คน และพบว่าเพลิงได้ไหม้อาคารผลิตและเครื่องจักรเสียหายทั้งหมด คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้อีกครั้งประมาณอีก 6 เดือน ทั้งนี้พนักงานตรวจความปลอดภัยสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยอง ได้มีหนังสือให้นายจ้างมาพบพร้อมนำส่งเอกสารหลักฐาน ที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงว่านายจ้างได้ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยหรือไม่และหาสาเหตุในการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ในวันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563
นายอภิญญา กล่าวต่อว่า สำหรับการช่วยเหลือลูกจ้างนั้น พนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยองจะได้ชี้แจงสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างอันพึงได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ให้กับนายจ้างและลูกจ้างทราบ รวมทั้งได้ประสานกับหน่วยงานกระทรวงแรงงานจังหวัดระยองในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาลูกจ้างตามกฎหมายต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35661 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ถือบัตร APEC Card ที่จะสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ คือกลุ่มใด ?? | วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม 2563
ผู้ถือบัตร APEC Card ที่จะสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ คือกลุ่มใด ??
ผู้ถือบัตร APEC Card ที่เข้ามาในประเทศไทยได้ คือกลุ่มใด ??
Q : ผู้ถือบัตร APEC Card ที่จะสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ คือกลุ่มใด ??
A : เป็นนักธุรกิจที่มีการคัดกรองและได้รับการยอมรับจากประเทศทาง APEC 18 ประเทศต้นทาง และเกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35656 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน สั่งการ กรมการจัดหางานตรวจสอบ “ไทยมีงานทำ” พร้อมประสานบริษัทแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง | วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
รมว.แรงงาน สั่งการ กรมการจัดหางานตรวจสอบ “ไทยมีงานทำ” พร้อมประสานบริษัทแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน แจง กรณีพบตำแหน่งงานมีอัตราเงินเดือนสูงเกินจริงทาง www.ไทยมีงานทำ.com มอบหมายกกจ.ตรวจสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้น พบ 3 บริษัทมีการบันทึกข้อมูลผิดพลาด ได้ประสานให้แก้ไขอัตราเงินเดือนให้ถูกต้อง ล่าสุดมีการดำเนินการแล้ว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน รับข้อสั่งการ กำชับให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัดและสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ทำการตรวจสอบข้อมูลนายจ้าง ตำแหน่งงานและอัตราค่าจ้าง ของสถานประกอบการที่อยู่ในพื้นที่ หากพบว่ามีข้อมูล ที่ไม่ถูกต้อง ให้แจ้งนายจ้างสถานประกอบการ แก้ไขให้ถูกต้อง
ทั้งนี้ หากผู้สมัครงานมีข้อสงสัยเกี่ยวกับตำแหน่งงาน หรืออัตราค่าจ้างว่าคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง สามารถแจ้งที่หน้าเว็บไซต์ ไทยมีงานทำ หน้าหลักในส่วนแจ้งปัญหาการใช้งาน หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35676 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุต ฯ ลุยต่อ มาตรการช่วยเหลือ SMEs รอบ 2 หวังพยุงการจ้างงาน สร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศ | วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563
ก.อุต ฯ ลุยต่อ มาตรการช่วยเหลือ SMEs รอบ 2 หวังพยุงการจ้างงาน สร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศ
กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าช่วยเหลือ SMEs ที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งหรือการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าช่วยเหลือ SMEs ที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งหรือการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 รอบที่ 2 โดยคณะกรรมการบริหารกองทุน ฯ อัดฉีดงบประมาณสินเชื่อกองทุนฯ กรอบวงเงินกว่า 1 พันล้านบาท พร้อมมาตรการพักชำระหนี้ หวังเยียวยา SMEs ทั่วประเทศ รวมทั้งลดแนวโน้มการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs)
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากจะกระทบวิถีชีวิตของคนไทย ซึ่งจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนในวิถี New Normal แล้ว ยังได้ส่งผลกับเศรษฐกิจไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ไทย ซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงสำคัญของประเทศ ที่ช่วยให้มีการจ้างงานมากถึง 12 ล้านคน และถึงแม้ว่าที่ผ่านมาการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในประเทศไทยจะดำเนินการได้เป็นที่น่าพึงพอใจ แต่ผลกระทบที่เกิดกับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ก็ยังคงขาดสภาพคล่อง ทั้งในเรื่องของการค้า การลงทุนระหว่างประเทศที่ยังคงไม่สามารถดำเนินงานได้เป็นปกติ หรือแม้แต่ภายในประเทศเอง ก็ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่อง ดังนั้น การให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเยียวยาให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ตลอดจนชะลอการเกิดหนี้เสียจากการไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จึงอนุมัติมาตรการช่วยเหลือ SMEs เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่เป็นหนี้สินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง หรือการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 รอบที่ 2 ในกรอบการช่วยเหลือ 2 โครงการ ได้แก่
1. การให้สินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดยมีกรอบวงเงินการให้สินเชื่อ 1,000 ล้านบาท ซึ่งผู้กู้ต้องเป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยวัตถุประสงค์การกู้ เพื่อใช้ในการปรับปรุงการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง หรือสำรองเป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินกิจการ ในสถานการณ์ภัยแล้ง หรือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยดำเนินการ เปิดรับคำขอสินเชื่อจาก SMEs ที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุน ฯ และมีภาระหนี้เงินต้นวงเงินกู้สินเชื่อระยะยาว (Term Loan) คงเหลืออยู่กับกองทุน ตลอดจนไม่มีสถานะ NPLs หรือไม่อยู่ระหว่างถูกกองทุนดำเนินคดี และเป็นผู้ประกอบการที่มีสถานะการชำระเป็นปกติในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาซึ่งจะพิจารณาให้ได้รับวงเงินสินเชื่อต่อรายสูงสุดไม่เกินร้อยละ 50 ของสินเชื่อที่ลูกหนี้สินเชื่อกองทุน ฯ ชำระเงินต้นคืน ซึ่งกองทุน ฯ จะดำเนินการปล่อยเงินกู้สินเชื่อระยะยาว สูงสุดไม่เกิน 5 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้น 1 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา
2. มาตรการช่วยเหลือ SMEs ที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อของกองทุน ฯ โดยมีกรอบวงเงินการให้สินเชื่อ 700 ล้านบาท ซึ่งคุณสมบัติของ SMEs ที่สามารถเข้ารับความช่วยเหลือจากกองทุน ฯ นั้น จะต้องเป็น SMEs ที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯ วงเงิน 8,000 ล้านบาท โดยการพิจารณาสินเชื่อในครั้งนี้จะให้ความช่วยเหลือในด้านการบรรเทาภาระการชำระหนี้ ให้มีสภาพคล่องที่จะสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปในสภาวะวิกฤติ รวมทั้งเป็นการลดแนวโน้ม การเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) โดยให้วงเงินสินเชื่อต่อราย สูงสุดไม่เกินร้อยละ 50 ของสินเชื่อที่ลูกหนี้กองทุนฯชำระเงินต้นคืน มีระยะเวลากู้สุงสุดไม่เกิน 5 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้น 1 ปี และมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพียง ร้อยละ 1 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา
“เชื่อมั่นว่ามาตรการข้างต้นจะเป็นส่วนสำคัญในการพยุงกลุ่ม SMEs ของไทย ให้สามารถประคับประคองการดำเนินกิจการต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และจะชะลอปัญหาการเลิกจ้าง ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ต่อไปในอนาคต ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถยื่นความประสงค์เข้าร่วมมาตรการฯ ณ หน่วยงานร่วมดำเนินการทุกสาขาในเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่หรือสามารถแจ้งความประสงค์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เว็บไซต์ www.smebank.co.th แอพลิเคชั่น SME D Bank (ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android) และผ่าน LINE Official Account : SME Development Bank โดยสามารถแจ้งความประสงค์ภายใน 31 ธันวาคม 2563 นี้” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35678 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ย้ำ ระบบบริการสธ.พร้อม รองรับการเปิดรับนักท่องเที่ยว | วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
อนุทิน ย้ำ ระบบบริการสธ.พร้อม รองรับการเปิดรับนักท่องเที่ยว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกระทรวงสาธารณสุข เตรียมความพร้อมระบบบริการ ทั้งสถานบริการ เครื่องมือ ยา บุคลากร อสม. พร้อมดูแลหากเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพ กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติมากที่สุด
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกระทรวงสาธารณสุข เตรียมความพร้อมระบบบริการ ทั้งสถานบริการ เครื่องมือ ยา บุคลากร อสม. พร้อมดูแลหากเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพ กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติมากที่สุดในแบบ new normal
วันนี้ (4 ตุลาคม 2563) ที่ ศูนย์แพทย์ชุมชน โรงพยาบาลบุรีรัมย์ สาขา 3 จังหวัดบุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยว ว่า การอนุมัติให้มีการผ่อนใช้มาตรการไปจนถึงการเปิดประเทศ จะต้องเป็นการอนุมัติโดย ศบค. ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข จะเป็นผู้สนับสนุนข้อมูลความรู้ ในการตัดสินใจเชิงนโยบาย และเตรียมความพร้อมระบบบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพ กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้มากที่สุดในแบบ New normal
ประเทศไทยได้เพิ่มความเข้มข้นมาตรการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค บูรณาการทำงานทุกภาคส่วนทั้ง ฝ่ายความมั่นคง ปกครอง สาธารณสุข ท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และขอความร่วมมือจากประชาชน สวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ หมั่นล้างมือ และเว้นระยะห่างระหว่างกันให้มากที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดคือ การ์ดอย่าตก ออกจากบ้านต้องมีหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ล้างมือติดตัวไว้ เพียงแค่นี้ก็จะทำให้เราปลอดภัย
“สำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละจังหวัด เพราะหลักการให้บริการสาธารณสุข เรามีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ โรงพยาบาลที่เป็นหลักดูแลเรื่องโควิดในแต่ละจังหวัดมีความพร้อมอยู่แล้ว ทั้งเรื่องยา เวชภัณฑ์ ชุด PPE แพทย์ พยาบาล บุคลากร และอสม. รวมทั้งระบบการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุน ถ้า ศบค. จะเปิดรับนักท่องเที่ยว ” นายอนุทิน กล่าว
************************************** 4 ตุลาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35673 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. หนุนชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ วัดกาญจนบริรักษ์ จ.ตรัง นำพลัง “บวร” ขับเคลื่อนสังคมสงบสุข ปรองดอง และแบ่งปัน ชูการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม-ประเพณี-วิถีชีวิตเกษตรพอเพียง | วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
วธ. หนุนชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ วัดกาญจนบริรักษ์ จ.ตรัง นำพลัง “บวร” ขับเคลื่อนสังคมสงบสุข ปรองดอง และแบ่งปัน ชูการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม-ประเพณี-วิถีชีวิตเกษตรพอเพียง
วธ. หนุนชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ วัดกาญจนบริรักษ์ จ.ตรัง นำพลัง “บวร” ขับเคลื่อนสังคมสงบสุข ปรองดอง และแบ่งปัน
ชูการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม-ประเพณี-วิถีชีวิตเกษตรพอเพียง สร้างงาน สร้างรายได้สู่ท้องถิ่น
วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) พร้อมด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เดินทางไปติดตามผลการดำเนินงานการสร้างความเข้มแข็งของพลังบวร เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง “บวร On Tour” ณ ชุมชนคุณธรรมวัดกาญจนบริรักษ์ (บ้านโคกแค) ตำบลเขาขาว อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง โดยมี นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดตรัง ผู้นำ “บวร” ชุมชนคุณธรรมวัดกาญจนบริรักษ์ ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน คณะกรรมการ และประชาชน ให้การต้อนรับ โดยนายสุพล แสงเงิน ผู้นำชุมชนคุณธรรมฯ กล่าวรายงานบรรยายสรุปกระบวนการ และปัจจัยแห่งความสำเร็จที่ชุมชนภาคภูมิใจในการขับเคลื่อนชุมชนตามแนวทางคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร จากนั้นนำชมนิทรรศการฯ การแสดงมโนราห์จากเยาวชน การสาธิตของภูมิปัญญาท้องถิ่น การทำตับจาก การทำผ้ามัดย้อม และเยี่ยมชมบ้านพอเพียง บ้านนายจรูญ เทพทวี
นายอิทธิพล กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้อง นำหลักการ “บวร : บ้าน วัด โรงเรียน” เป็นกลไกไปขับเคลื่อนการบูรณาการความร่วมมือในการส่งเสริมพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น รวมทั้งป็นศูนย์กลางในการส่งต่อข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ ภาคเอกชน ที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ และเข้าถึงโครงการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานของชุมชนคุณธรรมฯ วัดสำโรงเกียรติ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ และ วธ. ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าชุมชนคุณธรรมฯ ต่างๆ ทั่วประเทศ อาทิ ชุมชนคุณธรรมวัดนาหนอง จ.ราชบุรี ชุมชนคุณธรรมวัดฝั่งคลอง จ.นครนายก ซึ่งนับว่าเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลและขับเคลื่อนการดำเนินงานชุมชนคุณธรรมฯ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังได้จัดโครงการ บวร On Tour เพื่อพัฒนาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชาเพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืนทั่วประเทศ โดยเริ่มต้นที่ชุมชนต้นแบบนำร่องจังหวัดละ ๑ ชุมชน รวม ๗๖ ชุมชน และพร้อมขยายเป้าหมายเป็น ๑,๐๐๐ ชุมชน
นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า จังหวัดตรังมีชุมชนคุณธรรมฯ ทั้งสิ้น ๑๐๗ แห่ง แบ่งเป็นชุมชนคุณธรรมต้นแบบ ๔๗ แห่ง และชุมชนคุณธรรมระดับคุณธรรม ๖๐ แห่ง โดยชุมชนคุณธรรมวัดกาญจนบริรักษ์ เป็น ๑ ใน ๑๐๐ ชุมชนต้นแบบที่ได้รับรางวัลในระดับประเทศ ที่ได้ใช้ “พลังบวร” ในการนำทุนทางวัฒนธรรมที่ดีงามที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นไปต่อยอดส่งเสริมการท่องเที่ยวของชุมชน และพัฒนาต่อยอดเป็นสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชน อาทิ การแสดงทางวัฒนธรรม “มโนราห์” ผลิตภัณฑ์ขนมพื้นบ้านและอาหารพื้นบ้าน ได้แก่ ขนมหม้อแกงไม้ไผ่ และน้ำสมุนไพร การทำผ้ามัดย้อม การทำบันไดไม้ไผ่ ตับจาก เป็นต้น นอกจากนี้ มีการประกาศเจตนารมณ์ของชุมชน เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๒ ในเรื่องความดีที่อยากทำ ได้แก่ การสืบสานงานประเพณีวัฒนธรรม สร้างความสามัคคีในชุมชน สร้างอาชีพเสริมให้กับคนในชุมชน ซึ่งการดำเนินงานตามประกาศเจตนารมณ์ดังกล่าวทำให้ชุมชนมีการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้วิถีพอเพียงชุมชน บ้านพอเพียงตามรอยศาสตร์พระราชา ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต มีการทำการเกษตรแบบพอเพียง พอมี พอกิน และแบ่งปัน อาทิ ปลูกผักปลอดสารพิษ เลี้ยงปลา เพื่อบริโภคในครัวเรือนและแจกจ่าย รวมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาดูงานด้านเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของชุมชนแห่งนี้อีกด้วย
นอกจากนี้ ปัจจุบันชุมชนคุณธรรมวัดกาญจนบริรักษ์ยังมีจุดเด่นที่เป็นไฮไลท์ หรือ เสน่ห์ของชุมชนฯ ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวสนใจที่จะมาเยี่ยมชม คือ มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม และการอนุรักษ์สืบสานประเพณีท้องถิ่น อาทิ ประเพณีลากพระ ประเพณีโบราณของคนภาคใต้ การขึ้นบรรได ๒๗๐ ขั้น เพื่อไปนมัสการเจดีย์บัวเงิน บัวทอง ภูเขาพระยอด ซึ่งมีพระพุทธรูปสีทองที่งดงาม รวมทั้งได้ชมวิวและบรรยากาศที่เย็นสบายของเทือกเขาบรรทัด ซึ่งนับเป็นชุมชนคุณธรรมฯ ที่มีความพร้อมและโดดเด่นในทุกด้าน นับเป็นแบบอย่างในการสร้างสังคมแห่งความสงบสุข สามัคคี ปรองดอง อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
------------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35675 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.ด่านมะขามเตี้ย คว้ารางวัลศูนย์ราชการสะดวก ระดับเลิศ | วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
รพ.ด่านมะขามเตี้ย คว้ารางวัลศูนย์ราชการสะดวก ระดับเลิศ
โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี คว้ารางวัลเป็นเลิศระดับประเทศ ปี 2563 มาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ทั่วประเทศมีเพียง 5 หน่วยงาน
โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี คว้ารางวัลเป็นเลิศระดับประเทศ ปี 2563 มาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ทั่วประเทศมีเพียง 5 หน่วยงาน
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ขอแสดงความชื่นชมโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ที่ได้รับโล่รางวัลและตรารับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ในระดับเป็นเลิศ ประจำปี พ.ศ. 2563 ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั่วประเทศมีเพียง 5 หน่วยงานที่ผ่านการประเมินระดับเป็นเลิศ มาตรฐานบริการประชาชนที่มุ่งเน้นการอำนวยความสะดวก ซึ่งโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย พัฒนาบริการโรงพยาบาลทั้งด้านกายภาพและบริการได้ดี มีความสะอาด สวยงาม นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อมอบบริการที่ดีแก่ประชาชน เปิดให้บริการตลอด 24 ชม. ลดความแออัด ระยะเวลารอคอย ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงบริการง่าย พึงพอใจในการรับบริการ
นายแพทย์ประวัติ กิจธรรมกูลนิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย กล่าวว่า โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย ได้พัฒนาเป็นสมาร์ท ฮอสปิทัล (Smart Hospital) ปรับระบบบริการให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ จัดรูปแบบการให้บริการใหม่ นำเทคโนโลยีระบบดิจิทัลมาใช้ ผู้รับบริการทั้งผู้ป่วยใหม่และผู้ป่วยเก่า สามารถใช้บัตรประชาชนยื่นลงทะเบียนผ่านตู้ KIOS ใช้แอปพลิเคชัน MOPH Connect ให้บริการประชาชนแบบออนไลน์ สามารถจองคิวตรวจล่วงหน้า มีระบบการแจ้งเตือนผู้ป่วยที่นัดและติดตามผู้ป่วยที่ขาดนัด ปรับระบบบริการที่แผนกผู้ป่วยนอก ลดระยะเวลารอคอย มีการออกแบบและวางระบบเพื่อรองรับผู้พิการและผู้ที่ใช้รถเข็นทุกชนิด ให้บริการทุกจุดแบบ One stop service พร้อมทั้งปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้สวยงาม ทันสมัย ผู้รับบริการได้รับความสะดวกสบายมีการสำรวจความต้องการ/ การประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการหลากหลายช่องทาง นำผลมาวิเคราะห์และนำไปปรับใช้ในการออกแบบระบบการให้บริการ รวมทั้งเพิ่มบริการข้อมูลข่าวสารและรับเรื่องราวร้องทุกข์ ผ่านช่องทางออนไลน์ เว็บไซต์ของโรงพยาบาล
นอกจากนี้ ได้ขยายเวลาบริการเป็น 07.00 น.- 17.00 น. ไม่พักเที่ยง โดยวิเคราะห์ประเมินความต้องการด้านกําลังคนและจัดสรรให้เหมาะสม และดูแลสร้างแรงจูงใจบุคลากรในการทำงาน จัดสถานที่ทำงานให้น่าอยู่ จัดอบรมเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ร่วมกันทบทวนระบบงานเพื่อออกแบบ งานใหม่/สร้างนวัตกรรมในการให้บริการ เพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างรวดเร็ว จัดทําคู่มือการปฏิบัติงานสําหรับเจ้าหน้าที่ รวมทั้งมีแผนกรณีที่เกิด ภาวะฉุกเฉินหรือภัยพิบัติ โดยเตรียมทรัพยากรที่สำคัญ เช่น สถานที่ให้บริการสำรอง บุคลากร ข้อมูลสารสนเทศ คู่ค้าหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย วัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น เพื่อให้บริการที่ต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก
ทั้งนี้ ศูนย์ราชการสะดวกที่ผ่านการตรวจประเมินและให้การรับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ปี 2563 มีทั้งสิ้น 455 ศูนย์ โดยได้รับการรับรองระดับเป็นเลิศ 5 ศูนย์ ระดับก้าวหน้า 95 ศูนย์ และระดับพื้นฐาน 355 ศูนย์
************************************** 4 ตุลาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35668 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'รัฐมนตรี สุชาติ' สั่ง กกจ.ตรวจสอบและให้ประสานบริษัท แก้ไขข้อมูลบนเว็บไซต์ไทยมีงานทำ หลังพบความคลาดเคลื่อน | วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
'รัฐมนตรี สุชาติ' สั่ง กกจ.ตรวจสอบและให้ประสานบริษัท แก้ไขข้อมูลบนเว็บไซต์ไทยมีงานทำ หลังพบความคลาดเคลื่อน
รมว.แรงงานสั่งการให้ กรมการจัดหางาน ตรวจสอบแก้ไขข้อมูลการเผยแพร่ตำแหน่งงานและอัตราค่าจ้างที่สูงเกินความเป็นจริง ล่าสุดกรมการจัดหางานตรวจสอบพบ การบันทึกข้อมูลคลาดเคลื่อนเกิดจาก บริษัทมีการพิมพ์ตัวเลขผิดพลาด และประสานบริษัทแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องแล้ว
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฎข้อเท็จจริงจากสื่อออนไลน์มีการเผยแพร่การลงข้อมูลรับสมัครงานในแพลตฟอร์มไทยมีงานทำ.com ซึ่งมีตำแหน่งงานและอัตราค่าจ้างที่สูงกว่าความเป็นจริงนั้น ล่าสุดในเรื่องนี้ ได้สั่งการให้กรมการจัดหางาน (กกจ.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่ามีการบันทึกข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง จำนวน 3 บริษัท ได้ประสานกับทางนายจ้างพบว่าเกิดจากการบันทึกข้อมูลที่ผิดพลาดโดยได้สั่งการให้แก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องแล้ว
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ยังได้สั่งการให้จัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และผู้อำนวยการสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ทำการตรวจสอบข้อมูลนายจ้าง ตำแหน่งงานและอัตราค่าจ้าง ของสถานประกอบการที่อยู่ในพื้นที่ หากพบว่ามีข้อมูล ที่ไม่ถูกต้อง ให้รีบดำเนินการแจ้งนายจ้างสถานประกอบการ แก้ไขให้ถูกต้องต่อไป
“สำหรับแพลตฟอร์มไทยมีงานทำ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานจัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูบการจ้างงานและหลักสูตรฝึกอบรมให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาค้นหาข้อมูลตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัคร เพื่อสามารถจับคู่ตำแหน่งตามพื้นที่หรือภูมิลำเนา และการจับคู่ (Matching)ตำแหน่งงานจากความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ทำงานหรือทักษะฝีมือของผู้สมัครงาน ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดตำแหน่งงานว่างได้ที่แพลตฟอร์มไทยมีงานทำ.com ” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35677 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เปิดหน่วยไตเทียมชัยบุรี เพิ่มการเข้าถึงบริการล้างไต ลดระยะเวลารอคอย ลดค่าใช้จ่าย | วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
อนุทิน เปิดหน่วยไตเทียมชัยบุรี เพิ่มการเข้าถึงบริการล้างไต ลดระยะเวลารอคอย ลดค่าใช้จ่าย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดหน่วยไตเทียมให้บริการผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์และใกล้เคียง เพิ่มการเข้าถึงบริการผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย ลดความระยะเวลารอคอย ใกล้บ้าน ใกล้ใจ ลดภาระค่าใช้จ่าย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดหน่วยไตเทียมให้บริการผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์และใกล้เคียง เพิ่มการเข้าถึงบริการผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย ลดความระยะเวลารอคอย ใกล้บ้าน ใกล้ใจ ลดภาระค่าใช้จ่าย ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
วันนี้ (4 ตุลาคม 2563) ที่ ศูนย์แพทย์ชุมชน โรงพยาบาลบุรีรัมย์ สาขา 3 จังหวัดบุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ ผู้ตรวจราชการสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 9 เปิด“หน่วยไตเทียมชัยบุรี โดยมีนายธัชกร หัตถาธยากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ นายแพทย์ภูวดล กิตติวัฒนาสาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบุรีรัมย์ ให้การต้อนรับ
นายอนุทินกล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น มีผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังทั่วประเทศประมาณ 8 ล้านคน เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย 2 แสนคน นับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลกและประเทศไทย สาเหตุมาจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่ไม่ปฏิบัติตนตามแผนการรักษาจะส่งผลการเสื่อมของไตทำให้เข้าสู่ภาวะไตวายที่มีความรุนแรงมากจนถึงขั้นไตวายระยะสุดท้าย และเข้าสู่กระบวนการฟอกไต ต้องได้รับการบำบัดทดแทนไตด้วยการล้างไต ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงเฉลี่ยประมาณ 240,000 บาท ต่อคนต่อปี ส่งผลกระทบต่อภาระค่ารักษาพยาบาลทั้งส่วนของโรงพยาบาล ผู้ป่วย และครอบครัว
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ข้อมูลจาก Health Data Center กระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ. 2563 เขตสุขภาพที่ 9 มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจำนวน 89,326 คน ในจังหวัดบุรีรัมย์มีจำนวน 36,326 คน เป็นผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย 2,030 คน ในจำนวนนี้ได้รับบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมจำนวน 801 คน คิดเป็น 104,130 รอบ มีหน่วยให้บริการบำบัดทดแทนไตเทียมด้วยเครื่องไตเทียมทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชนจำนวน 3 แห่ง มีเครื่องจำนวน 72 เครื่อง ซึ่งไม่เพียงพอต่อการให้บริการ บางรายต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดข้างเคีย ทำให้เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น บางรายตัดสินใจไม่รับการบำบัดทำให้สูญเสียโอกาส คุณภาพชีวิตลดลง เขตสุขภาพที่ 9 จึงได้ร่วมมือกับองค์กรปกครองท้องถิ่น แก้ปัญหาและความทุกข์ยากของผู้ป่วยในการเข้าถึงบริการ เพิ่มหน่วยบริการให้เพียงพอแก่ผู้ป่วย
หน่วยไตเทียมชัยบุรี ณ ศูนย์แพทย์ชุมชน โรงพยาบาลบุรีรัมย์ สาขา 3 ได้รับการสนับสนุนพื้นที่จากองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ในการจัดตั้ง นับเป็นความร่วมมือขององค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ร่วมกับโรงพยาบาลบุรีรัมย์ โดยพัฒนาศักยภาพเครือข่ายบริการโรคไต ให้บริการบำบัดทดแทนไตด้วยเครื่องไตเทียม เป็นการเพิ่มศักยภาพและขยายงานบริการให้ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายได้รับบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมที่มีคุณภาพมาตรฐาน เพียงพอต่อความต้องการและเข้าถึงบริการได้ง่าย เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์และใกล้เคียงสามารถเข้าถึงบริการดูแลรักษา ลดระยะเวลาการรอคอย ใกล้บ้าน ใกล้ใจ ลดภาระค่าใช้จ่าย มีความพึงพอใจต่อระบบบริการ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และยังช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาลรัฐ
************************************** 4 ตุลาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35671 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35683 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังจัดเก็บรายได้จริงในเดือน ส.ค. 63 สูงกว่าประมาณการเนื่องจากการขยายระยะเวลาการยื่นภาษีประจำปี | วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
กระทรวงการคลังจัดเก็บรายได้จริงในเดือน ส.ค. 63 สูงกว่าประมาณการเนื่องจากการขยายระยะเวลาการยื่นภาษีประจำปี
กระทรวงการคลังจัดเก็บรายได้จริงในเดือน ส.ค. 63 สูงกว่าประมาณการเนื่องจากการขยายระยะเวลาการยื่นภาษีประจำปี
นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากข้อสังเกตเรื่องการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรที่สูงกว่าประมาณการในเดือนสิงหาคม2563โดยกรมสรรพากรจัดเก็บรายได้จำนวน232,369ล้านบาทสูงกว่าประมาณการ30,742ล้านบาทนั้นสาเหตุเนื่องจากการขยายระยะเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ปกติจะสิ้นสุดในเดือนมี.ค. 63และเดือนพ.ค. 63ตามลำดับซึ่งกรมสรรพากรได้ขยายเวลาเป็นสิ้นสุดในเดือนส.ค. 63ตามมาตรการเพิ่มสภาพคล่องในมือประชาชนและผู้ประกอบการซึ่งทำให้ภาษีที่จัดเก็บได้กระจุกตัวในเดือนส.ค. 63โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.การขยายระยะเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี2562 (แบบภ.ง.ด. 50และแบบภ.ง.ด. 55)เฉพาะรายที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯที่ต้องยื่นภายในเดือนเมษายน2563ถึงเดือนส.ค. 63ขยายออกไปถึงวันที่ 31ส.ค. 63ทำให้จัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลในเดือนส.ค. 63ได้จำนวน131,649ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ42,335ล้านบาท
2.การขยายระยะเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี2562 (แบบภ.ง.ด. 90และแบบภ.ง.ด. 91)จากสิ้นสุดภายในวันที่31มี.ค. 63เป็นวันที่31ส.ค. 63ทำให้จัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในเดือนส.ค. 63ได้จำนวน30,822ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ5,827ล้านบาท
.......................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35669 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รัฐบาล เชิญชวนร้านค้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เผย | วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
รัฐบาล เชิญชวนร้านค้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เผย
รัฐบาล เชิญชวนร้านค้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เผย "กรุงไทย"เตรียมลงพื้นที่ช่วยหาบแร่แผงลอย ลงทะเบียนง่ายขึ้น
เมื่อวันที่4ต.ค.น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าการเปิดลงทะเบียนร้านค้าในโครงการคนละครึ่งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนตั้งแต่วันที่1ต.ค.ที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากร้านค้าจำนวนมากโดยข้อมูลการเปิดลงทะเบียนวันแรกผู้ประกอบการร้านค้าสนใจเข้าร่วมแล้วกว่า 162,316แสนร้านค้าแบ่งเป็นร้านค้าเดิมที่เคยเข้าร่วมมาตรการหรือโครงการของรัฐจำนวน113,488ร้านค้าและร้านค้าใหม่จำนวน48,828ร้านค้าทั้งนี้เป็นร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้วจำนวน140,254ร้านค้าและขณะนี้มีร้านค้าทยอยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าส่วนความกังวลเกี่ยวกับร้านค้าที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์คนละครึ่ง.comนั้นทางธนาคารกรุงไทยได้เตรียมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปหาร้านค้าด้วยตัวเองโดยจะลงพื้นที่ตามชุมนุมตลาดเพื่อให้คำแนะนำพร้อมเชิญชวนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและร้านค้าหาบแร่แผงลองให้ทุกร้านค้าที่มีความประสงค์ได้เข้าร่วมโครงการอย่างทั่วถึงโดยเป็นแนวทางการลดช่องว่างการเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังมีวิธีการลงทะเบียนอีกวิธีคือติดต่อสาขาธนาคารกรุงไทยหรือให้ร้านค้าการแจ้งความประสงค์ในการเข้าร่วมโครงการไปยังหน่วยงานท้องถิ่นเช่นเทศบาลอบต.ฯลฯโดยหน่วยงานท้องถิ่นจะรวบรวมความต้องการดังกล่าวเพื่อแจ้งธนาคารกรุงไทยให้ช่วยดำเนินการต่อไปดังนั้นจึงเชื่อว่าการเปิดลงทะเบียนร้านค้ามีความครอบคลุมทั่วถึงความต้องการ
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าขอเชิญชวนร้านค้าทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการคนครึ่งละครึ่งโดยเป็นมาตรการที่เน้นช่วยเหลือร้านค้าขนาดเล็กไม่ว่าจะเป็นกิจการประเภทร้านอาหารเครื่องดื่มร้านค้าทั่วไปและผู้ประกอบการรายย่อยโดยต้องไม่ได้จดทะเบียนในรูปแบบนิติบุคคลและไม่เป็นร้านสะดวกซื้อที่เป็นธุรกิจเฟรนไชส์ทั้งนี้รัฐบาลคาดหวังให้ผู้ค้าหาบแร่แผงลอยแม่ค้าพ่อค้าตามตลาดนัดร้านค้าขนาดเล็กได้เข้าร่วมโครงการนี้เพื่อบรรเทากระทบทางด้านเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19
สำหรับการประชาชนทั่วไปโครงการคนละครึ่งจะเริ่มเปิดลงทะเบียนรับสิทธิ์ในวันที่16ต.ค.นี้ที่เว็บไซต์คนละครึ่ง.comตั้งแต่เวลา06.00น.-23.00น.จำนวน10ล้านคนเริ่มใช้จ่าย23ต.ค.-31ธ.ค.2563นี้
....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35670 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมพัฒนาท่าเรือบก และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่ง อ่าวไทย-อันดามันก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาค | วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
รัฐบาลเตรียมพัฒนาท่าเรือบก และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่ง อ่าวไทย-อันดามันก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาค
รัฐบาลเตรียมพัฒนาท่าเรือบก และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่ง อ่าวไทย-อันดามันก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาค
นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากการลงพื้นที่ตรวจราชการของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ท่าเรือแหลมฉบังเมื่อวันที่1ตค.ที่ผ่านมานั้นเป็นการติดตามแนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติโดยการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่3โครงการท่าเรือทางบก(Dry Port)การศึกษารูปแบบการเชื่อมโยงอ่าวไทยและทะเลอันดามันด้วยโครงการปรับปรุงท่าเรือน้ำลึกระนองและท่าเรือชุมพรโครงการพัฒนาLandbridgeเชื่อมท่าเรือชุมพรและท่าเรือระนองและโครงการสะพานไทย
ทั้งนี้ในปัจจุบันท่าเรือแหลมฉบังระยะที่1มีขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ขนาด20ฟุตหรือTwenty Foot Equivalent Unit (TEU)ได้4.3ล้านตู้ระยะที่2รองรับได้6.8ล้านTEUและเมื่อพัฒนาระยะที่3เสร็จสมบูรณ์แล้วจะรองรับได้เพื่มอีก7.0ล้านTEUรวมทั้งสิ้นเป็น18.1ล้านTEU
ในส่วนของท่าเรือบก(Dry Port)นั้นหมายถึงบริเวณพื้นที่ตอนในของประเทศที่มีการดำเนินงานเป็นศูนย์โลจิสติกส์ซึ่งทำหน้าที่เสมือนท่าเรือแต่ไม่มีการขนถ่ายสินค้าขึ้น-ลงเรือเป็นการรองรับขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในระบบคอนเทนเนอร์และมีการเชื่อมต่อการขนส่งได้หลายรูปแบบโดยมีการขนส่งทางรางเป็นหลักและจากการศึกษาพื้นที่ที่มีศักยภาพในการจัดตั้งท่าเรือบกเพื่อสนับสนุนการให้บริการท่าเรือแหลมฉบังพบว่าจังหวัดที่เหมาะสมคือฉะเชิงเทราขอนแก่นนครราชสีมาและนครสวรรค์โดยคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างท่าเรือทางบกที่จ.ฉะเชิงเทราได้ในปี2567จ.ขอนแก่นและจ.นครราชสีมาได้ในปี2568และจ.นครสวรรค์ได้ในปี2570และคาดการณ์ปริมาณการขนส่งผ่านท่าเรือบกในปี2565จาก2.8ล้านTEUเพิ่มขึ้นเป็น4.8ล้านTEUในปี2600
สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามันนั้นปัจจุบันประเทศไทยได้มีการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกจังหวัดระนองให้เป็นท่าเรือสินค้าคอนเทนเนอร์ซึ่งตามโยบายได้กำหนดให้เป็นประตูการค้าฝั่งอันดามันของประเทศไทยโดยสามารถขนส่งสินค้าเชื่อมโยงเส้นทางการเดินเรือระหว่างท่าเรือระนองกับท่าเรือในกลุ่มประเทศในแถบเอเชียใต้โดยการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือน้ำลึกระนองดังกล่าวจะสามารถลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าเพราะไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา(สิงคโปร์)ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมมีแนวคิดที่จะพัฒนาท่าเรือจังหวัดชุมพรเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาให้เป็นสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย(Land bridge)โดยโครงการLand bridgeนี้จะเป็นการขยายขีดความสามารถการพัฒนาทางเศรษฐกิจของพื้นที่ภาคใต้ของประเทศด้วยที่ตั้งที่เป็นยุทธศาสตร์การค้าโลกสามารถเชื่อมประเทศไทยอาเซียนจีนอินเดียตลอดจนเชื่อมโยงประเทศกลุ่มประเทศตะวันออกไกลเข้ากับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและสภาพยุโรปให้สะดวกยิ่งขึ้น
รูปแบบการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจนี้จะประกอบไปด้วยท่าเรือพาณิชย์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมบริเวณปลายทั้งสองด้านของฝั่งทะเลจ.ระนองและจ.ชุมพรโดยมีการพัฒนาระบบขนส่งสินค้าเพื่อเชื่อมโยงท่าเรือทั้งสองแห่งด้วยทางรถไฟและทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์)คู่ขนานบนเส้นทางเดียวกันเพื่อลดผลกระทบจากการเวนคืนที่ดินกับภาคประชาชนสำหรับรูปแบบการดำเนินโครงการรัฐบาลจะลดการใช้งบประมาณและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญมาร่วมพัฒนาโครงการด้วยและจะมีการรับฟังความเห็นอย่างรอบด้านเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงซึ่งในปัจจุบันกระทรวงคมนาคมได้รับความเห็นชอบจากท่านนายกรัฐมนตรีให้ใช้งบประมาณปี2563 (งบกลางฯ)เพื่อดำเนินการศึกษาความเหมาะสมออกแบบเบื้องต้นประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน(Business Development Model)
สำหรับโครงการสะพานไทยนั้นเป็นโครงการก่อสร้างสะพานข้ามอ่าวไทยโดยเบื้องต้นกำหนดทางเลือกไว้2เส้นทางดังนี้ 1)แหลมฉบัง-เพชรบุรีระยะทาง86กม.และ2)พัทยา-ประจวบคีรีขันธ์ระยะทาง110กม.โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.)ได้ร่วมกันดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นของโครงการ(Pre-feasibility Study)
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้ย้ำการเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางเครือข่ายโลจิสติกส์ของภูมิภาคทั้งการขนส่งสินค้าและการสัญจร โดยได้กำชับว่าในการศึกษาโครงการต่างๆนั้นต้องสร้างความเชื่อมโยงให้เห็นความคุ้มค่าในการลงทุนและเกิดผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและใช้รูปแบบการลงทุนแบบPPPเพื่อประหยัดงบประมาณเพื่อสามารถนำเงินงบประมาณไปช่วยเหลือประชาชนได้อย่างเต็มที่และการดำเนินการทุกอย่างต้องโปร่งใสไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนโดยยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญนอกจากนั้นทุกหน่วยงานต้องเร่งทำงานใช้ช่วงโควิด-19เตรียมพร้อมประเทศเสริมความได้เปรียบทางเศรษฐกิจเพื่อให้ไทยเป็นประเทศแรกๆที่จะฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังวิกฤตโควิด-19ผ่านไปแล้ว
..................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35667 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ | วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓
วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เนื่องในวันอนุรักษ์ภาพยนตร์ไทย ครั้งที่ ๑๐ โดยมี นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร นางสาวชลิดา เอื้อบำรุงจิต ผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ ตัวแทนบริษัทผู้สร้าง ผู้กำกับ นักแสดง และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ศาลายา จ.นครปฐมโดยในปี พ.ศ.๒๕๖๓ มีภาพยนต์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภาพยนต์ของชาติ จำนวน ๑๐ เรื่อง คือ
๑. VISIT OF SIAMESE BOY SCOUT TO JAPAN (2472)
๒. คำสั่งคำสาป (ฉบับฟิล์ม 16 มม. [2494], ฉบับฟิล์ม ๓๕ มม. (2497)
๓. [ภาพยนตร์บริการข่าวสารไทย] (2497)
๔. [เบื้องหลังหนังไทย เหนือเกล้า] (2510)
๕. อีแตน (2511)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35674 |