title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๘ (เลื่อนมาจากการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๑๗
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 การก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๘ (เลื่อนมาจากการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๑๗ สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง การก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๘ (เลื่อนมาจากการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๑๗ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันจันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๓) ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายทวีวงษ์ จุลกมนตร ถาม นายกรัฐมนตรี ผู้ตอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายถาวร เสนเนียม) ผู้ถาม : นายทวีวงษ์ จุลกมนตร ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ด้วยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๘ มีพื้นที่ตัดผ่านแหล่งมรดกโลกอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยเส้นทางดังกล่าวเชื่อมต่ออำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว กับอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ มีระยะทางประมาณ ๑๔๐ กิโลเมตร และในช่วงผ่านช่องเขาตะโก อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว เชื่อมต่อกับอำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ระยะทางประมาณ ๓ กิโลเมตร ได้เกิดอุบัติเหตุรุนแรงบ่อยครั้ง ซึ่งเส้นทางนี้มี ๒ ช่องทางจราจร เส้นทางคับแคบ ลาดชัน คดเคี้ยวและมีปริมาณการจราจรหนาแน่น ทั้งนี้ กรมทางหลวงมีแผนขยายเส้นทางเป็น ๔ ช่องทางจราจร จึงได้ขอเข้าศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ แต่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ไม่อนุญาตให้เข้าพื้นที่สำรวจเนื่องจากเป็นพื้นที่เขตมรดกโลก นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กระทรวงคมนาคมระงับการขยายเส้นทางดังกล่าวโดยให้เลือกเส้นทางอื่นตามความจำเป็นและเหมาะสม อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ กรมทางหลวงได้มีหนังสือประสานไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถึงแนวทางการดำเนินโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้คำตอบกลับมา ขอเรียนถามว่า คณะรัฐมนตรีมีแนวทางในการทบทวนมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือไม่ อีกทั้งรัฐบาลจะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาความไม่สะดวก รวมถึงความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนที่ใช้เส้นทางดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายถาวร เสนเนียม) ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ ๒ กระทรวงหลัก คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับกระทรวงคมนาคม นอกจากนี้ยังมีองค์กรที่เกี่ยวข้อง คือ คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก สำหรับเส้นทางดังกล่าวกรมทางหลวงต้องการพัฒนาเป็น ๔ ช่องทางจราจร แต่เนื่องจากเส้นทางนี้อยู่ในบริเวณที่เป็นมรดกโลกจึงต้องขออนุญาตก่อนดำเนินการก่อสร้าง และต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กระทรวงคมนาคมระงับการดำเนินการขยายเส้นทางทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข ๓๔๘ และในพื้นที่ป่าดงพญาเย็นเขาใหญ่ และให้ศึกษาเส้นทางอื่นแทนตามความจำเป็นและเหมาะสม อย่างไรก็ตามกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้แจ้งและแนะนำให้กรมทางหลวงปรับปรุงแนวทางการศึกษาเป็นการศึกษาแนวเชื่อมต่อผืนป่าโดยประเมินความสำเร็จของการจัดทำแนวเชื่อมต่อถนน ๓๐๔ เพื่อนำผลที่ได้มาประกอบการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำทางหลวงหมายเลข ๓๔๘ ทั้งนี้ ขั้นตอนในการดำเนินการของกรมทางหลวงจะต้องขออนุญาตทำการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอแห่งชาติแห่งก่อน โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชต้องอนุญาตให้ทำการศึกษา ขั้นตอนต่อมากรมทางหลวงเสนอรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเสนอผู้ชำนาญการพิจารณาและอนุญาตกรณีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนำผลการศึกษาดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีในการยกเว้น ผ่อนผัน หรือยืนยันตามมติเดิม หลังจากนั้นให้กรมทางหลวงจัดทำโครงการเสนอกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชพิจารณาอนุมัติเพื่อดำเนินโครงการต่อไป และเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับมรดกโลก ดังนั้น จึงต้องเสนอคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกเพื่อพิจารณาให้ความเห็น ทั้งนี้กรมทางหลวงได้มีหนังสือมายังกระทรวงคมนาคมเพื่อประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำหรับแนวทางในการดำเนินการ เพื่อจัดทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อดำเนินการต่อไป (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35589
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าในการจัดทำ และเสนอร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. ...
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ความคืบหน้าในการจัดทำ และเสนอร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. ... สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง ความคืบหน้าในการจัดทำ และเสนอร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. ... ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายมณเฑียร บุญตัน ถาม นายกรัฐมนตรี ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้ถาม : นายมณเฑียร บุญตัน ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๗ บัญญัติหลักการ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมในด้านต่าง ๆ ทั้งนี้ การเลือกปฏิบัติหมายความรวมถึง การกระทำ งดเว้นการกระทำ ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเจตนาและไม่เจตนา ซึ่งทำให้บุคคลสูญเสียโอกาส หรือไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพ หรือไม่ได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน โดยปัจจุบันมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติกระจายอยู่ในหลายฉบับ อย่างไรก็ตามรัฐบาลควร มีนโยบายหรือมาตรการในการรณรงค์เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ขอเรียนถามว่ารัฐบาลได้ดำเนินการเกี่ยวกับกฎหมายการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล รวมถึงกระบวนการจัดทำร่างกฎหมาย และเตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา อีกทั้งมีแนวคิดที่จะบรรจุไว้ในกฎหมายปฏิรูปหรือไม่ อย่างไร ตลอดจนคาดว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าใดในตราพระราชบัญญัติฉบับนี้รัฐบาลจะมีแนวทางหรือ มาตรการ ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า กฎหมายว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. .... มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลในหลากหลายประเภท ดังนั้น จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน ทั้งนี้ รัฐบาลที่ผ่านมาได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกัน การเลือกปฏิบัติในกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมากอย่างไร ก็ตามหลายฝ่ายเห็นร่วมกันว่าควรจัดทำ กฎหมายกลางเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗ กระทรวงยุติธรรมจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาโดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคประชาสังคม เสนอแนะปัญหาและหลักการต่าง ๆ และเห็นชอบในหลักการร่วมกันว่า ควรยกร่างกฎหมายโดยได้แต่งตั้งคณะทำงานยกร่างกฎหมาย เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๓ และได้มีการประชุม เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๓ และจะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ นอกจากนี้ยังได้ขอตั้งงบประมาณประจำปี ๒๕๖๔ เพื่อดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ทั้งนี้คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๔ อย่างไรก็ตาม หลักกฎหมายนี้จะคุ้มครองมิให้มีการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล ในส่วนกรณี กลุ่มเปราะบางต่าง ๆ อาทิ กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ติดเชื้อ HIV กลุ่มความหลากหลายทางเพศ กลุ่มคนพิการ จะมีกฎหมาย หรือข้อกำหนดต่าง ๆ เพื่อดำเนินการและบังคับใช้แต่บางกรณีอาจมีความจำเป็น ต้องตั้งคณะกรรมการเข้ามาดูแล แก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติเป็นการเฉพาะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35583
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทูตพาณิชย์ญี่ปุ่นหารือบีโอไอ
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ทูตพาณิชย์ญี่ปุ่นหารือบีโอไอ ทูตพาณิชย์ญี่ปุ่นหารือบีโอไอ ทูตพาณิชย์ญี่ปุ่นหารือบีโอไอ นายชนินทร์ ขาวจันทร์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)(ซ้าย) ให้การต้อนรับ Mr. Shotaro SANO ผู้ช่วยทูตฝ่ายการพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เพื่อหารือถึงภาวะการลงทุนภายใต้สถานการณ์โควิด-19 และความเป็นไปได้ในการร่วมมือเพื่อชักจูงการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น ที่จะยกระดับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคตณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35599
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เปิดโครงการฝึกอบรมก่อนมอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส เปิดโครงการฝึกอบรมก่อนมอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 รมช.ธรรมนัส เปิดโครงการฝึกอบรมก่อนมอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 ให้เกษตรได้รับความรู้ พร้อมพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมก่อนมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) พร้อมมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) แก่เกษตรกร ณ หอประชุมอนาลโย ศาลากลางจังหวัดหนองบัวลำภู ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มีนโยบายก่อนที่จะดำเนินการมอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก. 4-01 นั้น เกษตรกรจะต้องได้รับความรู้เกี่ยวกับสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินและหน้าที่ของเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน การพัฒนาอาชีพ และการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้เกษตรกร มีรายได้ และสามารถพึงพาตนเองได้อย่างยั่งยืน “วันนี้มีความยินดีที่ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) แก่เกษตรกร จำนวน 150 ราย โดยกระทรวงเกษตรฯ จะเข้ามาดูแลและส่งเสริมการประกอบอาชีพอย่างครบวงจร เพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้พัฒนาอาชีพและสร้างรายได้ สร้างแรงจูงใจในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม และยกระดับคุณภาพของเกษตรกร “ ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว นายสุริยน พัชรครุกานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดหนองบัวลำภูมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน จำนวน 6 อำเภอ เนื้อที่ 1,182,958 ไร่ พื้นที่ดำเนินการ จำนวน 973,551 ไร่ และจัดให้เกษตรกรไปแล้ว จำนวน 953,497 ไร่ คงเหลือเนื้อที่ประมาณ 20,054 ไร่ ผลการจัดที่ดิน เป็นที่ดินแปลงเกษตรกรรม จำนวน 50,737 ราย 63,248 แปลง เนื้อที่ 937,406 ไร่ และที่ดินแปลงที่อยู่อาศัย จำนวน 31,920 ราย 34,735 แปลง เนื้อที่ 16,091 ไร่ ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ส.ป.ก.หนองบัวลำภู ดำเนินการจัดที่ดินได้ทั้งสิ้น 1,499 ราย 1,585 แปลง เนื้อที่ 11,712-0-04 ไร่ แบ่งเป็น ที่ดินแปลงเกษตรกรรม จำนวน 920 ราย 968 แปลง เนื้อที่ 11,403-0-82 ไร่ ที่ดินแปลงชุมชน จำนวน 579 ราย 617 แปลง เนื้อที่ 308-3-22 ไร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35618
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธี รับรถไฟฟ้าโมโนเรลขบวนแรก สายสีชมพูฯ - สายสีเหลืองฯ เติมเต็มโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 65
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธี รับรถไฟฟ้าโมโนเรลขบวนแรก สายสีชมพูฯ - สายสีเหลืองฯ เติมเต็มโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 65 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีรับรถไฟฟ้าโมโนเรลขบวนแรก สายสีชมพูฯ - สายสีเหลืองฯ เติมเต็มโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 65 วันนี้ (1 ตุลาคม 2563) เวลา 12.15 น. ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีรับรถไฟฟ้าโมโนเรลขบวนแรก โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย – มีนบุรีและโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว – สําโรง โดยมี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พลเอก อนุพงษ์เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม นายสราวุธ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ผู้บริหารบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอก โมโนเรล จํากัด และบริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จํากัด พร้อมด้วยผู้บริหารส่วนราชการในท้องที่และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ร่วมพิธี โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเดินทางมาวันนี้ว่า เพื่อมาขับเคลื่อนเร่งรัดในการพัฒนาการเชื่อมต่อในการขนส่งคมนาคมทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ทั้งในพื้นที่ EEC และในพื้นที่ SEC ที่เตรียมการไว้เชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์อ่าวไทย-อันดามัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ประเทศไทยต้องเร่งรัดให้ทันกับความต้องการในอนาคต ยืนยันรัฐบาลจะดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวมให้มากที่สุด ทุกคนต้องมีการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 สงครามการค้า และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง เป็นส่วนหนึ่งภายใต้นโยบาย PPP Fast Track ของรัฐบาล มีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานโครงการให้มีความรวดเร็ว รวมทั้งเปิดโอกาสให้เอกชนได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่ร่วมกับภาครัฐ การมารับขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีชมพู และสายสีเหลือง ถือเป็น “นิมิตหมายอันดียิ่ง” แสดงถึงความก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งของโครงการนอกเหนือจากงานก่อสร้าง เชื่อมั่นว่า ทั้ง 2 โครงการจะเดินหน้าเต็มกำลัง ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าโมโนเรลแก่ประชาชน ตามที่กำหนดไว้ให้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 2022 นายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและขนส่งของประเทศ โดยกำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมได้ผลักดันให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง ย้ำสิ่งสำคัญทุกภาคส่วนต้องทำความเข้าใจกับประชาชนและรณรงค์ให้คนมาใช้ให้มากขึ้น ดูแลประชาชนให้มากที่สุด พยายามปรับราคาให้เหมาะสม และให้ประชาชนเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง นายกรัฐมนตรีขอขอบคุณกระทรวงคมนาคม การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตลอดจนผู้ปฏิบัติงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ที่ได้ร่วมกันเร่งรัดการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าให้มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อประชาชนจะได้ใช้บริการรถไฟฟ้าโมโนเรลทั้ง 2 สายนี้ เดินทางจากพื้นที่เขตชานเมือง เชื่อมต่อเข้าสู่ย่านใจกลางเมือง โดยสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ลดเวลาในการเดินทางมากยิ่งขึ้น ขอให้การดำเนินโครงการนี้ประสบผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ หวังว่าความสำเร็จของโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลนี้จะเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในหัวเมืองภูมิภาคอื่น ๆ ต่อไป เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนควบคู่กันไป ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี มีแนวเส้นทางพาดผ่านตอนเหนือของกรุงเทพฯ ในแนวตะวันตก – ตะวันออก ระยะทางรวม 34.5 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้าให้บริการรวม 30 สถานี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง มีแนวเส้นทางพาดในแนวเหนือ - ใต้ ทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ระยะทางรวม 30.4 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้าให้บริการรวม 23 สถานี โดยได้รับการออกแบบให้เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว หรือ Monorail แบบคร่อมราง บนทางวิ่งยกระดับเหนือแนวเกาะกลางถนน ที่ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างน้อยกว่าระบบรถไฟฟ้ารางหนัก หรือ Heavy Rail เหมาะสมสำหรับการดำเนินงานก่อสร้างในพื้นที่ที่มีความแออัด ในขณะเดียวกัน แนวเส้นทางของทั้งสองโครงการยังสามารถทำหน้าที่เป็น Feeder ป้อนผู้โดยสารเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการมีสถานีรถไฟฟ้าซึ่งเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายหลักจำนวนหลายแห่ง จะช่วยเติมเต็มโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น สำหรับรถไฟฟ้าซึ่งจะนำมาวิ่งให้บริการในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และสายสีเหลืองฯ เป็นรุ่น Bombardier Innovia Monorail 300 ควบคุมด้วยระบบอาณัติสัญญาณ CITYFLO 650 แบบไร้คนขับ ภายในห้องโดยสารของขบวนรถมีอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่างครบครัน โดยการส่งมอบขบวนรถจากผู้ผลิตมายังประเทศไทย จะดำเนินการต่อเนื่องไปจนครบจำนวน 42 ขบวน สำหรับสายสีชมพูฯ และ 30 ขบวน สำหรับสายสีเหลืองฯ ภายในปี 2564 ควบคู่กับขั้นตอนการติดตั้งและทดสอบระบบเพื่อสร้างความมั่นใจ และเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 2565 จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะผู้บริหารได้ร่วมกันตัดริบบิ้นรับรถไฟฟ้าโมโนเรลขบวนแรกของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ พร้อมเยี่ยมชมขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรล ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นของโครงการนอกจากงานก่อสร้าง และเตรียมความพร้อมสู่การเปิดให้บริการแก่ประชาชนในอนาคตอันใกล้นี้ ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35605
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดพิธีแสดงความยินดีแก่นายทหารสัญญาบัตรได้รับพระราชทานยศทหารชั้นนายพล ประจำปีงบประมาณ 2564
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดพิธีแสดงความยินดีแก่นายทหารสัญญาบัตรได้รับพระราชทานยศทหารชั้นนายพล ประจำปีงบประมาณ 2564 พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีแสดงความยินดีแก่นายทหารสัญญาบัตรที่ได้รับพระราชทานยศทหารชั้นนายพล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ครั้งที่ 1 (ต.ค.63) และพิธีรายงานตัวของนายทหารสัญญาบัตรที่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมย้ายเข้ามารับราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม รวมทั้งสิ้น 97 นาย ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ นับเป็นเกียรติประวัติ ความภาคภูมิใจ อีกทั้งจะเป็นแนวทางในการสร้างประโยชน์ต่อสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ประเทศชาติ และประชาชนสืบไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35620
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บิ๊กป้อม ย้ำ ก แรงงาน เร่งแผนพัฒนากำลังคน ให้มีความรู้และทักษะฝีมือรองรับอุตสาหกรรม พัฒนาเศรษฐกิจประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 บิ๊กป้อม ย้ำ ก แรงงาน เร่งแผนพัฒนากำลังคน ให้มีความรู้และทักษะฝีมือรองรับอุตสาหกรรม พัฒนาเศรษฐกิจประเทศ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและการประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 สำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ย้ำ ก แรงงาน เร่งแผนพัฒนากำลังคน วันนี้ 1 ตุลาคม 2563 เวลา 10.00 น. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและการประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 สำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นรองประธาน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานเข้าร่วมประชุม พร้อมด้วยหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นฝ่ายเลขานุการฯ โดยที่ประชุมรับทราบการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการที่อยู่ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) รวมถึงร่วมพิจารณาแนวทางการจัดทำแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ปี พ.ศ. 2564-2565 ของหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการจัดการศึกษาและการฝึกอบรมของส่วนราชการ ตลอดจนแนวทางการพัฒนาอาชีพคนพิการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่ประเทศไทยประสบปัญหาการจ้างงานลดลง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น อันเกิดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย การแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙ และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการแรงงานของภาคอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ภาครัฐจึงต้องใช้กลไกการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ ที่มีองค์ประกอบมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนากำลังแรงงานของประเทศจากทุกภาคส่วน มาร่วมกันวางแผนการพัฒนากำลังคน และจับคู่คนกับงานให้เหมาะสม ทำให้แรงงานไทยสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อให้เศรษฐกิจและสังคมไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้ในชีวิตวิถีใหม่หรือ New Normal และเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน พลเอกประวิตรยังได้กล่าวขอบคุณคณะกรรมการที่ได้มาร่วมกันเสนอแนะข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายการพัฒนากำลังคนทุกระดับของประเทศ ในการเตรียมความพร้อมแรงงานใหม่ และยกระดับฝีมือแรงงานที่อยู่ในตลาด แรงงาน ให้มีความรู้และทักษะตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชน ขอให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อให้การพัฒนากำลังคนของประเทศเป็นเอกภาพ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35602
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ใบขับขี่ตลอดชีพ
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ใบขับขี่ตลอดชีพ สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง ใบขับขี่ตลอดชีพ ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายคำนูณ สิทธิสมาน ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้ตอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายถาวร เสนเนียม) ผู้ถาม : นายคำนูณ สิทธิสมาน ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ตามที่มีข่าวจากกรมการขนส่งทางบกว่า สาเหตุส่วนหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนมาจากผู้ขับขี่รถที่สูงอายุและมีใบอนุญาตขับรถตลอดชีพ แต่มีสภาพร่างกายไม่พร้อม และแม้ว่าปัจจุบันจะยกเลิกใบอนุญาตขับรถตลอดชีพแล้ว แต่ยังคงมีผู้มีใบอนุญาตขับรถตลอดชีพประมาณหนึ่งล้านคนกรมการขนส่งทางบกจึงมีแนวคิดให้ผู้มีใบอนุญาตขับรถตลอดชีพมาทำการทดสอบสมรรถภาพความพร้อมในการขับขี่อีกครั้ง ข่าวดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์และต่อต้านอย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมากรมการขนส่งทางบกชี้แจงว่า จะไม่ยึดคืนใบอนุญาตขับรถตลอดชีพและไม่เรียกผู้มีใบอนุญาตขับรถตลอดชีพทั้งหมดมาทดสอบสมรรถภาพของร่างกายใหม่หรือทดสอบขับรถใหม่ แต่จะศึกษาถึงแนวทางการคัดกรองผู้ที่ขาดสมรรถภาพหรือมีสภาวะโรคที่แพทย์วินิจฉัยแล้วเห็นว่ามีความเสี่ยงหรือมีผลต่อประสิทธิภาพการขับขี่อย่างปลอดภัย ขอเรียนถามว่ากระทรวงคมนาคมมีแนวคิดให้ผู้มีใบอนุญาตขับรถตลอดชีพมาทำการทดสอบสมรรถภาพความพร้อมในการขับขี่หรือไม่ อย่างไร และมีนโยบายเกี่ยวกับผู้ขับรถที่สูงอายุอย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายถาวร เสนเนียม) ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมตอบชี้แจงว่า กรมการขนส่งยืนยันว่าจะไม่ยึดคืนใบอนุญาตขับรถตลอดชีพและไม่เรียกผู้มีใบอนุญาตขับรถตลอดชีพทั้งหมดมาทดสอบสมรรถภาพของร่างกายใหม่หรือทดสอบขับรถใหม่ อย่างไรก็ดี ผู้มีใบอนุญาตขับรถตลอดชีพที่สูงอายุบางคนอาจมีปัญหาในการขับรถหรือแสดงว่าตนมีสมรรถภาพทางร่างกายสูงแม้ว่าจะมีโรคภัยไข้เจ็บหรือมีสมรรถภาพทางร่างกายลดลง กรมการขนส่งจึงได้จัดตั้งคณะทำงานร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และแพทยสภาในการพิจารณาศึกษาแนวทางในการคัดกรองผู้มีใบอนุญาตขับรถว่า ยังมีสมรรถภาพในการขับรถได้หรือไม่ นอกจากนี้ในการออกใบอนุญาตขับรถ กรมการขนส่งจะคำนึงถึงการกำหนดสภาวะของโรค การทดสอบภาพทางร่างกาย การอบรมและทดสอบความรู้ของผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถ (ภาคทฤษฎี) การอบรมการขับรถและทดสอบความสามารถในการขับรถของผู้ขอรับใบอนุญาต (ภาคปฏิบัติ) การบริหารจัดการ การปรับปรุงรูปแบบใบอนุญาตขับรถ และการควบคุมพฤติกรรมการขับรถด้วยมาตรการตัดแต้ม (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35604
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม มอบนโยบายกรมราชทัณฑ์ เน้นการดูแลคุณภาพชีวิตผู้ต้องขัง ลดความแออัดในเรือนจำ - สร้างทักษะอาชีพก่อนคืนคนดี มีคุณภาพสู่สังคม
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 รมว.ยุติธรรม มอบนโยบายกรมราชทัณฑ์ เน้นการดูแลคุณภาพชีวิตผู้ต้องขัง ลดความแออัดในเรือนจำ - สร้างทักษะอาชีพก่อนคืนคนดี มีคุณภาพสู่สังคม รมว.ยุติธรรม มอบนโยบายกรมราชทัณฑ์ เน้นการดูแลคุณภาพชีวิตผู้ต้องขัง ลดความแออัดในเรือนจำ - สร้างทักษะอาชีพก่อนคืนคนดี มีคุณภาพสู่สังคม ในวันพฤหัสบดีที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องสัมมนากรมราชทัณฑ์ ชั้น ๓ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเพื่อมอบนโยบายการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ให้แก่ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ และผู้บัญชาการเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ โดยมี ว่า​ที่​ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ศาสตรา​จารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และนายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เข้าร่วม นายสมศักดิ์ฯ กล่าวมอบนโยบายว่า ตนเคยมามอบนโยบายไปแล้วเมื่อปีก่อน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นที่น่าประทับใจ แต่อาจจะมีข่าวที่ไม่ดีบ้าง อาจจะเป็นการปล่อยข่าวทำลายกัน ตนมีวิจารณญาณ พร้อมที่จะรับฟังทุกคน เพราะการเป็นนักฟังที่ดีจะนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้ หากคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง มีเหตุมีผล สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง ถึงแม้จะเป็นเรื่องใหญ่ให้ตนต้องแก้กฎหมายให้ ตนจะทำ การทำงานที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องง่ายหรือยาก แต่เป็นเรื่องของการแก้ปัญหา ผู้บริหารทุกท่านต้องมีวิจารณญาณ ตนอยากให้ระมัดระวัง ในบางครั้งหลายๆ เรื่องรุ่นพี่อาจจะแนะนำรุ่นน้อง ตนขอฝากผู้มีประสบการณ์มากช่วยแนะนำกัน เพราะบางครั้งข่าวที่ออกไป บางเรื่องจริง บางเรื่องไม่จริง ตนไม่อยากให้มีอะไรมารบกวนการทำงาน "ตนขอตามเรื่องที่เคยให้นโยบายไว้ คือ เรื่องผู้ต้องขังล้นเรือนจำ ตนให้ทำการบ้าน ตอนนี้เรือนจำรับผู้ต้องขังได้เท่าไร ที่ตั้งเป้าไว้ ๓ แสนคน ทำได้หรือไม่ ตอนนี้รองรับได้แล้ว ๒.๙ แสนคน แต่ยังมีผู้ต้องขังอยู่ ๓.๔ แสนคน เป็นหน้าที่ของกรมต้องคิดว่าจะทำอย่างไร ในปีนี้ผู้ต้องขังต้องไม่แออัด หรือหากจะแออัดก็เป็นเพียงชั่วคราว รอการโอนย้าย" นายสมศักดิ์ฯ กล่าวอีกว่า จะต้องมีบัญชีว่าผู้ต้องขังที่ต้องโทษ ๒ ใน ๓ ในเรือนจำมีจำนวนเท่าไร เพราะได้สิทธิการพักโทษ ตนไม่ทราบว่าผู้ต้องขังมีสิทธิทำเรื่องขอพักโทษหรือไม่ และผู้กระทำผิดซ้ำไม่มีการให้พักโทษ อาจจะต้องมีการปรับอย่างไรได้หรือไม่ และการปล่อยตัวผู้ต้องขังหลังพ้นโทษ การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย หรือฆาตกรต่อเนื่อง หากปล่อยตัวไปจะกลับไปทำผิดอีก ตนอยากให้ทุกท่านช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไร ซึ่งใช้กำไล EM และมีศูนย์ JSOC ที่สามารถติดตามได้ และให้สังคมช่วยติดตาม แต่ต้องมีวิธีอื่นเพื่อให้ออกไปใช้ชีวิตในสังคมได้ เช่น การฝึกอบรมอาชีพ ฯลฯ นอกจากนี้ ตนมีแนวคิดสร้างนิคมอุตสาหกรรม แต่พวกท่านต้องช่วยกันคิดว่า จะมีอาชีพใดที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน หรือการส่งเสริมเรื่องภาษาต่างอังกฤษ เพื่อให้สามารถส่งออกแรงงานไปทำงานต่างประเทศ รวมถึงการทำบัญชีครัวเรือน หากได้วิชาพื้นฐานอย่างคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ จะสามารถต่อยอดไปทำงานอื่นๆ ได้ เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย สิ่งต่างๆ เหล่านี้หากท่านทั้งหลายตั้งใจ มีข้อมูลดีๆ เชื่อว่าจะสามารถพัฒนาศักยภาพของกรมได้เป็นอย่างดี ในส่วนของการป้องกันโควิด-19 ตนต้องขอชื่นชมผู้บัญชาการเรือนจำทุกท่านที่ควบคุมโรคได้ดีมาก ---------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35617
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เปิดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปี ๒๕๖๓ จัดการแสดงพื้นบ้าน-จำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรม-สัมมนาทางวิชาการ-แฟชั่นโชว์ผ้าไทยร่วมสมัย
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 รมว.วธ. เปิดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปี ๒๕๖๓ จัดการแสดงพื้นบ้าน-จำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรม-สัมมนาทางวิชาการ-แฟชั่นโชว์ผ้าไทยร่วมสมัย รมว.วธ. เปิดงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปี ๒๕๖๓ จัดการแสดงพื้นบ้าน-จำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรม-สัมมนาทางวิชาการ-แฟชั่นโชว์ผ้าไทยร่วมสมัย หนุนสร้างงาน สร้างรายได้ ฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนและท้องถิ่น ตั้งแต่บัดนี้ถึง ๒ ต.ค. วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิด “โครงการวัฒนธรรมสัญจรส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม” กิจกรรมงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยมี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ศิลปิน ศิลปินพื้นบ้าน ภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม และประชาชน เข้าร่วมงาน ณ บริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองยโสธร ตำบลในเมือง อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับ จังหวัดยโสธร อำเภอเมืองยโสธร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จัด “โครงการวัฒนธรรมสัญจรส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม” กิจกรรมงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ระหว่างวันที่ ๒๘ กันยายน – ๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ ณ บริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองยโสธร อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ทั้งนี้ เพื่อฟื้นฟูเยียวยา สร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับศิลปิน ศิลปินพื้นบ้าน ผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรม รวมทั้งสร้างขวัญ กำลังใจแก่ประชาชน ผู้ประกอบการในท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และดำเนินงานตามแผนงานและโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในด้านมิติวัฒนธรรมเพื่อช่วยเหลือประชาชนของกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าวเป็นการบูรณาการจัดงานประเพณีจุดไฟตูมกาออกพรรษายโสธร โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจประกอบด้วย การแสดงศิลปวัฒนธรรมและดนตรีพื้นบ้านอีสาน โดยศิลปินที่มีชื่อเสียง และกลุ่มศิลปินพื้นบ้านของจังหวัดยโสธร อาทิ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา(หม่ำ จ๊กมก) นักแสดงตลกชื่อดัง , ดาว บ้านดอน และนันทิยา ศรีอุบล(อั้ม นันทิยา) ศิลปินเพลงลูกทุ่ง เป็นต้น กิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” อาทิ สีสันวัฒนธรรมการอยู่การกิน สีสันภูมิทัศน์วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ สีสันศิลปินท้องถิ่นต้นแบบ การจัดสัมมนาในหัวข้อ “สินค้าวัฒนธรรมก้าวไกล ด้วยมิติใหม่ตลาดออนไลน์” การจัดแสดงนิทรรศการวิถีชีวิตชุมชนคนยโสธรนิทรรศการวิถีชีวิตชุมชนคนยโสธร การประกวดการแสดงทางด้านศิลปวัฒธรรมท้องถิ่น การจำหน่ายอาหารพื้นเมืองสร้างสรรค์เพื่อสุขภาพ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomic Tourism) และถ่ายทอดวัฒนธรรมการกินอาหารท้องถิ่นของจังหวัด การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม การจัดแสดงแฟชั่นโชว์ผ้าไทยร่วมสมัยร่วมกับนางแบบมืออาชีพ การแสดงแฟชั่นโชว์ ชุด “เด็กยโสร่วมสมัย ฮักผ้าไทย อิสาน” นอกจากนี้ มีการแสดงของสมาคมลิเกแห่งประเทศไทย และการแสดงของศิลปินแห่งชาติ (แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศิลปะการแสดงระหว่างภูมิภาค วธ. และ จ.ยโสธร ขอเชิญชวนประชาชน และนักท่องเที่ยว ร่วมงาน “สีสันวัฒนธรรม มหกรรมวิถีอีสาน สู่การท่องเที่ยวยโสธร” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อร่วมสืบสาน ส่งเสริม ต่อยอด ศิลปวัฒนธรรม เทศกาล ประเพณีของไทย และสร้างงาน สร้างรายได้จากทุนทางวัฒนธรรมสู่ท้องถิ่น สอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดยโสธร โทร. ๐๔๕ ๗๑๕ ๑๓๗ --------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35584
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.ประชุมหารือร่วมกับสำนักงาน กกต. เตรียมพร้อมนำเรื่องเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาการเลือกตั้งท้องถิ่น
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 มท.ประชุมหารือร่วมกับสำนักงาน กกต. เตรียมพร้อมนำเรื่องเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาการเลือกตั้งท้องถิ่น มท.ประชุมหารือร่วมกับสำนักงาน กกต. เตรียมพร้อมนำเรื่องเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาการเลือกตั้งท้องถิ่น วันนี้ (1 ต.ค. 63) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับ พันตำรวจเอก จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อหารือการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งท้องถิ่นโดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เข้าร่วมการประชุม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่า กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีการดำเนินการต่อเนื่องตามลำดับ ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่ประสานสนับสนุนการดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ข้อมูลจำนวนราษฎรที่ใช้ในการแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง ได้ประกาศจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 30 มกราคม 2563 ไปแล้ว การรวมหมู่บ้านเป็นเขตเลือกตั้งสำหรับการเลือกตั้งขององค์การบริหารส่วนตำบล กรณีหมู่บ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลมีราษฎรตามหลักฐานการทะเบียนไม่ถึง 25 คน ให้รวมหมู่บ้านนั้นกับหมู่บ้านที่มีพื้นที่ติดต่อกัน และเมื่อรวมกันแล้วจะมีราษฎรถึง 25 คน เป็นเขตเลือกตั้ง ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการปกครอง ดำเนินการสำรวจและประกาศรวมหมู่บ้านที่มีราษฎรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรไม่ถึง 25 คน กับหมู่บ้านอื่นที่มีพื้นที่ติดต่อกันเป็นเขตเลือกตั้ง จำนวน 41 จังหวัด 109 อำเภอ 128 ตำบล 203 หมู่บ้าน รวม 150 เขตเลือกตั้ง ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งจังหวัดกำชับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเตรียมการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปี พ.ศ. 2564 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นไว้เป็นการล่วงหน้า โดยเฉพาะการจัดเตรียมงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อรองรับการจัดการเลือกตั้งภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ตั้งงบประมาณสำหรับการเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไว้พร้อมแล้ว ส่วนการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือ ผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยจะนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อไป ด้าน พันตำรวจเอก จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยภายหลังจากเสร็จการประชุมหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นว่า การประชุมวันนี้ได้มาชี้แจงถึงความพร้อมในการเตรียมการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีการออกระเบียบที่เกี่ยวข้อง จำนวน 11 ฉบับ เพื่อใช้สำหรับควบคุมดูแลการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม การดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับซึ่งการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาครบถ้วนแล้ว การจัดอบรมวิทยากรระดับจังหวัดและระดับอำเภอเพื่อจะนำไปถ่ายทอดให้กับเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งในวันเลือกตั้ง การเตรียมสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการเตรียมการในเรื่องของการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งไว้เรียบร้อยแล้วและได้รับทราบผลการประชุมว่ากระทรวงมหาดไทยมีความพร้อมทั้งในเรื่องของงบประมาณต่าง ๆ แล้วเช่นกัน และทางกระทรวงมหาดไทยจะนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นต่อไป ดังนั้น เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นและแจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทราบเมื่อใด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งก็จะนำเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อพิจารณาประกาศกำหนดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35622
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีผลักดันการลงทุนใน EEC ยกระดับโลจิสติกส์ครบวงจร รถ ราง เรือ อากาศ ย้ำเป้าหมาย “เชื่อมไทย เชื่อมโลก”
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีผลักดันการลงทุนใน EEC ยกระดับโลจิสติกส์ครบวงจร รถ ราง เรือ อากาศ ย้ำเป้าหมาย “เชื่อมไทย เชื่อมโลก” นายกรัฐมนตรีผลักดันการลงทุนใน EEC ยกระดับโลจิสติกส์ครบวงจร รถ ราง เรือ อากาศ ย้ำเป้าหมาย “เชื่อมไทย เชื่อมโลก” วันนี้ (1 ต.ค.63) เวลา 09.45 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมพร้อมมอบนโยบายการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เลขาธิการ EEC เลขาธิการ BOI ผู้บริหารระดับสูง (CEO ) จากบริษัทชั้นนำของไทยและต่างประเทศ ร่วมหารือแนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ณ สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและขอบคุณนักลงทุนที่เชื่อมั่นและมีการขยายการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง วันนี้ หวังสร้างความเข้าใจตรงกันกับทุกฝ่ายว่า นี่คือโอกาสในการลงทุนและเป็นความท้าทายของรัฐบาล ในการจะขับเคลื่อนแผนพัฒนาประเทศ โครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ แม้ว่าจะเจอกับปัญหาที่เพิ่มขึ้น ในช่วง COVID-19 รัฐบาลก็ไม่เคยหยุดคิด ยังคงมุ่งทำงานเพื่อวางรากฐานประเทศให้ขับเคลื่อนต่อไป ยืนยันว่ารัฐบาลจะทำงานอย่างเต็มที่ในการส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ทุกการลงทุนในทุกพื้นที่ทั้ง EEC และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ ไทยยังเป็นประเทศแรกที่นำหลักการด้านสิทธิมนุษยชนมาใช้ในภาคธุรกิจด้วย นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ที่ผ่านมาได้ระดมทุกฝ่ายมาช่วยกันแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ผ่านทางมาตรการด้านการเงินและการคลัง รวมทั้งเร่งส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานใหม่ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ กระทรวงแรงงานได้จัดงาน JOB EXPO รวบรวมงานทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 1 ล้านอัตรา ซึ่งรวมทั้งการจ้างงานกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนเป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งเป็นมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้น นอกจากนี้ยังมีการวางรากฐานการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ตามทิศทางของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ พัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ยกระดับขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงโครงการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2560 เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ตอบโจทย์การลงทุนของอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต และเป็น Logistics Hub ของภูมิภาค ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ EEC เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ช่วงวิกฤติ COVID การลงทุนใน EEC ก็ยังอยู่ในระดับสูง ช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มีคำขอรับการส่งเสริมใน EEC จำนวน 277 โครงการ และมีมูลค่าเงินลงทุนกว่า 85,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 54 ของคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศ ทั้งนี้ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่าง ๆ ใน EEC ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการเมืองการบินอู่ตะเภา โครงการขยายท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด รวมทั้งโครงการพัฒนาเขตนวัตกรรม EECi ที่จังหวัดระยอง ได้ผู้ชนะการประมูลครบถ้วนแล้ว ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ยังเชิญชวนนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ทั้งการลงทุนในไทยทั้งระยะสั้นและระยายาว พร้อมให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลเตรียมความพร้อมทั้งด้านโลจิสติกส์ ระบบรถไฟความเร็วสูง สาธารณูปโภค แหล่งน้ำเพื่อการบริโภคและอุตสาหกรรม รวมทั้งแรงงานฝีมือทั้งในและนอกระบบเพื่อตอบสนองการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งขอเชิญชวนให้เอกชนแสวงหาโอกาส หรือเพิ่มการลงทุนที่ก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ผลิตภัณฑ์สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ไปจนถึงอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ เกษตรและอาหาร ซึ่งไทยพร้อมและมีศักยภาพ สำหรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคเอกชนก็จะรับไปดำเนินการ เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจและขยายการลงทุนในไทยต่อไป โดยก่อนหน้านั้น นายกรัฐมนตรีประชุมแนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ร่วมกับหัวหน้าหน่วยงานและองค์กรของไทย อาทิ ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี อธิบดีกรมศุลกากร โดยการเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ชาติทั้งหมดให้ไทยเป็นศูนย์กลางเครือข่ายโลจิสติกส์ของภูมิภาคทั้งการขนส่งสินค้าและการสัญจร ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการรายงานแผนงานเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ประกอบด้วย โครงการท่าเรือบก (Dry Port) ให้เป็น One Stop Service ด้านโลจิกสิตส์และศุลกากร ด้วยการเชื่อมโยงการขนส่ง 2 ระบบ โดยเฉพาะระบบราง บรรเทาการจราจรทางถนน และลดความคับคั่งของท่าเรือ โครงการเชื่อมโยงอ่าวไทย-อันดามัน หรือ Land Bridge ด้วยท่าเรือน้ำลึก 2 ฝั่ง ทั้งชุมพรและระนอง โดยมีถนนหลัก Motorway ราง และรถไฟ เป็นตัวเชื่อม ลดต้นทุนทางขนส่งของประเทศ รวมไปถึงเพิ่มขีดความสามารถเชื่อมโยง BIMSTEC และทะเลจีนใต้ในอนาคต และโครงการสะพานไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมอบหลักการสำคัญการศึกษาทั้ง 3 โครงการ ต้องสร้างความเชื่อมโยง ให้เห็นความคุ้มค่าในการลงทุน สามารถสร้างผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจระหว่างทางด้วย ด้วยรูปแบบการลงทุนแบบ PPP เพื่อประหยัดงบประมาณ และนำเงินไปช่วยเหลือประชาชน โดยทุกอย่างโปร่งใส ไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน โดยยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ โดยนายกรัฐมนตรีเร่งทำงานโดยใช้ช่วงโควิด-19 เตรียมความพร้อมประเทศ เสริมความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่สามารถเปิดรับเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด 19 ผ่านได้ทันที ------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35598
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทีเซลส์ ประกาศความพร้อมจัดงาน Bio Asia Pacific 2020 เปิดเวทีงานประชุมด้านชีววิทยาศาสตร์ระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค เผยงานวิจัยวัคซีนป้องกันและวินิจฉัยโรคโควิด-19 พร้อมยกระดับการจัดง
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ทีเซลส์ ประกาศความพร้อมจัดงาน Bio Asia Pacific 2020 เปิดเวทีงานประชุมด้านชีววิทยาศาสตร์ระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค เผยงานวิจัยวัคซีนป้องกันและวินิจฉัยโรคโควิด-19 พร้อมยกระดับการจัดง ทีเซลส์ ประกาศความพร้อมจัดงาน Bio Asia Pacific 2020 เปิดเวทีงานประชุมด้านชีววิทยาศาสตร์ระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค เผยงานวิจัยวัคซีนป้องกันและวินิจฉัยโรคโควิด-19 พร้อมยกระดับการจัดงาน New Normal ในรูปแบบ Hybrid Exhibition กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS : Thailand Centre of Excellence for Life Sciences) ผนึกความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภาครัฐ-เอกชน เตรียมจัดงาน Bio Asia Pacific 2020 ระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม 2563 โดยจัดในงาน Thailand LAB INTERNATIONAL 2020 ร่วมกับ บริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด เพื่อนำเสนอนวัตกรรม เทคโนโลยีการค้นคว้าวิจัย และความร่วมมือด้านชีววิทยาศาสตร์ พร้อมอัพเดทความก้าวหน้าการพัฒนาวัคซีนและการรับมือกับโรคโควิด-19 โดยผู้เชี่ยวชาญทั้งจากไทยและนานาชาติ ครั้งแรกกับการจัดงานในรูปแบบ Hybrid Exhibition ที่ผสมผสานร่วมกับการจัดงาน On Ground Exhibition ในรูปแบบ New Normal ด้วย Virtual Exhibition & Conference ทั้งการจัดประชุมเชิงวิชาการในหัวข้อต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านชีววิทยาศาสตร์ อาทิ ความร่วมมือในการพัฒนายาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Technology Based Medicines) และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านการแพทย์ของประเทศไทยหลังโควิด, ความพร้อมของการทดสอบความปลอดภัยของการผลิตยา วัคซีนโควิดและผลิตภัณฑ์สุขภาพ, การบริหารจัดการความเสี่ยงในช่วงการแพร่ระบาดของโรค การสร้าง Ecosystem สำหรับการผลิตยาในชีวิตวิถีใหม่ (New Normal), การเปิดตัวสมาคมเภสัชพันธุศาสตร์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และความก้าวหน้าด้านจีโนมิกส์ในระดับภูมิภาค, บทบาทของภาคเอกชนในการช่วยกระตุ้นและส่งเสริมอุตสากรรมด้านชีววิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ตลอดจนการจัดกิจกรรมด้านธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ อาทิ การเปิดโอกาสการลงทุนในธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ของไทยกับนักลงทุนต่างประเทศ การประกวดแนวคิดธุรกิจวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ รองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กล่าวว่า “ทีเซลส์ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการผลักดันธุรกิจด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทยให้เติบโตและขยายสู่ตลาดต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการส่งเสริมการนำงานวิจัยและนวัตกรรมออกสู่ตลาด สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศ รวมถึงเพิ่มเครือข่ายความร่วมมือในระดับนานาชาติ และสร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้มากยิ่งขึ้น สำหรับการจัดงาน Bio Asia Pacific 2020 เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญของทีเซลส์ ที่จะมีส่วนสนับสนุนธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคให้เติบโต และเกิดความร่วมมือที่หลากหลาย ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้น การจัดงานในครั้งนี้ จึงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมงานเป็นปัจจัยแรก นำมาซึ่งแนวคิดการจัดงานในรูปแบบ Hybrid Exhibition กล่าวคือ มีทั้งการจัดงานที่นำเสนอนวัตกรรมความก้าวหน้าด้านชีววิทยาศาสตร์ของไทย ณ TCELS Pavilion ในงาน Thailand LAB INTERNATIONAL 2020 ณ EH 103 – 104 ไบเทค บางนา ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวด และการจัดงานในรูปแบบ New Normal ด้วย Virtual Exhibition & Conference โดยเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักวิชาการ นักธุรกิจประเทศต่างๆ ทั้งไทยและทั่วโลกที่ไม่สามารถเดินทางระหว่างประเทศ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ได้นำเสนอองค์ความรู้ ความก้าวหน้าและผลงานการวิจัย ค้นคว้าด้านชีววิทยาศาสตร์ ผ่านการประชุมด้วยแพลตฟอร์ม Live Streaming ซึ่งผู้ที่สนใจเข้ารับฟังหัวข้อการประชุมต่างๆ สามารถเลือกรับชม ร่วมแสดงความคิดเห็น พูดคุย สอบถามกับผู้บรรยายผ่านช่องทาง https://bioasiapacific.com/conference/” “สำหรับการประชุมของการจัดงาน Bio Asia Pacific 2020 ผ่านรูปแบบ Virtual Conference ในครั้งนี้ มีหัวข้อไฮไลท์ที่น่าสนใจ คือ การประชุมนำเสนอความก้าวหน้าของการพัฒนาวัคซีนป้องกันและการรับมือกับโรคโควิด-19 จากนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญของไทยและนานาชาติ ในการแสวงหาแนวทางความร่วมมือแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และผลงานวิจัยร่วมกัน เพื่อรับมือป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต รวมถึงการประชุมสัมมนาในหลากหลายหัวข้อ ซึ่งครอบคลุมในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ ทั้งอุตสาหกรรมยา การใช้เทคโนโลยีด้านดิจิทัลและ AI ในทางการแพทย์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ตั้งแต่งานวิจัยและพัฒนาจนถึงการผลิตออกสู่ตลาด อาทิ ความร่วมมือในการพัฒนายาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Technology Based Medicines) และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านการแพทย์ของประเทศไทยหลังโควิด-19, ความพร้อมของการทดสอบความปลอดภัยของการผลิตยาวัคซีนโควิดและผลิตภัณฑ์สุขภาพ, การสร้าง Ecosystem สำหรับการผลิตยาในชีวิตวิถีใหม่ (New Normal), การเปิดตัวสมาคมเภสัชพันธุศาสตร์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และความก้าวหน้าด้านจีโนมิกส์ในระดับภูมิภาค, บทบาทของภาคเอกชนในการช่วยกระตุ้นและส่งเสริมอุตสากรรมด้านชีววิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ตลอดจนการจัดกิจกรรมด้านธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ ผ่าน Virtual Conference อาทิ การเปิดโอกาสการลงทุนในธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ของไทยกับนักลงทุนต่างประเทศ การประกวดแนวคิดธุรกิจวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการนำเสนอรูปแบบใหม่ๆ ของการลงทุนด้านชีววิทยาศาสตร์” “การจัดงาน Bio Asia Pacific 2020 ในครั้งนี้ ทีเซลส์ ได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน อาทิ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ , ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี, สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (Pharmaceutical Research and Manufacturers Association: PReMA), บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท โรช ประเทศไทย จำกัด (Roche Thailand Co., Ltd.), บริษัท ไบโอ เจเนเทค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (BGIC - Bio Genetech International Co., Ltd.) บริษัท คินเจนไบโอเทค จำกัด (KinGen Biotech Co., Ltd.) และ สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพไทย (ThaiBIO) ซึ่งเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญ ในการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพด้านชีววิทยาศาสตร์ของไทยในเวทีระดับนานาชาติ ตลอดจนก่อให้เกิดการพัฒนา สร้างสรรค์นวัตกรรม เทคโนโลยี และองค์ความรู้ด้านชีววิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปต่อยอดให้เกิดผลในเชิงเศรษฐกิจต่อไป” ดร.ศิรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย พบกับงาน Bio Asia Pacific 2020 โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม 2563 สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานทั้งรูปแบบ On Ground Exhibition ณ TCELS Pavilion EH 103-104 ไบเทค บางนา หรือผ่านช่องทาง Virtual Conference ได้ที่ https://bioasiapacific.com/conference/ ลงทะเบียน https://bioasiapacific.com/conference/
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35614
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จับกัง1” สั่งเข้ม คนงานเก็บผลไม้ป่าฟินแลนด์ สวีเดน 5,293 ชีวิต ตรวจโควิด-19 ก่อนกลับไทย พร้อมกักตัว 14 วัน ตามมาตรการ ศบค.
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 “จับกัง1” สั่งเข้ม คนงานเก็บผลไม้ป่าฟินแลนด์ สวีเดน 5,293 ชีวิต ตรวจโควิด-19 ก่อนกลับไทย พร้อมกักตัว 14 วัน ตามมาตรการ ศบค. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยคนงานเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์และสวีเดน 5,293 คน ที่กำลังทยอยเดินทางกลับประเทศไทยหลังทำงานครบสัญญาจ้าง โดยกลุ่มแรกจำนวน 498 คน มีกำหนดเดินทางกลับถึงประเทศไทย วันที่ 1 ตุลาคม 2563 และทยอยเดินทางกลับเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2563 รวมทั้งสิ้นจำนวน 5,293 คน โดยทั้งหมดมีการแสดงผลตรวจโรคโควิด-19 (ภายใน 72 ชม.) ก่อนเดินทางจากประเทศต้นทางเพื่อโดยสารเครื่องบินมาลงที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จากนั้นต้องเข้าสู่สถานกักกัน 14 วัน โดยมี 2 รูปแบบ คือ Alternative State Quarantine (ASQ) สถานกักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก และ Organization Quarantine (OQ) สถานกักกันโรคของหน่วยงาน ซึ่งมีนายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัวในประเทศไทยทั้งหมด ตามมาตรการการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์-สวีเดน ฤดูกาลปี 2020 ของกรมการจัดหางาน ขณะนี้ได้มอบหมาย กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ และด่านตรวจคนหางาน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หน่วยงานในสังกัดกรมการจัดหางาน เป็นผู้รับผิดชอบดูแลแรงงานไทยที่เดินทางกลับมา เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงแรงงานยึดถือตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงาน ในต่างประเทศ อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ซึ่งขณะนี้หลายประเทศแสดงความสนใจแรงงานไทย เนื่องจากแรงงานไทย มีวินัยในการทำงาน มีทักษะฝีมือดี และประเทศไทยมีมาตรการต่างๆ ที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 ได้ ทั้งนี้ ในการส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศนั้น จะดำเนินการโดยยึดหลักความปลอดภัยของแรงงานไทยเป็นสำคัญ ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สำหรับคนงานไทยที่ต้องการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่า หรือเดินทางไปทำงานตามฤดูกาล (Seasonal Work) อย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และได้ค่าจ้างที่เหมาะสมแล้ว ยังได้รับการดูแลอย่างดีตามมาตรฐาน ปลอดภัยจากโรค COVID-19 ด้วย ซึ่งเป็นแนวทางที่กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานวางไว้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนงานไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35619
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2563
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ฟิลิปปินส์ 1 ราย, อิหร่าน 1 ราย, อินเดีย 1 ราย, บราซิล 2 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้าน สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ฟิลิปปินส์ 1 ราย, อิหร่าน 1 ราย, อินเดีย 1 ราย, บราซิล 2 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 5 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,379 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.68 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 131 ราย หรือร้อยละ 3.67 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,569 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก ฟิลิปปินส์1 รายเป็นเพศชาย อายุ 26 ปี สัญชาติฟิลิปปินส์ เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 23 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร ตรวจหาเชื้อครั้งแรก วันที่ 26 กันยายน 2563 ผลไม่ชัดเจน ตรวจซ้ำวันที่ 29 กันยายน 2563 (วันที่ 6 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนที่กรุงเทพมหานคร อิหร่าน1 รายเป็นเพศชาย อายุ 48 ปี สัญชาติไทย อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 24 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากตรวจครั้งแรกวันที่ 29 กันยายน 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่จังหวัดชลบุรี อินเดีย1 รายเป็นเพศชาย อายุ 41 ปี สัญชาติอินเดีย อาชีพค้าขาย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 25 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร เริ่มป่วยวันที่ 26 กันยายน 2563 ด้วยอาการเจ็บคอ หลังจากนั้นเริ่มมีไข้ พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 29 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 2 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล บราซิล2 รายเป็นสามี-ภรรยา ทั้ง 2 ราย อายุ 28 ปี สัญชาติบราซิล สามีเป็นนักกีฬาวอลเล่ย์บอล ภรรยาเป็นสมาชิกครอบครัว เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 28 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 29 กันยายน 2563 (วันที่ 1 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทั่วโลกรายงานวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 313,858 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกกว่า 34 ล้านราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับรายงานมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะต่ำกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจริงอยู่หลายเท่า เนื่องจากบางรายไม่แสดงอาการป่วย หรือติดเชื้อแต่ไม่ได้เข้าสู่ระบบเฝ้าระวัง และรักษา สำหรับสถานการณ์ของประเทศไทย ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ขณะนี้เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และเข้าสู่ระบบการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการทุกราย อย่างไรก็ตาม การที่ไม่พบรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผู้ติดเชื้อปะปนอยู่ในสังคม และสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทยยังไม่เป็นที่วางใจมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งหากมีการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย จะเป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดในระลอกใหม่ได้เนื่องจากไม่ได้ผ่านการคัดกรองและเฝ้าระวังโรคตามมาตรการที่กำหนด ดังนั้น ขอให้ทุกคนในประเทศ อย่าประมาท เคร่งครัดการปฏิบัติตัวตามมาตรการป้องกันตนเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่นเท่าที่จะทำได้ และลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ที่ใช้บริการผ่าน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง เพราะหากพบผู้ติดเชื้อจะง่ายต่อการติดตามผู้สัมผัสมาตรวจและเฝ้าระวังโรคต่อไป ******************************** 1 ตุลาคม 2563 ********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35610
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สารคดีสั้น ตอน 1 กษัตริย์จอมทัพไทย
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 สารคดีสั้น ตอน 1 กษัตริย์จอมทัพไทย สารคดีสั้น ตอน 1 กษัตริย์จอมทัพไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35608
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะนายกรัฐมนตรี พบปะประชาชน และตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา "หมอกควันไฟป่า" ณ สำนักงานเทศบาลตำบลแม่ยาว จังหวัด​เชียงราย
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะนายกรัฐมนตรี พบปะประชาชน และตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา "หมอกควันไฟป่า" ณ สำนักงานเทศบาลตำบลแม่ยาว จังหวัด​เชียงราย รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะนายกรัฐมนตรี พบปะประชาชน และตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา "หมอกควันไฟป่า" ณ สำนักงานเทศบาลตำบลแม่ยาว จังหวัด​เชียงราย รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะนายกรัฐมนตรี พบปะประชาชน และตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา "หมอกควันไฟป่า"ณ สำนักงานเทศบาลตำบลแม่ยาว จังหวัด​เชียงราย วันนี้​ (24 กันยายน 2563)​ เวลา​ประมาณ​ 13.15 น.​ นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ พร้อมด้วยนายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ และคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ​ ลงพื้นที่ร่วมกับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ​ ในโอกาสพบปะประชาชนและตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา​ "หมอกควันไฟป่า" ณ​ สำนักงานเทศบาลตำบลแม่ยาว​ อำเภอเมืองเชียงราย​ จังหวัดเชียงราย​ โดยโอกาสนี้​ ได้รับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น​และข้อเสนอจากตัวแทนประชาชนในพื้นที่​จังหวัดเชียงราย อีกทั้งได้เยี่ยมชมนิทรรศการการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน​ ดังนี้ การบริหารจัดการพื้นที่ การทำปุ๋ยหมัก นำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาทำปุ๋ยหมักลดการเผา การเพาะเห็ดคืนป่า การใช้พลังงานทดแทน การจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรไปใช้ประโยชน์เป็นพลังงานชีวมวล การควบคุมการเกิดไฟ การทำป่าเปียก สร้างฝาย ปลูกหญ้าแฝก การทำฝายฟื้นฟูต้นน้ำตามแนวพระราชดำริ การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าการใช้ Drone อากาศยานไร้คนขับควบคุมระยะไกล ช่วยในการดับไฟใน กรณีที่คนไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ การแก้ไขปัญหาหมอกควัน การใช้เครื่องฟอกอากาศ DIY การใช้แอปพลิเคชันยักษ์ขาว ที่จะรายงานสถานการณ์ฝุ่นควัน PM 2.5 และร่วมกันปลูก “ต้นกาสะลองคำ” ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเชียงราย​ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนร่วม​ "ปลูกต้นไม้​ สู้ไฟ" ในโอกาสนี้ด้วย ทั้งนี้​การลงพื้นที่ในครั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน​ ปัญหาที่ดินทำกิน ทั้งในเรื่องปากท้อง​ เรื่องการประกอบอาชีพของประชาชนจังหวัดเชียงราย​ ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงขอให้ทุกคนเข้าใจถึงสถานการณ์และปฏิบัติตามแนวทางด้านสาธารณสุข พร้อมทั้งขอให้เชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล และทุกภาคส่วนที่มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาทำมาหากินได้อีกครั้ง ทุกคนต้องเรียนรู้ ต้องปรับตัวทั้งในการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพ และการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปในรูปแบบ New Normal ชีวิตวิถีใหม่ สำหรับการเรื่องการจัดสรรที่ดินทำกิน คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) จะเร่งรัดจัดสรรที่ดินทำกินให้กับกลุ่มชนเผ่าและชาติพันธุ์โดยเร็วที่สุด โดยให้ใช้หลักเกณฑ์ขั้นต้นของ คทช. ส่วนที่ขอเพิ่มเติมนั้น ขอให้รอให้มีการจัดที่ทำกินให้ทั่วถึงประชาชนที่ต้องการที่ดินทำกินทั้งหมดให้ทั่วถึงก่อน แล้วจะมีการพิจารณาในส่วนที่เพิ่มเติมต่อไป ด้านปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เป็นปัญหาที่เกิดซ้ำ ต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมมือกันอย่างจริงจังตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ปลูกป่า เพื่อให้ป่ามีความชุ่มชื้นส่งผลให้อากาศดี คุณภาพชีวิตดีขึ้นและแนวทางที่สำคัญคือจะต้องให้คนอยู่กับป่าให้ได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35616
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ เห็นชอบแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ปี พ.ศ. 2564 - 2565
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ เห็นชอบแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ปี พ.ศ. 2564 - 2565 รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ เห็นชอบแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ปี พ.ศ. 2564 - 2565 วันนี้ (1 ตุลาคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ ที่ประชุมรับทราบการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการที่อยู่ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช) ช่วงที่ผ่านมา ประกอบไปด้วย 1) การดำเนินงานของสถาบันพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ (Automotive Human Resource Developement Academy: AHRDA) ภายใต้วิสัยทัศน์ "พัฒนากำลังแรงงานด้านยานยนต์ไทยให้มีมาตรฐานสมรรถนะในระดับสากล" 2) การดำเนินงานของสถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Manufacturing Automation and Robotics Academy: MARA) เพื่อสอดรับนโยบายของรัฐบาลใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) 3) การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการบูรณาการระบบข้อมูลด้านแรงงานเพื่อรองรับการพัฒนากำลังคนในระดับชาติ ในการรวบรวมข้อมูลและจัดทำระบบเชื่อมโยงข้อมูลความต้องการกำลังแรงงาน แผนพัฒนากำลังแรงงาน และการฝึกอาชีพ ระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน และ 4) การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพจังหวัด (กพร.ปจ.) เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในภาพรวมของจังหวัด เพิ่มโอกาสในการทำงานในพื้นที่ นอกจากนี้ที่ประชุมได้พิจารณาวาระสำคัญ ได้แก่ แนวทางการจัดทำแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ปี พ.ศ. 2564 - 2565 ของหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการจัดการศึกษาและการฝึกอบรมของส่วนราชการ โดยอาศัยความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนให้สามารถผลิตและพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงพิจารณาแนวทางการพัฒนาอาชีพคนพิการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และการปรับปรุงองค์ประกอบและหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวความห่วงใยต่อสถานการณ์การว่างงาน ของภาคอุตสาหกรรม จากผลกระทบของ covid-19 และจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ได้กำชับให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงานเร่งขับเคลื่อนมาตรการพัฒนากำลังคนทุกระดับของประเทศ โดยจะต้องบูรณาการร่วมกันอย่างแน่นแฟ้น โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลิตแรงงานไทย รวมถึงส่งเสริมอาชีพคนพิการอย่างเป็นระบบให้สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมไทยในภาวะวิถีชีวิตใหม่ หรือ New Normal ต่อไป ........................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35596
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางการอนุญาตให้ผู้ที่ประสงค์จะพำนักในประเทศไทยในระยะเวลาสั้นและระยะยาวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นอย่างไร ??
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 แนวทางการอนุญาตให้ผู้ที่ประสงค์จะพำนักในประเทศไทยในระยะเวลาสั้นและระยะยาวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นอย่างไร ?? แนวทางการอนุญาตให้ผู้ที่ประสงค์จะพำนักในประเทศไทย เป็นอย่างไร ?? Q : แนวทางการอนุญาตให้ผู้ที่ประสงค์จะพำนักในประเทศไทยในระยะเวลาสั้นและระยะยาวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นอย่างไร ?? A : อยู่ในประเทศไทยได้ 60 วัน และสามารถขอต่อได้อีก 30 วัน โดยต้องมีบัญชีฝากย้อนหลัง 6 เดือน เทียบเป็นเงินไทยไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นผู้พิจารณาอนุญาต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35592
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน เฮ ปี 64 จัดงบฝึกทักษะอีกกว่า 1,740 ล้านบาท
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 แรงงาน เฮ ปี 64 จัดงบฝึกทักษะอีกกว่า 1,740 ล้านบาท รมช.แรงงาน ย้ำ งปม. 64 เริ่มแล้ว ขอเชิญชวนแรงงาน สมัครเข้ารับการพัฒนาทักษะ หรือสมัครทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติทุกสาขาอาชีพ เพื่อยกระดับมาตรฐานฝีมือรับอัตราค่าจ้างตามมาตรฐาน ปัจจุบันประกาศแล้ว 83 สาขาอาชีพ สุดสุด 815 บาทต่อวัน ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ในปี 64 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน ได้รับการจัดสรรจำนวน 1,742,087,000 ล้านบาท มีเป้าเหมายดำเนินการพัฒนาทักษะให้แก่กำลังแรงงานของประเทศจำนวนทั้งสิ้น 4,129,910 คน แบ่งเป็น การส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการดำเนินการพัฒนาทักษะลูกจ้างของตนเอง จำนวน 4,000,000 คน และดำเนินการเอง จำนวน 129,910 คน โดยจัดทำโครงการพัฒนากำลังคนสอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งด้านความมั่นคงด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และด้านการสร้างความเสมอภาคทางสังคม ตามแนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมช.แรงงาน กล่าวต่อไปว่า กพร. มีหน่วยงานกระจายอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อทำหน้าที่ในการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงานทุกกลุ่ม ทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ ซึ่งรวมถึงแรงงานที่อยู่ในภาคการเกษตรด้วย การฝึกอบรมนั้นมีหลักสูตรระยะสั้นและระยะยาว มีสาขาอาชีพให้เลือกตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะให้คำแนะนำอาชีพที่ตลาดแรงงานมีความต้องการ หรือต่อยอดสร้างรายได้ และเมื่อฝึกอบรมแล้วจะประสานกับกรมการจัดหางานในการหาตำแหน่งงานว่างให้แก่แรงงานที่ต้องการกลับเข้าสู่ระบบการจ้างงานแบบมีนายจ้าง แต่หากต้องการประกอบอาชีพอิสระแล้วไม่มีเงินทุน กพร. มีความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์หลายแห่งให้บริการสินเชื่อ โดยมี บสย.ค้ำประกันการกู้ยืมดังกล่าว ซึ่งจะช่วยให้แรงงานที่ผ่านการอบรม สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น จนสามารถประกอบอาชีพ มีรายได้ดูแลตนเองและครอบครัวต่อไป นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การฝึกอบรมนั้นมีตั้งแต่การฝึกทักษะให้กับแรงงานใหม่ที่ไม่มีความรู้พื้นฐานมาก่อน ในหลักสูตรเตรียมเข้าทำงาน มีระยะเวลาการฝึก 2-4 เดือน และฝากฝึกในสถานประกอบกิจการอีก 1-2 เดือน เพื่อฝึกภาคปฏิบัติเสริมสร้างประสบการณ์ในการทำงานจริง สำหรับแรงงานที่มีพื้นฐานความรู้ในสาขาที่เข้าฝึกอบรมบ้างแล้ว สามารถสมัครเข้าฝึกอบรมในหลักสูตรยกระดับฝีมือ ระยะเวลาการฝึกมีตั้งแต่ 18 ชั่วโมง ถึง 60 ชั่วโมง หรือกรณีที่เป็นผู้ว่างงาน แรงงานทั่วไป ที่ต้องการนำความรู้ไปประกอบอาชีพเสริม หรือประกอบอาชีพอิสระ หรือต้องการเปลี่ยนอาชีพ กพร. มีหลักสูตรการฝึกระยะสั้นๆ เพียง 3 วัน (18 ชั่วโมง) ส่วนใหญ่เป็นสาขาอาชีพที่สามารถรับเหมางาน หรือเป็นอาชีพอิสระ เช่น การประกอบอาหาร การทำขนม ช่างก่อสร้าง ช่างปูกระเบื้อง ช่างไฟฟ้า ช่างเครื่องปรับอากาศ ช่างเชื่อม เป็นต้น ปัจจุบันแต่ละจังหวัดได้ประกาศรับสมัครผู้สนใจเข้าฝึกอบรมแล้ว และจะเริ่มอบรมในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป อีกทั้งรอเงินงบประมาณที่กำลังจะโอนจัดสรรให้ด้วย โครงการที่จัดฝึกอบรมมีหลายโครงการที่สอดรับกับพื้นที่แต่ละจังหวัดด้วย อาทิ ทางภาคใต้จะมีโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและส่งเสริมศักยภาพพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน จัดโครงการฝึกอบรมความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชั้นสูง พัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ การพัฒนาทักษะแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และการพัฒนาทักษะแรงงานด้านการท่องเที่ยวและบริการ นอกจากนี้ ยังมีการฝึกเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงสร้างความเสมอภาคแก่แรงงานทุกกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย ผู้สนใจเข้ารับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อยกระดับมาตรฐานฝีมือให้ได้รับอัตราค่าจ้างอย่างเหมาะสม มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง สมัครฝึกอบรมได้ที่สถาบันหรือสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วไประเทศ หรือดูรายละเอียดที่ www.dsd.go.th เมนู สมัครฝึกอบรม หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือกองสื่อสารองค์กร กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 0 2245 4035
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35950
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา มอบนโยบายฟังการบรรยายสรุปผลงานวิจัยสำคัญของศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 รมช.มนัญญา มอบนโยบายฟังการบรรยายสรุปผลงานวิจัยสำคัญของศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ รมช.มนัญญา มอบนโยบายฟังการบรรยายสรุปผลงานวิจัยสำคัญของศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ พร้อมเยี่ยมชมแปลงพืชสวน ขับเคลื่อนงานวิจัยพืชสวนไทย ยกระดับผลผลิตการเกษตรไทยสู่สากล นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังกล่าวมอบนโยบายและรับฟังการบรรยายสรุปงานวิจัยของศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ ตำบลหนองไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ทั้งเรื่องของผลงานวิจัยที่ผ่านมา และผลงานวิจัยที่ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษกำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้ โดยมุ่งเน้นศึกษาวิจัยและพัฒนา เพื่อแก้ไขปัญหาการผลิตพืชสวนเศรษฐกิจ และพืชสวนสำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ว่า ผลการดำเนินงานสำคัญของศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ ในปี 2563 งานไม้ผล ได้แก่ มะม่วง และมะละกอ มีการปลูกคัดเลือก เปรียบเทียบพันธุ์ สามารถคัดเลือกได้สายพันธุ์ที่มีศักยภาพ ให้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี สามารถเสนอเป็นพันธุ์แนะนำได้ในอนาคต งานวิจัยพริก และมะเขือเทศ ได้แก่ พริกและมะเขือเทศ สามารถคัดเลือกได้สายพันธุ์ที่มีศักยภาพ ให้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี สามารถเสนอเป็นพันธุ์แนะนำได้ งานวิจัยไม้ดอก ได้แก่ บัวบริโภคเมล็ดสด สามารถคัดเลือกได้สายพันธุ์ที่มีศักยภาพ สามารถเสนอเป็นพันธุ์แนะนำได้ ทั้งนี้ศูนย์ฯ มีแปลงงานวิจัยพืชสวน 5 กลุ่ม ได้แก่ ไม้ผล พืชผัก ไม้ดอก พืชสมุนไพร และพืชสวนอุตสาหกรรม พร้อมเยี่ยมชมโรงเรือนปลูกคัดเลือกพันธุ์มะเขือเทศ จากนั้นได้ร่วมปล่อยพันธุ์ปลาลงสู่หนองชีร่วมกับผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นอกจากนี้ แผนการดำเนินงานในอนาคตของศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ จะมีการวิจัยเพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มคุณภาพผลผลิตหอมแดง เพื่อเป็นการยกระดับเศรษฐกิจให้พึ่งตนเอง ตัดวงจรการระบาดของโรคและลดต้นทุนการผลิตลง โดยใช้วิชาการเกษตรจากผลงานวิจัยในการจัดการแปลงหอมแดงให้ได้คุณภาพสูง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้เกษตรกร ลดต้นทุนการผลิต มีการจัดการผลิตหอมแดงที่เหมาะสม ผลผลิตมีคุณภาพสูง ปลอดภัย ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ช่วยยกระดับเศรษฐกิจให้พึ่งพาตนเองและการแข่งขัน นำไปสู่การผลิตหอมแดงปลอดภัยและหอมแดงอินทรีย์ รวมทั้งการขอจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เพื่อยกระดับผลผลิตสู่สากลอย่างแท้จริง และการวิจัยการผลิตกาแฟโรบัสตาคุณภาพแบบครบวงจร โดยจังหวัดศรีสะเกษเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการปลูกกาแฟโรบัสตา ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษได้ดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกาแฟโรบัสตาในแหล่งปลูกต่างๆ ด้วยการปลูกทดสอบพันธุ์กาแฟโรบัสตาพันธุ์ดีของกรมวิชาการเกษตรในพื้นที่ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ (อำเภอเมือง) และแปลงเกษตรกรในอำเภอขุนหาญ และอำเภอกันทรลักษณ์ พบว่า กาแฟมีการเจริญเติบโตดี เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็วภายในเวลาเพียง 2 ปี การตรวจสอบด้านการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน รวมถึงการทดสอบการชิม ด้านรสชาติและคุณภาพของเมล็ดกาแฟผ่านเกณฑ์ในขั้นที่ดี มีรสชาติที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น ทำให้เกษตรกรมีความมั่นใจในการปลูกกาแฟ และตลาดยังมีความต้องการในปริมาณที่มากขึ้นทุกปี ดังนั้นจึงได้นำร่องขยายผลการผลิตกาแฟคุณภาพ เป็นผลิตผลสู่พืชเศรษฐกิจใหม่ที่มีศักยภาพ และมีแนวโน้มจะสามารถพัฒนาเป็นสินค้าเฉพาะถิ่นได้ในอนาคต ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างงานในพื้นที่ สามารถปลูกทดแทนข้าวในพื้นที่นาดอน ลดการชดเชยความเสียหายจากการทำนา สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้นได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน นายธวัชชัย นิ่มกิ่งรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ กล่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ มีผลงานวิจัยพัฒนาปรับปรุงพันธุ์พืชที่ได้ผลงานพืชพันธุ์ใหม่แล้ว ทั้งสิ้น 14 พันธุ์ เป็นพันธุ์รับรอง จำนวน 4 พันธุ์ ได้แก่ มะม่วงหิมพานต์ 3 พันธุ์ (พันธุ์ศรีสะเกษ 60-1, พันธุ์ศรีสะเกษ 60-2, และพันธุ์ศรีสะเกษ 3) และมะขามเปรี้ยว 1 พันธุ์ (พันธุ์ศรีสะเกษ 1) เป็นพันธุ์แนะนำ จำนวน 10 พันธุ์ ได้แก่ มะขามเปรี้ยวพันธุ์ศรีสะเกษ 019 มะขามแก้วพันธุ์ศรีสะเกษ 007 มะละกอพันธุ์แขกดำศรีสะเกษ มะเขือเทศพันธุ์ศรีสะเกษ 1 พริกขี้หนูห้วยสีทนพันธุ์ศรีสะเกษ พริกขี้หนูห้วยผลใหญ่พันธุ์ศรีสะเกษ 1 (จินดา) พริกขี้หนูเลยพันธุ์ศรีสะเกษ 4 มะเขือเทศสีดาพันธุ์ศรีสะเกษ 2 มะละกอฮออลแลนด์พันธุ์ศรีสะเกษ และมะละกอพันธุ์ศรีสะเกษ 1 ซึ่งได้รับความนิยมจากเกษตรกรมาอย่างยาวนาน และศูนย์ฯ ยังรับผิดชอบในการผลิตพันธุ์พืชสวนพันธุ์ดี ทั้งในรูปกิ่งพันธุ์ดี/ต้นพันธุ์ดี ได้แก่ มะขามเปรี้ยว มะม่วง มะม่วงหิมพานต์ กาแฟโรบัสตา และเบญจมาศ เมล็ดพันธุ์ ได้แก่ มะละกอแขกดำศรีสะเกษ พริก มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะ มะเขือยาว ผักบุ้งจีน กะเพรา แมงลัก และโหระพา เพื่อจำหน่ายแจกจ่ายให้แก่เกษตรกร รวมกิ่งพันธุ์/ต้นพันธุ์ดี 5 ชนิด 32,000 ต้น เมล็ดพันธุ์ 10 ชนิด 600 กิโลกรัม ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ สังกัดสถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดิมชื่อ “สถานีทดลองพืชสวนศรีสะเกษ” เริ่มดำเนินการเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2517 ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 กรมวิชาการเกษตรได้ยกระดับจากสถานีฯ ขึ้นเป็น “ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ” สังกัดสถาบันวิจัยพืชสวน โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IFAD) และประเทศออสเตรเลีย เพื่อปรับปรุงระบบงานวิจัยและพัฒนาของศูนย์วิจัยพืชสวนทั้งประเทศ ให้มีการศึกษาวิจัยแบบสหสาขาวิชา ให้ได้ผลงานที่เป็นประโยชน์ สามารถแก้ไขปัญหาการเกษตรด้านพืชสวนของเกษตรกรทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35951
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยประเมินพิษโควิด-19 ทำรายได้หด เสี่ยงมีธุรกิจ “ซมไข้ยาวนาน” มากถึง 26% ของกิจการทั้งหมดในปี 2565
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 กรุงไทยประเมินพิษโควิด-19 ทำรายได้หด เสี่ยงมีธุรกิจ “ซมไข้ยาวนาน” มากถึง 26% ของกิจการทั้งหมดในปี 2565 ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินยอดขายของภาคธุรกิจไทยในปี 2563 หดตัวลึก 9.0% และฟื้นตัวจำกัดในปี 2564-2565 ชี้เป็นปัจจัยกดดันความสามารถชำระหนี้ และเสี่ยงทำให้มีธุรกิจ “ซมไข้ยาวนาน” เพิ่มจาก 9.5% ของกิจการทั้งหมดในปี 2562 เป็น 26% ภายในปี 2565 ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินยอดขายของภาคธุรกิจไทยในปี 2563 หดตัวลึก 9.0% และฟื้นตัวจำกัดในปี 2564-2565 ชี้เป็นปัจจัยกดดันความสามารถชำระหนี้ และเสี่ยงทำให้มีธุรกิจ “ซมไข้ยาวนาน” เพิ่มจาก 9.5% ของกิจการทั้งหมดในปี 2562 เป็น 26% ภายในปี 2565 จับตาธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้รับผลกระทบมาก แนะดำเนินนโยบายช่วยเหลือที่เฉพาะเจาะจงหลังมาตรการช่วยเหลือเป็นการทั่วไปสิ้นสุด ป้องกันปัญหา Moral Hazard และมุ่งสนับสนุนการปรับตัวที่สอดรับกับบริบท New Normal ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่าปี 2564 จะยังเป็นปีที่ธุรกิจไทยเผชิญความท้าทายแม้สถานการณ์โควิด-19 จะดีขึ้น โดยคาดว่ายอดขายที่หดตัวมากถึง 9.0% ในปี 2563 จะยังต่ำกว่าระดับปกติในปี 2564 เป็นปัจจัยกดดันความสามารถในการชำระหนี้ หลังมาตรการพักชำระหนี้เป็นการทั่วไปสิ้นสุดลง ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลงบการเงินในระดับรายบริษัทกว่า 2 แสนราย พบว่าอัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio: ICR) ซึ่งสะท้อนว่ากิจการมีกำไรจากการดำเนินงานเพียงพอที่จะจ่ายภาระดอกเบี้ยมากน้อยแค่ไหน ในภาพรวมจะลดลงจาก 3.62 เท่า ในปี 2562 มาอยู่ที่ 3.11 เท่า ในปี 2563 และจะใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี ถึงจะกลับไปสู่ระดับเดิม นอกจากนั้น กิจการที่มีกำไรจากการดำเนินงานไม่เพียงพอจ่ายดอกเบี้ย หรือมี ICR ต่ำกว่า 1 เท่า จะมีสัดส่วนมากถึง 28-30% ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า “สถานการณ์เศรษฐกิจซบเซาที่มีแนวโน้มลากยาว อาจส่งผลให้กิจการ “ซมไข้ยาวนาน” หรือ กิจการที่มี ICR ต่ำกว่า 1 เท่า ติดต่อกันเป็นเวลา 3 รอบปีบัญชี มีจำนวนเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เคยอยู่ที่ 9.5% ของกิจการทั้งหมด ในปี 2562 เป็น 14% ของกิจการทั้งหมดในปี 2563 และจะพุ่งสูงขึ้นเป็น 26% ภายในปี 2565” นายณัฐพร ศรีทอง นักวิเคราะห์ กล่าวว่าต้องจับตามองธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นพิเศษ หลังพบว่าเป็นธุรกิจที่มีกิจการ “ซมไข้ยาวนาน” ในปี 2563 มากถึง 29% และ 26% ของกิจการทั้งหมด ตามลำดับ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 48% และ 38% ภายในปี 2565 ได้หากไม่มีการช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งนี้ ยังขึ้นอยู่กับแนวโน้มการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและพัฒนาการของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะมีผลต่อธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร และแนวโน้มกำลังซื้อในประเทศ ภาวะการมีงานทำ รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน เพราะจะกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯ โดยตรง นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายธุรกิจที่จะมีจำนวนกิจการ “ซมไข้ยาวนาน” สูงกว่าค่าเฉลี่ย เช่น ธุรกิจสื่อและบันเทิง ธุรกิจเครื่องหนัง ธุรกิจเครื่องสำอาง และธุรกิจสิ่งทอ เป็นต้น ดร.ชัยสิทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ นักวิเคราะห์ กล่าวสรุปว่าการจัดการกับกิจการ “ซมไข้ยาวนาน” ที่จะเพิ่มมากขึ้นคือโจทย์ท้าทายในระยะข้างหน้า ซึ่งการดำเนินนโยบายต่างๆ จำเป็นต้องมีความเฉพาะเจาะจง โดยคำนึงถึงพื้นฐานทางการเงินของกิจการ และศักยภาพการกลับมาฟื้นตัวของธุรกิจ รวมถึงต้องคำนึงถึงการป้องกันปัญหา Moral Hazard ที่อาจจะตามมาได้ อีกทั้ง ควรให้การสนับสนุนในมิติอื่นๆ นอกเหนือจากเงินทุน ควบคู่ไปด้วย เช่น การยกเครื่องธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัล ควบคู่กับการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจปรับตัวเพื่อแสวงหาโอกาสในตลาดศักยภาพใหม่ๆ ลดต้นทุน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่สอดรับกับบริบท New Normal อย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35955
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล โดย วธ. จัดงาน “ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 รัฐบาล โดย วธ. จัดงาน “ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ รัฐบาล โดย วธ. จัดงาน “ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ จัดแสดงนิทรรศการ-การแสดงศิลปวัฒนธรรม-ประกวดร้องเพลงพระราชนิพนธ์ ตั้งแต่บัดนี้ถึง ๑๘ ต.ค.๖๓ รัฐบาล โดย วธ. จัดงาน “ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ จัดแสดงนิทรรศการ-การแสดงศิลปวัฒนธรรม-ประกวดร้องเพลงพระราชนิพนธ์ ตั้งแต่บัดนี้ถึง ๑๘ ต.ค.๖๓ วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ พร้อมทั้งชมการแสดง ชุด อาศิรวาทราชสดุดีพระภูมีองค์ภูมิพล จากกรมศิลปากร การแสดงศิลปะวาดทราย “รำลึกจากดินสู่ฟ้า” โดย อาจารย์ก้องเกียรติ กองจันดี ศิลปินวาดทรายประกอบการขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ ความฝันอันสูงสุด แผ่นดินของเรา และ ใกล้รุ่ง จาก ผิงผิง สรวีย์ แชมป์จากรายการ The Golden Song ซีซั่น ๒ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายวัฒนธรรม เข้าร่วมงาน ณ ไลฟ์สไตล์ ฮอลล์ ชั้น ๒ ศูนย์การค้าสยามพารากอน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาล มอบหมายให้ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ ซึ่ง วธ. มีนโยบายและยุทธศาสตร์หลักในการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างค่านิยม อัตลักษณ์ไทยและความเป็นไทย รวมทั้งอนุรักษ์สืบทอดและต่อยอดมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของไทย จึงบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายทางวัฒนธรรม และภาคประชาชน จัดงาน “ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ ระหว่างวันที่ ๑๒ – ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ ณ ไลฟ์สไตล์ ฮอลล์ ชั้น ๒ ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ รวมทั้งเพื่อเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปได้ศึกษา เรียนรู้ ตามรอยศาสตร์พระราชา และปฏิบัติตามรอยพระยุคลบาท อีกทั้งเป็นการร่วมแสดงพลังความรัก ความสามัคคี และความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นายวิษณุ กล่าวอีกว่า สำหรับกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การจัดแสดงนิทรรศการ “ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยจัดแสดงนิทรรศการแบ่งเป็น ๖ โซน ได้แก่ โซนที่ ๑ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจ โซนที่ ๒ อัครศิลปิน จัดแสดงภาพถ่ายและภาพวาดฝีพระหัตถ์ หนังสือพระราชนิพนธ์ และโน้ตดนตรีพระราชนิพนธ์ ซึ่งจะมีไฮไลท์ คือ การจัดแสดงภาพวาดฝีพระหัตถ์องค์จริง ที่หาชมได้ยาก โซนที่ ๓ จัดแสดงเพลงพระราชนิพนธ์ โดยให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ฟังเพลงผ่านเทคนิคซาวด์โดม (Sound Dome System) โซนที่ ๔ นิทรรศการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โครงการในพระราชดำริ อาทิ โครงการฝนหลวง โครงการแก้มลิง โครงการแกล้งดิน โครงการหลวงพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเขา โครงการหน่วยแพทย์พระราชทาน เป็นต้น โดยจัดในแสดงระบบ infographic touch screen โซนที่ ๕ ปณิธานตามรอยเท้าพ่อ จัดแสดงในระบบ write digital on cloud ให้ผู้เข้าร่วมงานได้เขียนปณิธานการทำความดีสืบสานคำสอนของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “พ่อของแผ่นดิน” และโซนที่ ๖ เวทีการแสดงศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ การขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ โดยศิลปินรับเชิญ และการประกวดร้องเพลงพระราชนิพนธ์ นอกจากนี้ มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ ๑๓ – ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ ได้แก่ การขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ โดยศิลปินรับเชิญ อาทิ สปาย ภาสกรณ์ รุ่งเรืองเดชาภัทร์ The Golden Song ss๑ อลิส ธนัสลักษณ์ ฮัดสัน The Golden Song ss๒ และเอฟ รัฐพงศ์ ปิติชาญ The Golden Song ss๒ การประกวดร้องเพลงพระราชนิพนธ์ แบ่งเป็นรุ่นเยาวชนอายุไม่เกิน ๑๒ ปี และรุ่นเยาวชนอายุ ๑๓ – ๑๘ ปี โดยรางวัลชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัล ๕,๐๐๐ บาท พร้อมเกียรติบัตรจากกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับของที่ระลึก ได้แก่ ภาพถ่ายระลึกเนื่องในนิทรรศการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และหนังสือทศรัชบรมราชจักรีวงศ์ หนังสือศาสตร์พระราชาภาพถ่ายแสงและเงา (มีจำนวนจำกัด) สอบถามรายละเอียดสายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ หรือเว็บไซต์ www.m-culture.go.th --------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35959
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9 กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2563 นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมด้วยพนักงานข้าราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35945
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วม อว.จัดรับฟังความคิดเห็นแผนยุทธศาสตร์ ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 ดีอีเอส ร่วม อว.จัดรับฟังความคิดเห็นแผนยุทธศาสตร์ ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ดีอีเอส ร่วม อว.จัดรับฟังความคิดเห็นแผนยุทธศาสตร์ ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เมื่ออังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2563 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานการประชุมหารือเรื่อง นโยบาย AI เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI (Artificial Intelligence) เป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ( อว.) กับกระทรวงดิจิทัลฯ จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นแผนยุทธศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ซึ่งมีผู้แทนจากภาครัฐ และเอกชน ได้แก่ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ สพร. สภาดิจิทัล สภาโทรคมนาคม สมาคม AI เป็นต้น เพื่อหารือยุทธศาสตร์ AI กลไกขับเคลื่อน แผนงานสำคัญ และหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน ณ ห้องประชุม 802 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35965
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แจงไทยยังน่าลงทุน
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แจงไทยยังน่าลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แจงไทยยังน่าลงทุน วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2563 นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ชี้แจงข้อเท็จจริง จากที่มีการวิจารณ์ทิศทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้บริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตจากไทยไปประเทศเพื่อนบ้าน ว่า แม้ที่ผ่านมามีการย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติด้วยเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าหรือต้นทุนการผลิตในแหล่งผลิตเดิมที่สูงเกินไป ประเทศไทยยังคงเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่สำคัญของอาเซียน ที่บริษัทข้ามชาติให้ความสนใจ เช่น ความเข้มแข็งของ Supply Chain ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อาหาร ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และการแพทย์ ทำเลที่ตั้งอันเป็นยุทธศาสตร์ซึ่งสนับสนุนด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ ซึ่งจะเสริมบทบาทของไทยในฐานะ Logistics Hub อย่างมีนัยสำคัญ จากการสำรวจของบีโอไอ พบว่าโครงการลงทุนจากต่างประเทศที่ย้ายฐานการผลิตมาไทยที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนระหว่างกรกฎาคม 2561-30 กันยายน 2563 มีทั้งสิ้น 170 บริษัท เม็ดเงินลงทุนประมาณหนึ่งแสนล้าน นักลงทุนเหล่านี้มาจากหลากหลายประเทศ เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และยุโรป ทั้งนี้ ประมาณร้อยละ 90 มาจากจีน ไต้หวันและฮ่องกง สาขาอุตสาหกรรมหลักที่รองรับการลงทุนเหล่านี้ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ชิ้นส่วนยานยนต์ และผลิตภัณฑ์โลหะ บีโอไอได้กำหนดมาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นการลงทุน โดยให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปีหลังจากสิ้นสุดระยะเวลายกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ยังคงให้ความสำคัญแก่การลงทุนที่จะรองรับการสร้างฐานรายได้ใหม่หรืออุตสาหกรรมและบริการที่จะเป็นอนาคตของประเทศไทยได้ ปรับรูปแบบกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุนให้ทันสมัยอยู่เสมอ เช่น การเปิดประเภทกิจการโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดสมัยใหม่ การออกมาตรการสนับสนุนแนวทาง BCG (Bio, Circular, Green Economy) และ การออกมาตรการระยะสั้นเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น มาตรการเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ มาตรการปรับเปลี่ยนสายการผลิตเดิมเพื่อผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน ซึ่งส่งผลให้ตัวเลขขอรับส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมี 52 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 174 มูลค่าเงินลงทุนรวม 13,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 123 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และให้ความสำคัญเรื่องมาตรการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างต่อเนื่องโดยบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนมีการลงทุนด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมจากบีโอไอ ส่วนมาตรการสนับสนุนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและบริการก็ยังจำเป็นต้องดำเนินการต่อไปเพราะจะมีบทบาทสำคัญในการปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการให้แข่งขันได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการนำระบบดิจิทัลและระบบอัตโนมัติมาใช้ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าสามารถจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เป็นอย่างดีและไม่กระทบต่อการดำเนินงานของภาคอุตสาหกรรม โรงงานไม่ต้องหยุดการผลิตเหมือนที่เกิดขึ้นในบางประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นและได้มีการโยกย้ายยอดสั่งซื้อมาประเทศไทยสำหรับอุตสาหกรรมที่ความต้องการยังขยายตัวและต้องการแหล่งผลิตที่คล่องตัว ......................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35949
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อสุขอนามัยที่ดี
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 ปรับพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อสุขอนามัยที่ดี มีวิธีการอย่างไรบ้างนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35938
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานเปิดงานการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นเรื่องแนวทางและหลักเกณฑ์การจัดสรรทุนสำหรับปีงบประมาณ ๒๕๖๔ “TMF Public Hearing:Grants for Change 2021”
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 ปลัดวธ.เป็นประธานเปิดงานการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นเรื่องแนวทางและหลักเกณฑ์การจัดสรรทุนสำหรับปีงบประมาณ ๒๕๖๔ “TMF Public Hearing:Grants for Change 2021” ปลัดวธ.เป็นประธานเปิดงานการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นเรื่องแนวทางและหลักเกณฑ์การจัดสรรทุนสำหรับปีงบประมาณ ๒๕๖๔ “TMF Public Hearing:Grants for Change 2021” วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงานการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นเรื่องแนวทางและหลักเกณฑ์การจัดสรรทุนสำหรับปีงบประมาณ ๒๕๖๔ “TMF Public Hearing:Grants for Change 2021” โดยมี ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อมวลชน ด้านสุขภาพจิต ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านการศึกษา ผู้ผลิตสื่อ สื่อมวลชน และผู้สนใจ เข้าร่วมงาน ณ ห้องวิภาวดี บอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35957
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-13 - 18 ต.ค. นี้ พม. เชิญชมนิทรรศการพระบรมฉายาลักษณ์ “คนดี...เข้มแข็งในความดี” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 13 - 18 ต.ค. นี้ พม. เชิญชมนิทรรศการพระบรมฉายาลักษณ์ “คนดี...เข้มแข็งในความดี” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 13 - 18 ต.ค. นี้ พม. เชิญชมนิทรรศการพระบรมฉายาลักษณ์ “คนดี...เข้มแข็งในความดี” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 วันที่ 13 ต.ค. 63เวลา 11.00 น. ที่บริเวณลานกิจกรรม AVENUE ชั้น G โซน A ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ (MBK Center) นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานแสดงนิทรรศการพระบรมฉายาลักษณ์ “คนดี...เข้มแข็งในความดี” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชบรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 18 ตุลาคม 2563 โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. และบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) นางพัชรี กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจหลักในการพัฒนาสังคม สร้างความเป็นธรรมและความเสมอภาคในสังคม รวมทั้งการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความมั่นคงในชีวิตของประชาชนกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชบรมนาถบพิตร ทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนาเพื่อความยั่งยืนตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี ที่ทรงครองราชย์และทรงงานหนักเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแก่พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้พระราชกรณียกิจและพระอัจฉริยภาพของพระองค์เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP)ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล"ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์" (UNDP Human Development Lifetime Achievement Award) เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549 นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชบรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม ในวันนี้ กระทรวง พม. จึงได้จัดงานแสดงนิทรรศการภาพถ่าย “คนดี...เข้มแข็งในความดี” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ ที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์สุขที่ยั่งยืนแก่พสกนิกรชาวไทยทุกคน และเป็นการเผยแพร่พระเกียรติคุณให้ประชาชนได้รับรู้และตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ เพื่อน้อมนำเป็นต้นแบบการทำคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของสังคมและประเทศชาติ ตลอดจนเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตที่ดีต่อไป นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจร่วมชมงานแสดงนิทรรศการพระบรมฉายาลักษณ์ “คนดี...เข้มแข็งในความดี” ระหว่างวันที่ 13 – 18 ตุลาคม 2563 เวลา 10.00 - 20.00 น. ที่บริเวณลานกิจกรรม AVENUE ชั้น G โซน A ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ (MBK Center) โดยจะมีการนำเสนอพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชบรมนาถบพิตร ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวง พม. ซึ่งเป็นภาพที่หายากและไม่เคยจัดแสดงมาก่อน โดยแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ 1) โซนพระราชประวัติ 2) โซนชาวไทยภูเขา 3) โซนนิคมสร้างตนเอง และ 4) โซนกำเนิดงานสังคมสงเคราะห์ (วาตภัยแหลมตะลุมพุก) นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ และการระบายภาพในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกทั้งการแจกเหรียญที่ระลึก 2 รัชกาล (ร. 5 และ ร.9) จำนวนจำกัด โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35939
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งหารือจัดทำแผนแม่บทด้านการส่งเสริมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2564-2568
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งหารือจัดทำแผนแม่บทด้านการส่งเสริมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2564-2568 กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งหารือจัดทำแผนแม่บทด้านการส่งเสริมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2564-2568 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการ ประชุม Kick Off การจัดทำแผนแม่บทการดำเนินงานด้านการส่งเสริมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2564-2568 ภายใต้โครงการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ณ ห้องประชุม 702 ชั้น 7 กระทรวงดิจิทัลฯ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ โดยการประชุมครั้งนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินกิจกรรมจัดทำแผนแม่บทฯ ซึ่งต้องสอดคล้องกับนโยบาย ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนระดับชาติที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมีมาตรการแก้ไขปัญหาอุปสรรคการปฏิบัติการตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนระดับชาติดังกล่าว ตลอดจนการกำหนดเป้าหมาย ทิศทางการดำเนินงานที่สอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เหมาะสมกับแนวทางการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในระดับสากล ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35940
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมในวันนี้ โดยเฉพาะเยาวชนและนักศึกษา ขอให้พ่อแม่ ผู้ปกครองเรียกลูกหลานกลับบ้าน เพื่อความปลอดภัย
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมในวันนี้ โดยเฉพาะเยาวชนและนักศึกษา ขอให้พ่อแม่ ผู้ปกครองเรียกลูกหลานกลับบ้าน เพื่อความปลอดภัย นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมในวันนี้ โดยเฉพาะเยาวชนและนักศึกษา ขอให้พ่อแม่ ผู้ปกครองเรียกลูกหลานกลับบ้าน เพื่อความปลอดภัย วันที่ 14 ต.ค.63 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แสดงความห่วงใยผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมในวันนี้โดยเฉพาะเยาวชนและนักศึกษา จึงขอให้พ่อแม่ ผู้ปกครองได้เรียกลูกหลานกลับบ้าน เพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมมอบนโยบายกระทรวงการคลัง
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 การประชุมมอบนโยบายกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังเพื่อมอบนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยรับทราบการรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2563 และแนวโน้มของเศรษฐกิจในปี 2564 โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังเพื่อมอบนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยรับทราบการรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2563 และแนวโน้มของเศรษฐกิจในปี 2564 โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะภาคการส่งออก ภาคบริการ และการท่องเที่ยว โดยคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อเยียวยาและช่วยเหลือประชาชนกลุ่มต่างๆ อย่างเร่งด่วนเพิ่มขึ้น นับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการดำเนินนโยบายการคลัง ที่จะต้องบริหารจัดการให้อยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่เหมาะสม โดยจะต้องมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้นในเรื่องการประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีค่อนข้างมาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงนโยบายการคลังที่จะเน้นการประสานนโยบายและมาตรการภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังอย่างยั่งยืน (Fiscal Sustainability) (1) ในระยะสั้นจะให้ความสำคัญกับการบริหารภาพรวมเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวโดยเร็ว ได้แก่ การขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบตามมติของคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากการระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 โดยเฉพาะเรื่องเร่งด่วน คือ การกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนภายในประเทศ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องของภาคธุรกิจต่างๆ (1.1) การแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของทั้งภาคธุรกิจเอกชนและภาคประชาชน โดยเฉพาะกลุ่ม SME เช่น มาตรการ Soft loan การเร่งรัดการปรับโครงสร้างหนี้ รวมถึงมาตรการการพักชำระหนี้ในระยะต่อไป โดยกระทรวงการคลังต้องประสานธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในระยะต่อไป (1.2) การเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนในกลุ่มต่างๆ ผ่านมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไปแล้ว เช่น การให้เงินช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการคนละครึ่ง ควรเร่งรัดให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ภายใต้กรอบระยะเวลาที่กำหนด (1.3) มาตรการรองรับปัญหาการว่างงานอันเกิดจากวิกฤตโควิด-19 โดยต้องพยายามให้เอกชนรักษาการจ้างงานขององค์กรไว้ให้ได้มากที่สุด โดยขณะนี้รัฐบาลได้อนุมัติโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชนไว้แล้ว (1.4) การสร้างความเข้มแข็งฐานะการคลังอย่างยั่งยืน ดูแลกระแสเงินสดของภาครัฐ ให้เพียงพอต่อการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับการจัดเก็บรายได้ ให้ได้ตามเป้าหมาย รวมทั้งการหารายได้เพิ่มจากรายได้ที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tax revenue) จากทรัพย์สินของรัฐ รายได้จากรัฐวิสาหกิจ รวมถึงเงินนอกงบประมาณต่างๆ ที่ไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ ควรต้องนำกลับมาช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาล (1.5) เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 2564 ทั้งงบประมาณรายจ่ายและงบลงทุนโดยเฉพาะงบการจัดประชุมสัมมนาในต่างจังหวัดซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคได้ รวมถึงการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เพื่อเร่งนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็วที่สุด (2) สำหรับมาตรการระยะปานกลาง เป้าหมายคือการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและดูแลให้เศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาเติบโตได้ตามศักยภาพหลังจากวิกฤตโควิด-19 โดยให้ความสำคัญในการปรับโครงสร้างการคลังของประเทศทั้งในส่วนของรายได้และรายจ่าย เช่น การจัดเก็บภาษี E-commerce, Online-trade และ E-logistics เป็นต้น โดยมีประเด็นเร่งด่วน คือ การเตรียมมาตรการฟื้นฟูหลังเศรษฐกิจเปิด (Reopening economy) ทั้งมาตรการด้านการเงินการคลังเพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าว และการเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติที่ได้รับการอนุมัติแล้ว รวมทั้งการจัดแหล่งเงินลงทุน (Financing infrastructure) ที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการ เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐในระยะต่อไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มอบนโยบายในการทำงานแก่ผู้บริหารกระทรวงการคลังดังนี้ (1) ต้องมุ่งเน้นหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใส กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่ดูแลรายรับ รายจ่ายและงบการเงินของประเทศ จึงต้องมีมาตราฐานการเงินการคลังตามมาตรฐานสากล จะต้องตรวจสอบได้และมีความโปร่งใส (2) จะต้องรอบคอบภายใต้กรอบวินัยการคลังของประเทศ และกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (3) จะต้องประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านการคลัง ด้านการเงิน ด้านตลาดทุน ที่ดูแลด้านปฏิบัติ ด้านกำกับดูแล ด้านนโยบายในภาพรวม ส่วนในระดับมหภาคหรือในภาพรวมต้องหารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารเศรษฐกิจมหภาค ได้แก่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35952
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรงในท้องที่เขตกรุงเทพมหานคร
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรงในท้องที่เขตกรุงเทพมหานคร นายกรัฐมนตรีออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในท้องที่เขตกรุงเทพมหานคร วันนี้ (15 ตุลาคม 2563) เวลา 04.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในท้องที่เขตกรุงเทพมหานคร ดังนี้ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในท้องที่เขตกรุงเทพมหานคร --------------------------- โดยที่ปรากฏว่ามีบุคคลหลายกลุ่มได้เชิญชวน ปลุกระดม และดำเนินการให้มีการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะขึ้นในกรุงเทพมหานคร โดยใช้วิธีการและช่องทางต่าง ๆ ก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายและความไม่สงบเรียบร้อยของประชาชน มีการกระทำที่กระทบต่อขบวนเสด็จพระราชดำเนิน มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำที่มีความรุนแรงกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล อันมิใช่การชุมนุมโดยสงบ ที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งยังกระทบโดยตรงต่อสัมฤทธิผลของมาตรการควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อันส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในภาวะเปราะบาง กรณีจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการเร่งด่วน เพื่อแก้ไขกรณีดังกล่าวให้ยุติได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงทีเพื่อให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย และรักษาความสงบเรียบร้อยและประโยชน์ส่วนรวม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 และมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 นายกรัฐมนตรีจึงให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เวลา 0400 นาฬิกา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35973
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. พร้อมด้วยเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานในพิธีสวดพระพุทธมนต์ ถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 รมว.วธ. พร้อมด้วยเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานในพิธีสวดพระพุทธมนต์ ถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รมว.วธ. พร้อมด้วยเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานในพิธีสวดพระพุทธมนต์ ถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานในพิธีสวดพระพุทธมนต์ ถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ โดยมี นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม และประชาชน เข้าร่วมพิธี ณ พระอุโบสถ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ​ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดพิธีสวดพระพุทธมนต์ ถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ โดยจัดพิธี สวดพระพุทธมนต์ ณ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ และจัดกิจกรรมปฏิบัติธรรม ถวายพระราชกุศล ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ยังร่วมกับองค์กรเครือข่าย ๕ ศาสนา ได้แก่ พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และ ซิกข์ จัดกิจกรรมทางศาสนาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ณ ศาสนสถานของแต่ละศาสนาด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35962
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพส. อวดเบิกจ่ายงบลงทุนไตรมาส 3 ได้เกินเป้า 181 % พร้อมจัดสัมมนาต่างจังหวัดสิ้นเดือนนี้ ตามนโยบาย รมว.คลัง
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 ธพส. อวดเบิกจ่ายงบลงทุนไตรมาส 3 ได้เกินเป้า 181 % พร้อมจัดสัมมนาต่างจังหวัดสิ้นเดือนนี้ ตามนโยบาย รมว.คลัง ธพส.รับนโยบายการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจภาพรวมจาก รมว.คลัง ชูผลเบิกจ่ายงบลงทุน เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณไตรมาส 3 เกินเป้า พร้อมจัดสัมมนากระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวภายในประเทศ ตามนโยบายรัฐบาล ระหว่างวันที่ 23-24 ตุลาคมนี้ ณ จ.เชียงใหม่ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) รับนโยบายการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจภาพรวมจาก นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชูผลเบิกจ่ายงบลงทุน เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณไตรมาส 3 เกินเป้า พร้อมจัดสัมมนากระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวภายในประเทศ ตามนโยบายรัฐบาล ระหว่างวันที่ 23-24 ตุลาคมนี้ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด กล่าวว่า ธพส. ได้เข้ารับนโยบายการดำเนินงานเร่งด่วนจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ โดยเน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจภาพรวม ดูแลภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและระบบฐานรากภายในประเทศ จึงให้ความสำคัญกับการบริหารภาพรวมเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวโดยเร็ว เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน เพื่อให้กระแสเม็ดเงินไหลเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ธพส. สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนที่ได้รับอนุมัติจาก สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจำนวน 429 ล้านบาท ได้มากกว่าที่ตั้งไว้ถึง 181 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงบลงทุนในการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ โซนซี กว่า 160 ล้านบาท นอกจากนี้ เพื่อสนองนโยบายจากภาครัฐ ธพส. ยังเตรียมจัดสัมมนาเพื่อถ่ายทอดนโยบายการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2564 ให้แก่พนักงาน ณ จังหวัดเชียงใหม่ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวภายในประเทศ ระหว่างวันที่ 23-24 ตุลาคม นี้ อีกด้วย ส่วนประชาสัมพันธ์ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) โทร. 0 2142 2264
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35958
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ติดตามการดำเนินงานซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ พบปะลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 รมช.มนัญญา ติดตามการดำเนินงานซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ พบปะลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน รมช.มนัญญา ติดตามการดำเนินงานซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ พบปะลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน ชูกลไกสหกรณ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก สร้างความมั่นคงทางอาชีพ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ กล่าวมอบนโยบายและตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรเมืองศรีสะเกษ จำกัด อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมเยี่ยมชมการดำเนินงานซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ พบปะสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรรุ่นใหม่ที่สมัครเข้าร่วมโครงการ นำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตรของจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมมอบเงินสนับสนุนกลุ่มอาชีพผู้ปลูกทุเรียนภูเขาไฟคุณภาพ สังกัด สหกรณ์ผู้ปลูกพืชผักผลไม้กันทรลักษ์ จำกัด และกลุ่มอาชีพเครือข่ายผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ สังกัด กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงสัตว์ไฮเลิง รมช.มนัญญา เปิดเผยภายหลังติดตามการดำเนินงานซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ว่า สหกรณ์การเกษตรเมืองศรีสะเกษ จำกัด ได้ดำเนินธุรกิจร้านค้าสหกรณ์ในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ จำหน่ายสินค้าจากสหกรณ์ สมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรเครือข่าย 7 แห่ง ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. จำกัด สหกรณ์การเกษตรพยุห์ จำกัด สหกรณ์การเกษตรปรางค์กู่ จำกัด สหกรณ์การเกษตรยางชุมน้อย จำกัด สหกรณ์การเกษตรปฏิรูปที่ดินกันทรลักษณ์ จำกัด กลุ่มเกษตรกรไฮเลิง และกลุ่มอาชีพในพื้นที่ คทช. สังกัดสหกรณ์การเกษตรขุขันธ์ จำกัด ช่วยพัฒนาการดำเนินธุรกิจของร้านค้าสหกรณ์มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันได้ ผู้ผลิตมีช่องทางการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรที่แน่นอน ลดความเสี่ยงด้านการตลาดของเกษตรกรสมาชิก โดยใช้ระบบสหกรณ์เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกสหกรณ์ และเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งผู้บริโภคได้สินค้าที่มีคุณภาพ ราคาเป็นธรรม มีความสด ใหม่ สะอาด ปลอดสารเคมี อาทิ ไข่ไก่ ผักผลไม้สด หอมแดง กระเทียม เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ผลผลิตด้านประมง เป็นต้น ตั้งแต่เริ่มโครงการมียอดจำหน่ายสินค้ามากกว่า 6 แสนบาท จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมชมนิทรรศการและการจัดแสดงและจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร และสินค้าแปรรูป พร้อมทั้งพบปะผู้แทนเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร จำนวน 6 ราย ทั้งนี้ในจังหวัดศรีสะเกษ มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 293 ราย มีสหกรณ์สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 22 แห่ง รวมทั้งสหกรณ์การเกษตรเมืองศรีสะเกษ จำกัด มีผู้สมัครทั่วประเทศ 7,573 ราย ที่ผ่านมา สำนักงานสหกรณ์จังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดการประชุมชี้แจงและจัดโครงการฝึกอบรมและศึกษาดูงาน โครงการสร้างเครือข่ายลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพทางการเกษตร เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเรียนรู้ร่วมกัน รวมทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตรต่าง ๆ ตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ด้านการเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ เทคโนโลยีการผลิต การปลูกผักอินทรีย์ การสร้างเครือข่ายและการตลาด ด้านการเกษตรผสมผสานและเกษตรทฤษฎีใหม่ การแบ่งที่ดินทำกินที่มีทรัพยากรจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเกษตรด้านปศุสัตว์ เทคนิคการผลิตอาหาร ลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งการสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาอาชีพการเกษตรอีกด้วย นายภัทรศักดิ์ หนองหงอก อายุ 37 ปี เป็นหนึ่งในผู้สมัครเข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร กล่าวว่า ปัจจุบันตนเองประกอบอาชีพรับราชการเป็นพยาบาลวิชาชีพ จะใช้ช่วงวันหยุดมาทำการเกษตรเพื่อสืบทอดเจตนารมย์ของบิดามารดา โดยทำการเกษตรแบบผสมผสาน ปลูกพืชเศรษฐกิจหลากหลายชนิด บนเนื้อที่ 14 ไร่ในอำเภอกันทรลักษณ์ ปลูกผลไม้ เช่น ทุเรียน โกโก้ ฝรั่ง และเลี้ยงโคพันธุ์บราห์มันเลือดร้อย และในอนาคตวางแผนพัฒนาแล่งน้ำ ระบบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดต้นทุนการผลิต ด้าน นางสาวอารยา สุขวงศ์ อายุ 40 ปี จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ กล่าวว่า เดิมตนเองทำงานในบริษัทเอกชน ตัดสินใจลาออกจากงานกลับมาประกอบอาชีพทำการเกษตร บนเนื้อที่ 3 ไร่ในพื้นที่อำเภอน้ำเกลี้ยง จำนวน 1 ไร่ และอำเภอเมือง จำนวน 2 ไร่ ปลูกอ้อยอินทรีย์คั้นน้ำขาย ได้สร้างแบรนด์เป็นของตนเอง และมีการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อปลูกอ้อยอินทรีย์ ชื่อว่า “วิสาหกิจชุมชนอ้อยอินทรีย์คั้นน้ำยางน้อย” นางสาวอินทิรา ศรัทธาธรรม อายุ 40 ปี จบการศึกษา ม.6 กล่าวว่า ตนเองลาออกจากบริษัทเอกชน กลับมาทำเกษตรอำเภอปรางค์กู่ บนพื้นที่ 2 ไร่ ทำปศุสัตว์ เช่น เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว เลี้ยงหอยขม รวมทั้ง เพาะเห็ดนางฟ้าออร์แกนิค แปรรูปเห็ด เป็นไส้กรอกเห็ด แหนมเห็ด ไส้กรอกหมู น้ำพริก และจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรที่ตนเองปลูก และผลิตภัณฑ์แปรรูปของตนเองผ่านช่องทางออนไลน์ สหกรณ์การเกษตรเมืองศรีสะเกษ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งสหกรณ์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2519 ประเภทสหกรณ์การเกษตร ดำเนินงานมาเป็นระยะเวลา 44 ปี จนถึงปัจจุบัน สหกรณ์มีสมาชิก จำนวน 7,741 ราย มีทุนดำเนินงาน 1,832 ล้านบาท สหกรณ์ดำเนินธุรกิจ 5 ด้าน ประกอบด้วย ธุรกิจรับฝากเงินจากสมาชิก ธุรกิจรวบรวมข้าว ธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจแปรรูปข้าว และธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย ทั้งนี้สหกรณ์ฯ ยังเป็นศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ (CDC) เพื่อรองรับสินค้าและจุดจำหน่าย จากขบวนการสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรและเกษตรกรสมาชิก ทั้งในจังหวัดศรีสะเกษและต่างจังหวัด ได้แก่ ข้าว ผลไม้ น้ำปลา น้ำดื่ม น้ำผึ้ง ผลิตภัณฑ์จากยางพารา ซึ่งในปี 2563 มียอดการกระจายสินค้ามากกว่า 38 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35970
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการกับผู้ที่ขัดขวางขบวนเสด็จพระราชดำเนิน และผู้ที่กระทำอื่นใด ในลักษณะที่เป็นการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการกับผู้ที่ขัดขวางขบวนเสด็จพระราชดำเนิน และผู้ที่กระทำอื่นใด ในลักษณะที่เป็นการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการกับผู้ที่ขัดขวางขบวนเสด็จพระราชดำเนิน และผู้ที่กระทำอื่นใด ในลักษณะที่เป็นการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ วันที่ 14 ต.ค.63 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการกับผู้ที่ขัดขวางขบวนเสด็จพระราชดำเนิน และผู้ที่กระทำอื่นใดในลักษณะที่เป็นการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดโดยไม่ละเว้น ทั้งนี้ ถือว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคมนี้เป็นการชุมนุมโดยไม่สงบ เป็นบ่อนทำลายการบริหารราชการแผ่นดิน และความสงบสุขของประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35971
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมพิธีวางพวงมาลา และถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 รมว.วธ.ร่วมพิธีวางพวงมาลา และถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ รมว.วธ.ร่วมพิธีวางพวงมาลา และถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลา และถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม คณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เข้าร่วมพิธี ในการนี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย ผู้บริหาร และข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมถวายบังคมและวางพวงมาลาในนามกระทรวงวัฒนธรรมด้วย ณ ท้องสนามหลวง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35961
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" ผุดไอเดียจ้าง "หมอเกษียณ" รักษาคนไข้ สนับสนุน 30 บาทรักษาทุกที่
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 "อนุทิน" ผุดไอเดียจ้าง "หมอเกษียณ" รักษาคนไข้ สนับสนุน 30 บาทรักษาทุกที่ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินหน้ายกระดับระบบหลักประสุขภาพแห่งชาติ บนหลักความเท่าเทียม มีประสิทธิภาพ และการมีส่วนร่วม เสนอไอเดียจ้าง “หมอเกษียณ” ช่วยรักษาประชาชน สนับสนุน 30 บาทรักษาทุกที่ ลดปัญหาขาดแคลนแพทย์ เน้นคุณภาพโรงพยา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินหน้ายกระดับระบบหลักประสุขภาพแห่งชาติ บนหลักความเท่าเทียม มีประสิทธิภาพ และการมีส่วนร่วม เสนอไอเดียจ้าง “หมอเกษียณ” ช่วยรักษาประชาชนสนับสนุน 30 บาทรักษาทุกที่ ลดปัญหาขาดแคลนแพทย์ เน้นคุณภาพโรงพยาบาลทุกระดับ สร้างความมั่นใจคนไข้ ลดปัญหาการไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่ วันนี้ (14 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์ประชุมวายุภักดิ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กทม.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปาฐกถาพิเศษเรื่องยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ในการประชุมชี้แจงหลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2564 ว่า ประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคมากว่า 18 ปี ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการ ลดความยากจน เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ โดยขับเคลื่อนอยู่บนหลัก 3 เรื่อง คือ ความเท่าเทียม มีประสิทธิภาพ และการมีส่วนร่วม โดยหลักความเท่าเทียม คือ การที่คนไทยเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ทั่วถึง และไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งยุคเริ่มแรกอาจยังไม่ครอบคลุมทุกโรค แต่ปัจจุบันได้พัฒนาให้ครอบคลุมเรียกได้ว่า 30 บาทรักษาทุกโรคจริงๆ สำหรับหลักความมีประสิทธิภาพ ได้จัดสรรงบประมาณสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค สร้างความรู้ให้แก่ประชาชนให้สามารถดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ถือเป็นการช่วยประเทศ เพราะจะลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษา เมื่อคนไทยแข็งแรง สังคม เศรษฐกิจของประเทศก็จะแข็งแรงด้วย และที่สำคัญการบริการจะสะดวกมากยิ่งขึ้น เพราะหากทุกคนพร้อมใจกันป่วย ไม่มีการคัดกรองแยกประเภทผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลขนาดใหญ่กันหมด จะเกิดความแออัด ไม่สะดวก และบริการล่าช้า ส่วนหลักการมีส่วนร่วม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะทำงานร่วมกันเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการอย่างมีคุณภาพทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ต้องมีระบบที่เอื้อให้ลูกหลานทำงานและดูแลผู้สูงอายุพร้อมกันไปด้วยได้ เพราะหากต้องลาออกจากงานขาดรายได้ จะทำให้ระบบถดถอย กลายเป็นปัญหาที่ต้องดูแลต่อเนื่องอีก ซึ่งนโยบายคนไทยมีหมอประจำตัว 3 คน คือ อสม. หมอประจำบ้าน หมอสาธารณสุข และหมอประจำครอบครัว เข้ามาช่วยดูแลถือเป็นคำตอบในการช่วยเหลือเรื่องนี้ “นโยบาย30 บาทรักษาทุกที่ หลายคนอาจกังวลที่ผู้ป่วยแห่ไปเข้าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ทำให้เกิดความแออัดและรอคิวนาน จริงๆ เป็นการขับเคลื่อนในเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิคือ ศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล, โรงพยาบาลชุมชน สิ่งที่ต้องดำเนินการคือ การทำให้โรงพยาบาลทุกระดับมีคุณภาพ เช่น เพิ่มบริการด้านทันตกรรมและการแพทย์อื่นๆ ในรพ.สต. และที่จำเป็นต้องทำคือ ต้องทำให้คนไทยเป็นวีไอพี ซึ่งคำว่าวีไอพีไม่ได้แปลว่าต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ แต่หมายถึงโรงพยาบาลจะทิ้งขว้างไม่ได้ คำว่าอนาถาต้องไม่มี เช่นการให้คีโมที่บ้านที่มีแพทย์มาดูแลถึงที่ สามารถอยู่บ้านอย่างมีคุณภาพ เพราะอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานานเสี่ยงติดเชื้อ ส่วนเรื่องเทเลเมดิซีน การจัดส่งยาถึงบ้าน อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่จะต้องเป็นบริการมาตรฐาน” นายอนุทินกล่าว สำหรับปัญหาแพทย์ขาดแคลนได้มอบนโยบายให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศึกษาการจ้างแพทย์เกษียณอายุราชการมาให้บริการประชาชนที่ รพ.สต.หรือโรงพยาบาลชุมชน สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนวางใจมารับบริการ เนื่องจากเป็นแพทย์ที่มีทักษะและประสบการณ์ นอกจากจะช่วยลดปัญหาขาดแคลนแล้วยังช่วยให้ความรู้ประสบการณ์แก่แพทย์รุ่นใหม่ๆ ที่ผลิตออกมาอีกด้วย **************************** 14 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35969
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมกิจกรรมจิตอาสา VALAYA ปณิธานความดี ทำความดีเริ่มได้ที่ใจเรา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 รมว.วธ.ร่วมกิจกรรมจิตอาสา VALAYA ปณิธานความดี ทำความดีเริ่มได้ที่ใจเรา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รมว.วธ.ร่วมกิจกรรมจิตอาสา VALAYA ปณิธานความดี ทำความดีเริ่มได้ที่ใจเรา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา VALAYA ปณิธานความดี ทำความดีเริ่มได้ที่ใจเรา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมี นางนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ข้าราชการ ผู้บริหาร อาจารย์ นักศึกษา นักเรียน และสื่อมวลชน เข้าร่วมกิจกรรม ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35964
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 รมว.วธ.ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ รมว.วธ.ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๗.๓๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และภริยา นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมพิธี ณ ท้องสนามหลวง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35960
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์สืบสานเทศกาลถือศีลกินผัก (กินเจ) ประจำปี ๒๕๖๓
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์สืบสานเทศกาลถือศีลกินผัก (กินเจ) ประจำปี ๒๕๖๓ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์สืบสานเทศกาลถือศีลกินผัก (กินเจ) ประจำปี ๒๕๖๓ วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม ร่วมให้การต้อนรับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และสื่อมวลชน พร้อมนำชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์สืบสานเทศกาลถือศีลกินผัก (กินเจ) ประจำปี ๒๕๖๓ ได้แก่ นิทรรศการสืบสานเทศกาลถือศีลกินผัก (กินเจ) เยาวราช กรุงเทพฯ ,ชลบุรี ,นครสวรรค์ และภูเก็ต การแสดงเชิดสิงห์โต และการจัดแสดงอาหารเจ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ เนื่องในเทศกาลประเพณีถือศีลกินผัก (กินเจ) ซึ่งถือเป็นเทศกาลสำคัญที่ดีงามของคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีนที่ถือปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ ๑๗ – ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ กระทรวงวัฒนธรรมในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการอนุรักษ์ รักษา สืบสาน และต่อยอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามให้คงอยู่ จึงบูรณาร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดงานเทศกาลถือศีลกินผัก (กินเจ) ประจำปี ๒๕๖๓ ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ อาทิ งานเทศกาลกินเจเยาวราช ประจำปี ๒๕๖๓ งานเทศกาลถือศีลกินเจ ณ ศาลเจ้าพ่อ-เจ้าแม่ หน้าผาปากน้ำโพธิ์ จ.นครสวรรค์ เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35956
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ยืนยัน พร้อมรับมือโควิด 19 หากเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 “อนุทิน” ยืนยัน พร้อมรับมือโควิด 19 หากเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันระบบสาธารณสุขมีความพร้อมรับมือโรคโควิด 19 หากรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ ส่วนการลดวันกักตัวคาดได้ข้อมูลเชิงประจักษ์สัปดาห์หน้า เพื่อเสนอ ศบค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันระบบสาธารณสุขมีความพร้อมรับมือโรคโควิด 19 หากรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ ส่วนการลดวันกักตัวคาดได้ข้อมูลเชิงประจักษ์สัปดาห์หน้า เพื่อเสนอ ศบค.พิจารณา เบื้องต้นจากการทบทวนข้อมูลทั่วโลกพบการกักตัว 14 วัน และ 10 วันในกลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำไม่มีความแตกต่าง วันนี้ (14 ตุลาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ดี สามารถฟื้นตัวจากโรคโควิด 19 ได้รวดเร็ว ได้รับความเชื่อมั่นและการยอมรับจากทั่วโลก ทำให้ต่างชาติมั่นใจอยากเข้ามาท่องเที่ยว จึงต้องทำให้ประเทศไทยมีเสน่ห์ เพื่อต้อนรับคนต่างชาติให้เข้ามาจำนวนมาก เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของประเทศมาจากการท่องเที่ยว ถือเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ดังนั้น รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีก็พร้อมเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการให้คนเข้าประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน รองรับการผ่อนคลายมาตรการในครั้งนี้ ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยมีระบบการกักกันผู้เดินทางมาจากต่างประเทศที่ดี ทุกรายต้องถูกกักตัว 14 วัน รวมแล้วแสนกว่าราย ทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์โรคโควิด 19 ได้ ส่วนข้อเสนอในการลดวันกักตัวลงนั้น คณะกรรมการวิชาการ และคณะกรรมการที่ปรึกษา ของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้ทบทวนข้อมูลทั่วโลกและให้คำแนะนำว่าการลดวันกักกันลงจาก 14 วันเหลือ 10 วันไม่มีความแตกต่าง โอกาสมีคนติดเชื้อหลุดออกไปมีน้อยมาก โดยเฉพาะการเริ่มต้นจากประเทศที่มีเสี่ยงต่ำหรือมีความเสี่ยงใกล้เคียงประเทศไทย เช่น จีน ไต้หวัน นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย โอกาสหลุดอาจเป็น 1 ในล้านคน คาดว่าสัปดาห์หน้าจะได้ข้อสรุปเบื้องต้นที่เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ให้ทุกคนยอมรับ เพื่อเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 พิจารณาต่อไป “กระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมหากประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยว โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงเกิดการโรคระบาด หรือหากพบเกิดขึ้นก็มีความสามารถในการเฝ้าระวัง ตรวจจับ และรักษาพยาบาล เช่น กรณีเหตุการณ์ที่จังหวัดระยอง หรืออำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ล่าสุดผลการตรวจเชิงรุกในพื้นที่เป็นลบทุกรายแล้ว พิสูจน์ได้ว่าระบบของเราทำงานได้ จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นกลัวจนเกินไป หากรายใดที่สงสัยไม่แน่ใจหรือไม่สบายใจ สามารถปรึกษาแพทย์ได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือปรึกษาสายด่วน กรมควบคุมโรค โทร 1422 ซึ่งขณะนี้มีเครือข่ายห้องปฏิบัติการกระจายอยู่ทั่วประเทศ พร้อมดูแลประชาชนในการเปิดประเทศอีกครั้ง เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตได้อย่างปกติที่สุด”นายแพทย์โอภาสกล่าว ******************************* 14 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35968
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา “VALAYA ปณิธานความดี ทำความดีเริ่มได้ที่ใจเรา
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา “VALAYA ปณิธานความดี ทำความดีเริ่มได้ที่ใจเรา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา “VALAYA ปณิธานความดี ทำความดีเริ่มได้ที่ใจเรา" เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันนี้ (14 สิงหาคม 2563) เวลา 09.00 น. ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา VALAYA ปณิธานความดี ทำความดีเริ่มได้ที่ใจเรา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ข้าราชการ ผู้บริหารและอาจารย์ นักศึกษา นักเรียน และสื่อมวลชน ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีถวายความเคารพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ พร้อมกล่าวรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ความว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ คณาจารย์ นักเรียนและนักศึกษาที่พร้อมใจกันมาร่วมชุมนุม ณ บริเวณพื้นที่การจัดกิจกรรมจิตอาสาในวันนี้ เพื่อถวายพระราชกุศลและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจด้วยพระราชวิริยอุสาหะ ด้วยทรงมุ่งหวังให้ทวยราษฎร์มีความผาสุกร่มเย็นและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งทรงพระกรุณาพระราชทานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อให้ราษฎรมีภูมิคุ้มกันและสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยใช้ภูมิปัญญาและทรัพย์ในผืนแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โครงการหลากหลายอันเกิดจากพระราชดำริและพระปรีชาสามารถ ล้วนได้รับการยกย่องทั้งภายในประเทศและจากนานาประเทศ ว่าเป็นผลงานอันทรงคุณค่าและอำนวยประโยชน์อย่างยิ่งแก่พสกนิกร ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น รัฐบาลจึงได้น้อมนำแนวทางจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” มาจัดกิจกรรมจิตอาสา “ปณิธานความดี ทำดีได้เริ่มที่ใจเรา” เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนทุกหมู่เหล่าได้มีจิตสาธารณะ เกิดความสำนึกในการทำประโยชน์แก่สังคม เพื่อร่วมสืบสานพระราชปณิธานตามพระปฐมบรมราชโองการของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ในวาระนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และพลานุภาพแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากล ตลอดจนพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ โปรดอภิบาลรักษาให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย ทรงพระเกษมสำราญ สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้าแก่ปวงข้าพระพุทธเจ้า และเหล่าพสกนิกร ตราบกาลนิรันดร์เทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรีได้ร่วมกิจกรรมปลูกพืชน้ำเพื่อเป็นแหล่งอาหารชุมชน ปล่อยปลานิลและปลาตะเพียน โยนลูกบอลจุลินทรีย์ (EM Ball) หว่านเมล็ดข้าวพันธุ์ กข 43 ปทุมธานี ปลูกผักสวนครัว ชมกิจกรรมปลารับแขก และชมนิทรรศการ Active Learning ณ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ชุมชนวิถีประชารัฐ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ร่วมกิจกรรมทำน้ำยาล้างจาน อีกทั้งปลูกต้นราชพฤกษ์ ณ บริเวณพื้นที่ปฏิบัติการอนุรักษ์พันธุกรรม พร้อมแจกพันธุ์พืชผักให้กับประชาชนที่พักอาศัยรอบมหาวิทยาลัย ก่อนเดินทางกลับ โดยในช่วงต้น นายกรัฐมนตรีและภริยา ชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชประวัติสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ และประวัติมหาวิทยาลัย ณ ห้องนิทัศน์ราชภัฏ ........................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35947
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ หารือ สนข. แผนการพัฒนาตั๋วร่วม เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ หารือ สนข. แผนการพัฒนาตั๋วร่วม เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง กระทรวงดิจิทัลฯ หารือ สนข. แผนการพัฒนาตั๋วร่วม เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้การต้อนรับ คณะเจ้าหน้าที่จากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง แนวทางการพัฒนาระบบตั๋วร่วม รวมทั้งปัญหา อุปสรรค กฎ ระเบียบ เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ประกอบการวิเคราะห์ผลการศึกษาฯ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในการจัดทำแผนการกำกับการบริหารจัดการตั๋วร่วม โดยมีนายสมพงษ์ ปักษาสวรรค์ ผู้จัดการโครงการศึกษาจัดทำแผนการกำกับการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม นำคณะเข้าพบ ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้งานศึกษาจัดทำแผนการกำกับการบริหารจัดการตั๋วร่วม เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงคมนาคมและสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งมวลชนโดยใช้บัตรโดยสารใบเดียวสามารถเดินทางได้ทุกระบบขนส่ง และสนับสนุนให้ประชาชนเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางจากรถยนต์ส่วนบุคคลมาสู่ระบบขนส่งมวลชนเพื่อบรรเทาปัญหาจราจร ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35966
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 รมว.วธ.ร่วมพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ รมว.วธ.ร่วมพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๒๐.๑๕ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม คณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมพิธี ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35963
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถไฟชนรถบัสโดยสาร ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 พม. เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถไฟชนรถบัสโดยสาร ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา พม. เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถไฟชนรถบัสโดยสาร ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ 12 ต.ค. 63เวลา 16.30 น. ที่โรงพยาบาลพุทธโสธร อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ เยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่ประสบอุบัติเหตุจากกรณีรถไฟชนรถบัสโดยสาร พร้อมทั้งเร่งให้ความช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. นางพัชรี กล่าวว่า จากกรณีเกิดอุบัติเหตุรถไฟชนรถบัสโดยสาร ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 18 ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 35 ราย ซึ่งขณะนึ้ กำลังรักษาตัวที่โรงพยาบาล จำนวน 10 ราย ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวง พม. มีความห่วงใยประชาชนทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ จึงได้ลงพื้นที่เยี่ยมและให้กำลังใจผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่หลายจังหวัด ทั้งนี้ สำหรับแนวทางการช่วยเหลือ จะมีการประสานไปยังสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดแต่ละจังหวัด เพื่อลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวตามภูมิลำเนาของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ เพื่อประเมินทางสังคมและเร่งช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. โดยจะพิจารณาเงินสงเคราะห์ต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น และบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความช่วยเหลือในทุกมิติ อาทิ ทุนการศึกษาของเด็ก การฝึกอาชีพ การจัดหางาน และการรักษาพยาบาล เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่และขอให้กำลังใจทุกครอบครัวสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ และหากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม สามารถแจ้งมาที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร.1300 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35941
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต อนุชา วางพวงมาลารำลึกถึงวีรชน 14 ตุลา ยกเป็นแบบอย่างความกล้าหาญ ความเสียสละ หวังให้คนรุ่นใหม่ใช้พลังความสามัคคีพัฒนาประชาธิปไตย เกิดประโยชน์ต่อชาติ
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 รมต อนุชา วางพวงมาลารำลึกถึงวีรชน 14 ตุลา ยกเป็นแบบอย่างความกล้าหาญ ความเสียสละ หวังให้คนรุ่นใหม่ใช้พลังความสามัคคีพัฒนาประชาธิปไตย เกิดประโยชน์ต่อชาติ รมต อนุชา วางพวงมาลารำลึกถึงวีรชน 14 ตุลา ยกเป็นแบบอย่างความกล้าหาญ ความเสียสละ หวังให้คนรุ่นใหม่ใช้พลังความสามัคคีพัฒนาประชาธิปไตย เกิดประโยชน์ต่อชาติ วันนี้ (14 ตุลาคม 2563) เวลา 08.00 น. ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา (แยกคอกวัว) ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมอบหมายนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีวางพวงมาลาเพื่อรำลึกถึงวีรชน 14 ตุลา ประจำปี 2563 โดยมี ผู้แทนประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทนผู้นำฝ่ายค้าน ผู้แทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้แทนญาติวีรชน 14 ตุลา ผู้แทนนักต่อสู้สิทธิชุมชน ผู้แทนเยาวชน นิสิต นักศึกษา และประชาชนร่วมพิธี โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวรำลึกถึงวีรชน 14 ตุลาว่า เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มีความสำคัญยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเมืองไทยสมัยใหม่ ซึ่งวันนี้เป็นวันครบรอบ 47 ปี แห่งเหตุการณ์ 14 ตุลา ได้กระตุ้นเตือนทุกคนให้รำลึกถึงความกล้าหาญ เสียสละ พลังอันบริสุทธิ์ของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ รัฐธรรมนูญ และให้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยที่เคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมของประเทศและประชาชนเป็นหลัก โดยการเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เหล่าวีรชนได้เอาชีวิตเข้าและครั้งนั้น ได้นำประชาธิปไตยให้เติบโตแผ่กิ่งใบไพศาลมาถึงปัจจุบัน และสำนึกอันแรงกล้าของเหล่าวีรชนที่สร้างไว้เป็นแบบอย่าง รวมทั้งได้กระตุ้นเตือนคนรุ่นหลังให้รวมพลังสามัคคี เพื่อดำรงไว้ซึ่งประชาธิปไตยไว้ให้ยั่งยืนสืบมา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ทุกคนจะต้องหันมาพิจารณาว่าเราใช้สิทธิ เสรีภาพ รวมทั้งหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะคนไทยที่เป็นอยู่ในขณะนี้ให้เกิดการมีส่วนร่วมเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชาติและประชาธิปไตยได้อย่างไร อย่างไรก็ตามยังมีภารกิจอีกมากมายที่ต้องช่วยกันผลักดันที่จะให้ประชาชนได้มาส่วนร่วม มีบทบาทในการคิด การตัดสินใจกำหนดนโยบายเพื่อสร้างความยุติธรรม ความเจริญก้าวหน้า และประโยชน์ของสังคม ภายหลังการวางพวงมาลาฯ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อสถานการณ์การชุมนุม และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงขึ้น พร้อมกล่าวแสดงความมั่นใจว่าจะไม่เกิดการปะทะกันเกิดขึ้น เชื่อว่าทุกคนทุกฝ่ายเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตัวเองตามระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างดี เพราะต่างเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น และสังคมไทยเป็นสังคมอลุ่มอล่วย อยู่ด้วยกันแบบถอยทีถ้อยอาศัย และสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของระบอบประชาธิไตยย่อมมีความเห็นต่างเป็นธรรมดา ยืนยันรัฐบาลพร้อมดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสนับสนุนหรือฝ่ายที่เห็นต่าง โดยขอให้หันหน้าพูดคุยหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้ประชาธิปไตยเบ่งบาน เพื่อให้สังคมสงบสุข และให้ประชาชนตัดสินใจ ไม่ใช่ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งติดสินใจแทนประชาชนทั้งประเทศ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญว่าขอให้เป็นกระบวนการของรัฐสภา อย่าเพิ่งไปคาดการณ์สร้างความสับสนขึ้นในสังคม ขอให้เชื่อมั่นต่อกระบวนการ เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยและเสียงของประชาชน หากกลุ่มผู้ชุมนุมต้องการยื่นหนังสือ รัฐบาลพร้อมรับหนังสือจากลุ่มผู้ชุมนุม ขออย่าเป็นกังวลเรื่องดังกล่าว -----------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35946
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.รวมใจ “ปลูกป่า และป้องกันไฟป่า” ณ เขื่อนกระเสียว จ.สุพรรณบุรี
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2563 ทส.รวมใจ “ปลูกป่า และป้องกันไฟป่า” ณ เขื่อนกระเสียว จ.สุพรรณบุรี ทส.รวมใจ “ปลูกป่า และป้องกันไฟป่า” ณ เขื่อนกระเสียว จ.สุพรรณบุรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36029
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- พบปะกลุ่มวิสาหกิจและเกษตรกรในพื้นที่อำเภอไทรน้อย
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2563 พบปะกลุ่มวิสาหกิจและเกษตรกรในพื้นที่อำเภอไทรน้อย รมว.กษ. นำผู้บริหาร กษ. พบปะกลุ่มวิสาหกิจและเกษตรกรในพื้นที่อำเภอไทรน้อย ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยดร.ทองเปลวกองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบปะกลุ่มวิสาหกิจและเกษตรกรในพื้นที่อำเภอไทรน้อยจังหวัดนนทบุรีพร้อมตรวจเยี่ยมและหารือถึงแนวทางการสร้างสะพานข้ามคลองพระพิมลเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยววัดไทรใหญ่และตลาดน้ำไทรน้อยโดยกรมชลประทานจะหารือกับเทศบาลตำบลไทรน้อยผู้ขออนุญาตถึงแนวทางในการก่อสร้างต่อไป ทั้งนี้ได้มีการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำลงแหล่งน้ำบริเวณวัดไทรใหญ่ที่นำมาจากศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดจ.พระนครศรีอยุธยาได้แก่ปลาตะเพียนปลาโพง(ปลาบ้า)จำนวน50,000ตัวเพื่อเพิ่มทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นที่ให้มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36030
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แนะประชาชนดูแลสุขภาพช่วงอากาศเปลี่ยน อาจป่วยเป็นไข้หวัดได้ง่าย ควรรักษาร่างกายให้อบอุ่น
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2563 สธ. แนะประชาชนดูแลสุขภาพช่วงอากาศเปลี่ยน อาจป่วยเป็นไข้หวัดได้ง่าย ควรรักษาร่างกายให้อบอุ่น กระทรวงสาธารณสุข ห่วงใยประชาชนเผชิญทั้งแดด ฝน และลมหนาว จากสภาพอากาศเปลี่ยน อาจป่วยโรคระบบทางเดินหายใจได้ง่าย ขอให้ใส่หน้ากากอนามัย รีบพบแพทย์ กำชับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและ อสม. ให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพช่วงปลายฝนต้นหนาว เน้นสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงนี้ประเทศไทยมีสภาพอากาศแปรปรวน โดยอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว บางพื้นที่ช่วงเช้ามีอากาศเย็นลง ขณะที่กลางวันมีอากาศร้อน บางพื้นที่มีฝนตก เรียกว่าเจอทั้งแดดทั้งฝนและลมหนาวด้วย ประชาชนมีโอกาสป่วยเป็นไข้หวัด หรือโรคระบบทางเดินหายใจได้ง่าย เพื่อลดโอกาสการเจ็บป่วย จึงได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัดและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ออกให้ความรู้ประชาชนในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้มีโรคเรื้อรังประจำตัว อาจมีภูมิคุ้มกันลดต่ำลง ส่งผลให้เมื่อเจ็บป่วยแล้วจะมีอาการรุนแรง นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนรวมถึงผู้ออกไปอยู่ในพื้นที่ที่มีคนรวมกันจำนวนมากสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ใส่หมวก พกร่มไว้กันแดด กันฝน หากมีอาการโรคทางเดินหายใจ เป็นไข้หวัดมีอาการ ไข้ ไอเจ็บคอ น้ำมูก ต้องสวมหน้ากากอนามัยทั้งในบ้านและนอกบ้าน ใช้ผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอ จาม แยกสำรับอาหารและของใช้ส่วนตัว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนในครอบครัวและผู้อื่น พักผ่อนให้เพียงพอแต่หากอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ขอให้ไปรับการตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งหากมีประวัติเสี่ยงโรคโควิด 19จะได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ สำหรับการดูแลสุขภาพในช่วงปลายฝนต้นหนาวนั้น ขอให้รักษาความอบอุ่นของร่างกาย จัดหาเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้เพียงพอ และอยู่ในที่อาศัยที่เหมาะสม สามารถปกป้องลมหนาวได้ รวมทั้งออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รักษาสุขอนามัยของร่างกาย หมั่นล้างมือ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ และไม่ควรอาบน้ำอุ่นนานเกินไป หรือปรับอุณหภูมิน้ำร้อนจนเกินไป จะทำให้ผิวแห้ง คัน แตก ลอก ควรทาครีมบำรุงผิวหลังอาบน้ำทันที เพิ่มความชุ่มชื้นป้องกันผิวแตก โดยเฉพาะผู้สูงอายุมักมีสภาพผิวหนังที่แห้งง่ายตามวัย ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับผิวหนัง หรือผู้ป่วยเบาหวาน ต้องระวังอย่าให้ผิวแห้งแตก หรือเกิดเเผลจากการเกา เพราะจะเกิดการอักเสบ และเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ ส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หอบหืด เป็นต้น ควรหมั่นตรวจเช็คค่าความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด และควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ************************************ 17 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36027
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ ห่วงลูกจ้างเมียนมาถูกเครื่องจักรหนีบดับ ที่ระยอง สั่ง สปส.ประสานนายจ้างขึ้นทะเบียน แจ้งสิทธิประโยชน์ทดแทนช่วยเหลือตามขั้นตอน
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2563 ‘จับกัง1’ ห่วงลูกจ้างเมียนมาถูกเครื่องจักรหนีบดับ ที่ระยอง สั่ง สปส.ประสานนายจ้างขึ้นทะเบียน แจ้งสิทธิประโยชน์ทดแทนช่วยเหลือตามขั้นตอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยลูกจ้างเมียนมาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุลื่นตกลงในเครื่องจักรถูกหนีบจนเสียชีวิตที่จังหวัดระยอง กำชับเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงเร่งช่วยเหลือให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามขั้นตอน เบื้องต้นประสานนายจ้างให้ เมื่อวันที่​ 17 ตุลาคม​ 2563​ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีเกิดเหตุลูกจ้างสัญชาติเมียนมาตกเข้าไปในเครื่องตีพลาสติกเสียชีวิตที่จังหวัดระยองว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยลูกจ้างที่ประสบอันตรายจากการทำงาน กรณีนี้แม้ว่าจะเป็นแรงงานต่างด้าวที่เสียชีวิต แต่รัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้งหรือนิ่งนอนใจ เพราะแรงงานทุกคนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ การที่เขาเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก็จะต้องได้รับการดูแลคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยเฉพาะประกันสังคมจะให้ความคุ้มครองเหมือนกับแรงงานไทยทุกประการเช่นกัน นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ผมได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ที่รับผิดชอบเข้าไปดูแลช่วยเหลือเพื่อให้ญาติของลูกจ้างที่เสียชีวิตได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครองตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง พบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น.ของวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุลูกจ้าง คือ นาย NYEIN CHAN AUNG สัญชาติเมียนมาตกเข้าไปในเครื่องตีพลาสติกจนเสียชีวิต เหตุเกิดภายในบริษัท ยี่ดา(ไทยแลนด์) จำกัด ตั้งอยู่เลขที่​ 7/339 ม.6​ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้​ โซนโรงงานจีน​ ต.มาบยางพร อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์ ขณะเกิดเหตุผู้ตายปีนเครื่องตีพลาสติกซึ่งอยู่ในตำแหน่งสูง เพื่อขึ้นไปดูรอยรั่วของหลังคา และลื่นตกลงมาในเครื่องจักรขณะที่เครื่องกำลังทำงานอยู่ ทำให้ถูกเครื่องจักรหนีบบริเวณลำตัว และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ โดยนายจ้างเป็นผู้รับเหมาที่มาซ่อมหลังคาแต่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนนายจ้าง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36032
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ คว้ารางวัลเลิศรัฐปี 63 ผลงานนวัตกรรมชุดนั่งเอกซเรย์ปรับระดับ
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2563 รพ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ คว้ารางวัลเลิศรัฐปี 63 ผลงานนวัตกรรมชุดนั่งเอกซเรย์ปรับระดับ โรงพยาบาลหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้รับรางวัลเลิศรัฐ สาขาบริการภาครัฐ ประเภทนวัตกรรมบริการระดับดี ประจำปี 2563 จากการพัฒนานวัตกรรมชุดนั่งเอกซเรย์ปรับระดับได้ ช่วยผู้ป่วยกลุ่มยืนเอกซเรย์ไม่ได้ เช่น ผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยปวดท้องมาก ให้นั่งเอกซเรย์ได้ ภาพถ่ายรังสีตรงจุด แม่นยำ ช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงบุคลากรจากรังสี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้รับรางวัลเลิศรัฐ สาขาบริการภาครัฐ ประเภทนวัตกรรมบริการระดับดี ประจำปี 2563 จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ พัฒนานวัตกรรมชุดนั่งเอกซเรย์ปรับระดับ อำนวยความสะดวกผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยปวดท้องมาก ให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมกับการเอกซเรย์ ได้ภาพถ่ายเอกซเรย์ในจุดที่ต้องการ ประกอบการวินิจฉัยโรคได้แม่นยำขึ้น ช่วยลดโอกาสบาดเจ็บจากการเคลื่อนย้ายผิดท่า ลดความเสี่ยงบุคลากรจากรังสี เป็นไปตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ที่สนับสนุนให้โรงพยาบาลทุกระดับ คิดค้นนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย แพทย์หญิงพรรณประภา กล่าวต่อว่า การเอกซเรย์ช่องท้อง โดยเฉพาะช่องท้องส่วนล่าง ปกติจะต้องยืนถ่ายภาพเอกซเรย์จึงจะเห็นภาพอย่างชัดเจน แต่ผู้ป่วยบางกลุ่มที่ไม่สามารถยืนเอกซเรย์ได้ เช่น ผู้ป่วยที่ปวดท้องมาก จนไม่สามารถยืนตัวตรงได้ เช่น ผู้ป่วยสงสัยเป็นไส้ติ่งหรืออาหารเป็นพิษ ผู้ป่วยลำไส้อุดตันที่พบมากในผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียง ที่ผ่านมาต้องใช้บุคลากรห้องรังสี 3 คน ช่วยกันจัดท่าผู้ป่วยที่ต้องนั่งเอกซเรย์ แต่ภาพที่ได้ส่วนใหญ่ยังไม่ตรงจุดที่ต้องการ ส่งผลต่อการวินิจฉัยโรค โดยเฉพาะการเอกซเรย์ผู้ป่วยฉุกเฉินนอกเวลาราชการซึ่งมีบุคลากรเพียง 1 คน ก็ยิ่งประสบปัญหาในการจัดท่าผู้ป่วย จึงเป็นที่มาของการพัฒนานวัตกรรมชุดนั่งเอกซเรย์ปรับระดับได้ ด้าน นายแพทย์อัครวัฒน์ เพียวพงภควัต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหนองกี่ กล่าวว่า ชุดนั่งเอกซเรย์ปรับระดับได้ทำจากสแตนเลส มีคุณสมบัติคงทน แข็งแรง รองรับน้ำหนักผู้ป่วยได้ถึง 130 กิโลกรัม โดยตัวชุดนั่งจะยกระดับสูงจากเตียง 2.5 นิ้ว มีช่องใส่แผ่นภาพรังสี ทำให้ผู้ป่วยถ่ายภาพรังสีในท่านั่ง (Upright) ได้ สามารถปรับระดับองศาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละคนได้ 4 ระดับ คือ 60 องศา 80 องศา 90 องศา และ 180 องศา รวมถึงปรับขนาดความกว้างและความสูงให้เหมาะสมกับตัวผู้ป่วยได้ ช่วยทำให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่ต้องการ โดยบุคลากรเพียงคนเดียวก็สามารถจัดท่าผู้ป่วยในการเอกซเรย์ได้ ทำให้การบริการมีคุณภาพตามมาตรฐาน สะดวก รวดเร็ว เกิดความพึงพอใจ ได้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพช่วยประกอบการวินิจฉัยโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นายแพทย์อัครวัฒน์ กล่าวต่อว่า โรงพยาบาลหนองกี่มีผู้ป่วยเข้ารับบริการเอกซเรย์วันละ 45-50 ราย เป็นผู้ป่วยต้องอยู่ในท่านั่งเอกซเรย์ประมาณ 5 ราย ภาพรวมตลอดปีมีผู้เข้ารับบริการถ่ายภาพรังสีจำนวน 10,174 ราย ใช้ชุดนั่งเอกซเรย์ปรับระดับได้จำนวน 722 ราย แบ่งเป็น การถ่ายภาพเอกซเรย์ปอด 454 ราย และเอกซเรย์หน้าท้อง 268 ราย ผลการดำเนินงานถ่ายภาพรังสีได้ตรงจุดทุกครั้ง ใช้เวลาเอกซเรย์ลดลงเฉลี่ยรายละ 3 นาที ขณะนี้ได้จดสิทธิบัตรแล้ว อยู่ระหว่างการผลิตเพิ่มอีก 5 ตัว เพื่อสนับสนุนงานรังสีโรงพยาบาลโนนสุวรรณ โรงพยาบาลนางรอง และโรงพยาบาลหนองหง แห่งละ 1 ตัว และให้บริการในชุมชนอีก 2 ตัว ************************************ 17 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36028
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'จับกัง1' ลงใต้ มอบนโยบาย 5 เสือ พบปะบัณฑิตแรงงาน สร้างความมั่นคงด้านอาชีพสู่สันติสุขชายแดน
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2563 'จับกัง1' ลงใต้ มอบนโยบาย 5 เสือ พบปะบัณฑิตแรงงาน สร้างความมั่นคงด้านอาชีพสู่สันติสุขชายแดน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชุมมอบนโยบาย และแนวทางการปฏิบัติราชการของกระทรวงแรงงานแก่หัวหน้าส่วนราชการสังกัดจังหวัดสงขลา ปัตตานี และยะลา พบปะให้กำลังใจบัณฑิตแรงงาน ผู้นำภารกิจด้านแรงงานสู่ประชาชนในพื้นที่ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมมอบนโยบาย และแนวทางการปฏิบัติราชการของกระทรวงแรงงานแก่หัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสงขลา พร้อมรับฟังข้อมูลการขับเคลื่อนนโยบาย ณ ห้องประชุมสำนักงานแรงงานจังหวัดสงขลา โดยมี หัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสงขลา ให้การต้อนรับ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการรักษาความมั่นคงในพื้นที่ โดยอาศัยการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน สร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อสร้างความสงบสุขให้กลับคืนมาเป็นปกติโดยเร็ว ในวันนี้ ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อมาติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลด้านแรงงาน พร้อมรับฟังสภาพปัญหา ข้อเสนอแนะจากหัวหน้าส่วนราชการสังกัดจังหวัดสงขลา ปัตตานี และยะลาตลอดจนภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงานไปสู่ประชาชนในพื้นที่ โดยการส่งเสริมการมีงานทำ การประกอบอาชีพอิสระ แรงงานได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือตามความต้องการ มีสวัสดิการและความปลอดภัยในการทำงาน ตลอดจนมีหลักประกันทางสังคม ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยังได้ไปตรวจเยี่ยมพบปะและให้กำลังใจบัณฑิตแรงงานจังหวัดปัตตานี โดยกล่าวว่า ผมขอชื่นชมบัณฑิตแรงงานในพื้นที่ทุกคน ที่อุทิศตนเป็นผู้เสียสละ ทำหน้าที่ในการสนับสนุน ช่วยเหลือ ส่งเสริมภารกิจของกระทรวงแรงงานไปสู่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้มีอาชีพ มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ ทั้งนี้ ปัจจุบันบัณฑิตแรงงานมีหน้าที่ดำเนินงานในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านข้อมูล เป็นผู้นำข้อมูลด้านแรงงานไปสู่ประชาชน และนำข้อมูลจากพื้นที่สู่หน่วยงานด้านแรงงาน ให้ประชาชนมีอาชีพ เพิ่มรายได้มีสวัสดิการ นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ด้านความมั่นคงเป็นสื่อกลางสร้างความเข้าใจเชิงบวก ลดช่องว่างระหว่างรัฐกับประชาชน ด้านความยั่งยืน ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานที่ให้บริการแก่ประชาชน และการนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36034
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เชิงรุกคัดกรองโควิด 19 ชุมชนเสี่ยง อ.แม่สอด พบชาวเมียนมาติดเชื้อ 2 ราย รอผลยืนยัน 3 ราย
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2563 สธ.เชิงรุกคัดกรองโควิด 19 ชุมชนเสี่ยง อ.แม่สอด พบชาวเมียนมาติดเชื้อ 2 ราย รอผลยืนยัน 3 ราย กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมเชิงรุกตรวจคัดกรองโควิด 19 ฟรี ชุมชนเสี่ยงอำเภอแม่สอด จังหวัดตากพบชาวเมียนมา 2 รายติดเชื้อ ส่งตัวรักษาโรงพยาบาลแม่สอด ติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดในครอบครัวและชุมชนตรวจพบคนในครอบครัว 3 คน ติดเชื้อรอผลยืนยันอีกครั้ง กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมเชิงรุกตรวจคัดกรองโควิด 19 ฟรี ชุมชนเสี่ยงอำเภอแม่สอด จังหวัดตากพบชาวเมียนมา 2 รายติดเชื้อ ส่งตัวรักษาโรงพยาบาลแม่สอด ติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดในครอบครัวและชุมชนตรวจพบคนในครอบครัว 3 คน ติดเชื้อรอผลยืนยันอีกครั้ง การปฏิบัติตัวของประชาชนขอให้ยึดวัคซีน 3 อย่าง บ่ายวันนี้ (17 ตุลาคม 2563) ที่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรคร่วมแถลงข่าวความคืบหน้ากรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ชาวเมียนมา ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ว่า จากนโยบายการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก หลังจากพบพนักงานขับรถชาวเมียนมาติดเชื้อโควิด 19 จำนวน 2 ราย กระทรวงสาธารณสุขจึงดำเนินการตรวจเฝ้าระวังเชิงรุกด้วยรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน จำนวน 6คัน ในชุมชน 4 แห่ง ระหว่างวันที่ 12-13 ตุลาคม 2563 ได้เก็บตัวอย่างจำนวน 4,187 ตัวอย่าง ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเป็นบวก 2 ตัวอย่าง ที่เหลืออยู่ระหว่างรอผล โดยผู้ติดเชื้อทั้ง 2 ราย เป็นการค้นหาเชิงรุกกลุ่มเสี่ยงในชุมชนสุเหร่ามะดีนะฮ์ อ.แม่สอด จ.ตาก แบ่งเป็น รายที่ 1 เพศชาย อายุ 63 ปี รายที่ 2 เพศหญิง อายุ 53 ปี ทั้ง 2 ราย เป็นสัญชาติเมียนมา เป็นสามีภรรยาพักอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน สามีเป็นผู้พิการนั่งรถเข็น บ้านเป็นลักษณะลานจอดรถ เป็นโกดังซื้อค้าขายแลกเปลี่ยน ในชุมชนสุเหร่ามะดีนะฮ์ ข้อมูลเบื้องต้นผู้ป่วยทั้งสองไม่มีประวัติเดินทางออกนอกพื้นที่ แต่สันนิษฐานว่าอาจจะติดมาจากลูกชายที่ได้รับการวินิจฉัยโควิด19 ที่เมียวดี เมียนมา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 หรือพนักงานขับรถส่งของจากเมียนมา โดยผู้ติดเชื้อทั้ง 2 ราย เข้ามารับการตรวจคัดกรองเพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2563 โดยรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน ทั้ง 2 ราย อุณหภูมิอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีไข้ ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ขณะนี้เข้ารับการรักษาในห้องแยกเชื้อความดันลบ โรงพยาบาลแม่สอด อาการทั่วไปปกติ สำหรับการค้นหาผู้สัมผัส พบผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 9 คน ประกอบด้วย คนในครอบครัว 5 คน และผู้ร่วมพิธีทางศาสนา 4 คน โดยจำนวนนี้ 3 คน ตรวจพบสารพันธุกรรม SARS-CoV-2 (ด้วยวิธี RT-PCR) ครั้งแรกที่โรงพยาบาลแม่สอด เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2563 เป็นลูกสาว อายุ 23 ปี หลานสาวอายุ 10 ปีและหลานชายอายุ 1 ปี รอผลตรวจยืนยันอีกครั้ง โดยทั้ง 3 คนอยู่ในโรงพยาบาลแม่สอด และที่เหลือได้รับการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และรอผลการตรวจซ้ำ นอกจากนี้ มีผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 55 คน ทั้งหมดตรวจไม่พบเชื้อ และอยู่ระหว่างการเฝ้าระวังต่อเนื่อง ทั้งนี้ คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อระดับจังหวัด ได้เข้มข้นมาตรการโดยพ่นทำลายเชื้อที่บ้านผู้ติดเชื้อ โดยประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยขอให้ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างทางสังคม กิจกรรมที่ไม่จำเป็นและงานรื่นเริงจังหวัดให้งดทั้งหมด กิจวัตรประจำวันอย่างการซื้อสินค้า เข้าร้านอาหาร ให้ไปซื้อสินค้าจำเป็น ร้านค้าขอให้ยึดหลักคนไม่หนาแน่น หากหนาแน่นให้ซื้อกลับบ้าน ส่วนศาสนกิจ เช่น วัด มัสยิด ขอให้งด ในช่วง 1-2 วัน โดยทางจังหวัดจะประเมินอีกครั้ง รวมถึงโรงเรียนด้วย “พื้นที่แม่สอดถือเป็นพื้นที่ตัวอย่างที่ประชาชนมีความเข้าใจทำให้ไม่เกิดความตื่นตระหนก อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการสอบสวนและมาตรการป้องกันควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้ประชาชนมั่นใจในมาตรฐานการป้องกันควบคุมโรคที่มีความเข้มแข็งและประสานงานกันอย่างใกล้ชิด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422 สำหรับการปฏิบัติตัวของประชาชน ขอให้ถือวัคซีนประจำตัว 3 อย่าง คือ การสวมหน้ากากอนามัย /หน้ากากผ้าตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่นเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่และสัมผัสเชื้อที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนี้ให้หลีกเสี่ยงสถานที่แออัดที่มีคนจำนวนมาก และลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ที่ใช้บริการผ่าน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง เพราะหากพบผู้ติดเชื้อจะง่ายต่อการติดตามผู้สัมผัสมาตรวจและเฝ้าระวังโรคต่อไป” นายแพทย์โอภาส กล่าว ************************************17 ตุลาคม 2563 **************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36033
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล ยืนยันกรณีเหตุการณ์ชุมนุมที่เกิดขึ้นรัฐบาลได้ดำเนินการตามขอบเขตกฎหมาย
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2563 โฆษกรัฐบาล ยืนยันกรณีเหตุการณ์ชุมนุมที่เกิดขึ้นรัฐบาลได้ดำเนินการตามขอบเขตกฎหมาย โฆษกรัฐบาล ยืนยันกรณีเหตุการณ์ชุมนุมที่เกิดขึ้นรัฐบาลได้ดำเนินการตามขอบเขตกฎหมาย กำชับเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายให้เน้นความปลอดภัยสูงสุดของผู้มาร่วมชุมนุมทุกคน วันนี้17ตุลาคม2563นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงเรื่องเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อคืนวานนี้รัฐบาลได้ดำเนินการตามขอบเขตกฎหมายเพื่อพยายามยุติการชุมนุมการกระทำดังกล่าวไม่ได้เป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนกลุ่มใดทั้งสิ้น การพยายามยุติการชุมนุมของรัฐบาลเน้นการดำเนินการตามหลักสากลและได้กำชับเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายให้เน้นความปลอดภัยสูงสุดของผู้มาร่วมชุมนุมทุกคน อีกทั้งรัฐบาลต้องเร่งยุติการชุมนุมเพื่อป้องกันกลุ่มบุคคลที่มีความพยายามสร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายกว่าเดิม การปลุกปั่นบิดเบือนข้อมูลเหตุการณ์ชุมนุมเพื่อหวังผลทางการเมืองและให้สังคมเกิดความแตกแยกถือเป็นความผิดร้ายแรงที่รัฐบาลจะต้องเร่งจับกุมกลุ่มบุคคลดังกล่าว เหตุการณ์ชุมนุมครั้งนี้ไม่มีคำว่าพ่ายแพ้หรือชัยชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหากแต่เป็นความเสียหายและพ่ายแพ้ของคนไทยและประเทศไทย นายกรัฐมนตรีได้ย้ำขอความร่วมมือประชาชนทุกฝ่ายร่วมกันเพื่อหลีกเลี่ยงการร่วมชุมนุมและไม่ทำสิ่งใดซึ่งขัดต่อกฏหมายและย้ำจะเร่งนำความเรียบร้อยกลับสู้บ้านเมืองโดยเร็วที่สุด _______________ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36031
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ประธานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงานประจำปี ๒๕๖๓ ณ วัดไตรธรรมาราม พระอารามหลวง สุราษฎร์ธานี
วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2563 รมว.แรงงาน ประธานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงานประจำปี ๒๕๖๓ ณ วัดไตรธรรมาราม พระอารามหลวง สุราษฎร์ธานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประธานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงานประจำปี ๒๕๖๓ ณ วัดไตรธรรมาราม พระอารามหลวง สุราษฎร์ธานี โดยมียอดทำบุญกฐินพระราชทานกระทรวงแรงงานจำนวน ๑,๙๕๙,๒๖๙ บาท วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงานประจำปี ๒๕๖๓ ณ วัดไตรธรรมาราม พระอารามหลวง ตำบลตลาด อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นลันพันที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กระทรวงแรงงานรับพระราชทานผ้าพระกฐิน เพื่อนำไปถวาย โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงแรงงาน และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตลอดจนประชาชนร่วมบริจาคทรัพย์ และร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก โดยมียอดทำบุญกฐินพระราชทานกระทรวงแรงงานจำนวน ๑,๙๕๙,๒๖๙ บาท ทั้งนี้ วัดไตรธรรมาราม ตั้งอยู่เลขที่ ๒๔๖/๑ ตำบลตลาด อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ดิน ๖ ไร่ ๒ งาน อาณาเขตทิศเหนือจดถนนปรีดาราษฎร์และบ้านราษฎร ทิศใต้จดหมู่บ้าน ทิศตะวันออกจดถนนตลาดใหม่ ทิศตะวันตก จดถนนหน้าเมือง อาคารเสนาสนะ ประกอบด้วย อุโบสถ สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ศาลาการเปรียญ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กทรงปั้นหญา กุฏิสงฆ์ จำนวน ๑๒ หลัง ศาลาอเนอกประสงค์ สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ นอกจากนี้มี หอประชุมสงฆ์ และหอระฆัง ปูชนียะวัตถุ มีพระพุทธรูป ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง ๓๓ นิ้ว ๑ องค์ พระพุทธรูปปางตรัสรู้ สร้างด้วยคอนกรีต ขนาดหน้าตักกว้าง ๓ วา ๒ ศอก สูง ๔ วา ศอก ๘ นิ้ว ภายในบรรจุพระงบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ นามว่า “พระโพธิพุทธคยานุสรณ์”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36036
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.กำชับ รพ.เตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก
วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2563 ปลัด สธ.กำชับ รพ.เตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กำชับโรงพยาบาลเตรียมความพร้อมรับมือน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก ไม่ให้กระทบบริการประชาชน โดยขนย้ายยา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ในที่ปลอดภัย สำรองยา ออกซิเจน ยาสามัญประจำบ้านอย่างเพียงพอ ออกหน่วยบริการดูแลประชาชน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กำชับโรงพยาบาลเตรียมความพร้อมรับมือน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก ไม่ให้กระทบบริการประชาชน โดยขนย้ายยา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ในที่ปลอดภัย สำรองยา ออกซิเจน ยาสามัญประจำบ้านอย่างเพียงพอ ออกหน่วยบริการดูแลประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง อย่าให้ขาดยา สถานบริการสาธารณสุขเปิดบริการได้ทุกแห่ง วันนี้ (18 ตุลาคม 2563) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์สภาพอากาศประเทศไทยช่วงสัปดาห์นี้ หลายจังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมาก มีความเสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยง ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมให้การดูแลช่วยเหลือผู้ประสบภัยตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุในพื้นที่ตามที่ได้สำรวจข้อมูลไว้ ให้ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและไม่ขาดยา และจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการดูแลประชาชนที่ประสบภัยจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ นอกจากนี้ ให้ปฏิบัติตามแผนรับมือป้องกันน้ำท่วมเข้าสถานบริการ เพื่อไม่ให้กระทบกับการบริการประชาชน โดยขนย้ายยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ไว้ในที่ปลอดภัย สำรวจและสำรองยา เวชภัณฑ์ ออกซิเจนให้พร้อมใช้งาน รวมทั้งยาชุดสามัญประจำบ้าน รองรับการให้บริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่องรวมถึงตรวจสอบระบบระบายน้ำ ติดตั้งกระสอบทราย เครื่องสูบน้ำ สำรองน้ำมัน ระบบสำรองไฟฟ้า เครื่องปั่นไฟ ให้พร้อมใช้งาน 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้รับรายงานมีสถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ 2 แห่ง คือ และศูนย์สุขภาพชุมชนประปา อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลน้ำคอก อ.เมือง จ.ระยอง สามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ โดยตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2563 ถึงปัจจุบัน ส่วนกลางได้สนับสนุนยาชุดช่วยผู้ประสบภัยแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมใน 6 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา สระแก้ว ตรัง สตูล สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช รวม 19,500 ชุด **************************************** 18 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36035
รัฐบาลไทย-
วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36055
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต ลงพื้นที่นครปฐม พบมาตรการสำคัญลดอัตราป่วยโรคไข้เลือดออกได้ชัดเจน
วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2563 สาธิต ลงพื้นที่นครปฐม พบมาตรการสำคัญลดอัตราป่วยโรคไข้เลือดออกได้ชัดเจน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่อำเภอดอนตูม เข้มมาตรการควบคุมไข้เลือดออก ทั้ง 3 เก็บ 3 โรค, บวร. (บ้าน วัด โรงเรียน) และ 5 ส. มี อสม. เป็นกำลังหลักติดตาม ทำให้อัตราป่วยไข้เลือดออกลดลงชัดเจน น้อยที่สุดในจังหวัดนครปฐม วันนี้ (18 ตุลาคม 2563) ที่โรงเรียนเทศบาล 1 วัดลำลูกบัว ต.ลำลูกบัว อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีมอบรางวัลโครงการ บวร. ร่วมใจ ขจัดภัยไข้เลือดออก อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม ประจำปี 2563 โดยมีนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายอภินันท์ เผือกผ่อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขร่วมเป็นเกียรติในงาน ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายที่ชัดเจนในการลดอัตราการป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกที่มียุงลายเป็นพาหะอย่างต่อเนื่อง มีมาตรการหลัก “3 เก็บ 3 โรค” คือ 1.เก็บบ้านให้สะอาด ไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง 2.เก็บขยะ เศษภาชนะรอบบ้าน 3.เก็บน้ำ ภาชนะที่ใส่น้ำต้องปิดฝามิดชิดป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่ ซึ่งเป็นการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ป้องกันได้ 3 โรค คือ ไข้เลือดออก ติดเชื้อไวรัสซิก้า และไข้ปวดข้อยุงลาย รวมถึงกิจกรรม “วิ่งไล่ยุง” รณรงค์กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เพื่อหวังให้ช่วยลดแหล่งแพร่พันธุ์ของลูกน้ำยุงลายที่เป็นสาเหตุหลักของการป่วยไข้เลือดออก โดยในปี พ.ศ.2563 ข้อมูลกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค วันที่ 22 กันยายน 2563 ประเทศไทยมีผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก จำนวน 57,476 ราย เสียชีวิต 37 ราย ช่วงเดียวกันของปี 2562 มีผู้ป่วย 69,609 ราย เสียชีวิต 7 ราย ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า สำหรับข้อมูลการป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกของจังหวัดนครปฐม ตั้งแต่ปี 2558-2562 พบการระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2562 มีผู้ป่วยจำนวน 2,307 ราย เสียชีวิต 3 ราย เป็นอันดับที่ 14 ของประเทศ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐมได้เร่งแก้ปัญหา โดยให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น การศึกษา ศาสนา สาธารณสุขและประชาชน เข้ามีส่วนร่วม มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นกำลังหลัก ขับเคลื่อนการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่ คอยติดตามประเมินค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายอย่างต่อเนื่อง และชักชวนให้ บวร. (บ้าน วัด โรงเรียน) ร่วมมือกันทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ด้วยมาตรการ 3 เก็บ 3 โรค และเพิ่มมาตรการ 5 ส. ในสถานที่ทำงาน โรงงาน บ้านโรงเรียน และวัด ทำให้จังหวัดนครปฐมมีอัตราการระบาดลดลงอย่างชัดเจน ข้อมูล วันที่ 30 กันยายน 2563 พบผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกรวม 689 ราย เสียชีวิต 1 ราย เป็นลำดับที่ 34 ของประเทศ ซึ่งอำเภอดอนตูม มีผู้ป่วยจำนวน 13 ราย น้อยที่สุดในจังหวัดนครปฐม พร้อมกันนี้ ดร.สาธิตได้มอบเกียรติบัตรให้วัด โรงเรียน และหมู่บ้านปลอดลูกน้ำยุงลาย 18 รางวัล ดังนี้ ประเภทวัด ได้แก่ วัดสุขวราราม วัดบ้านหลวง วัดดอนตูม รางวัลประเภทโรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนวัดสุขวราราม โรงเรียนวัดทุ่งผักกูด โรงเรียนวัดทุ่งสีหลง และรางวัลชมเชย อีก 9 แห่ง รวมถึงรางวัลประเภทหมู่บ้าน 6 แห่ง ได้แก่ หมู่ที่ 6 หมู่ที่ 9 หมู่ที่ 11 หมู่ที่ 13 หมู่ที่ 12 ต.ลำเหย และหมู่ที่ 9 ต.ดอนพุทรา **************************** 18 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36037
รัฐบาลไทย-
วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36049
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ยืนยันระบบป้องกัน ควบคุมโรค อ.แม่สอด จ.ตาก มีประสิทธิภาพ
วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2563 อนุทิน ยืนยันระบบป้องกัน ควบคุมโรค อ.แม่สอด จ.ตาก มีประสิทธิภาพ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เห็นกับตามาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 อ.แม่สอด จ.ตาก ยืนยันมีความพร้อมและมีประสิทธิภาพ ทำให้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ นำเข้าสู่ระบบการรักษา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เห็นกับตามาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 อ.แม่สอด จ.ตาก ยืนยันมีความพร้อมและมีประสิทธิภาพ ทำให้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ นำเข้าสู่ระบบการรักษา ขอประชาชนสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ ล้างมือ เว้นระยะห่าง วันนี้ (18 ตุลาคม 2563) ที่ด่านพรมแดนแห่งที่ 2 แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก นายธนิตพล ไชยนันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ณ ด่านพรมแดนแม่สอดที่ 2, โรงพยาบาลแม่สอด, สถานที่กักกัน (Local Quarantine) และชุมชนมัสยิดมะดีนะฮ์ จังหวัดตาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงมาตรการป้องกัน ควบคุมโรคในพื้นที่ชายแดนแม่สอด จ.ตาก และพื้นที่อื่นๆ ที่ติดชายแดนอย่างเต็มที่ การลงพื้นที่ในวันนี้นอกจากได้เห็นสภาพที่แท้จริง ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน เห็นถึงการปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็ง การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การค้นพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ในพื้นที่แม่สอดเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าระบบการคัดกรองของไทยมีประสิทธิภาพ ทั้งการค้นหาเชิงรุกและตรวจหาเชื้อในกลุ่มเสี่ยงทุกคนซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุข ได้รับฟังปัญหาอุปสรรคและให้การสนับสนุนด้านต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานสะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น รถเก็บตัวอย่างนิรภัยพระราชทานจำนวน 5 คัน เพิ่มกำลังคน เป็นต้น รวมทั้งการเตรียมระบบส่งต่อผู้ป่วยอื่น ๆ ไปโรงพยาบาลในจังหวัดตาก และโรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อให้โรงพยาบาลแม่สอดมีความพร้อมดูแลรักษาหากพบผู้ป่วยโรคโควิด 19 และควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ “ขอให้ประชาชนอย่าได้กังวล โอกาสในการระบาดจากการพบผู้ติดเชื้อ 5 รายล่าสุด ตามหลักการแล้วมีน้อย เพราะเป็นผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ ไม่มีอาการไอ จาม จึงมีโอกาสแพร่เชื้อน้อยกว่า และทุกรายนำเข้าสู่ระบบการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว และมีการเฝ้าระวัง พร้อมขยายผลสอบสวนโรคต่อไป ยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และขอให้ประชาชนสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย 100% เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่างตามความจำเป็น" นายอนุทินกล่าว อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตาก ได้ประเมินสถานการณ์และออกประกาศขอความร่วมมือประชาชนงดเข้า-ออกย่านมะดีนะฮ์ และย่านถุงทอง ในชุมชนวัดหลวง งดประกอบศาสนกิจที่มีการรวมกลุ่มมากเกิน 10 คน งดใช้อาคารสถานที่ของสถานศึกษา และขอความร่วมมือร้านค้า เจ้าของกิจการ จัดระบบการเข้าใช้บริการตามมาตรการป้องกันควบคุมโรค รวมถึงปิดสถานบริการที่ เช่น ผับ บาร์ คาราโอเกะ นวดสปา ในพื้นที่อำเภอแม่สอด และงดกิจกรรมรวมกลุ่มที่มีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้ง่าย เพื่อป้องกันการแพร่และรับเชื้อ **************************** 18 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36039
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงสถานการณ์ผนังกั้นน้ำแตก ที่ปักธงชัย สั่งเฝ้าระวังระดับน้ำ พร้อมอพยพและช่วยเหลือประชาชนเร่งด่วน
วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีห่วงสถานการณ์ผนังกั้นน้ำแตก ที่ปักธงชัย สั่งเฝ้าระวังระดับน้ำ พร้อมอพยพและช่วยเหลือประชาชนเร่งด่วน นายกรัฐมนตรีห่วงสถานการณ์ผนังกั้นน้ำแตก ที่ปักธงชัย สั่งเฝ้าระวังระดับน้ำ พร้อมอพยพและช่วยเหลือประชาชนเร่งด่วน นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับรายงานและติดตามสถานการณ์ผนังกั้นน้ำ อ่างเก็บน้ำลำหินตะโง่ อ. ปักธงชัย จ. นครราชสีมา แตกเนื่องจากปริมาณฝนตกต่อเนื่อง และปริมาณน้ำเกินกว่าจะรับได้ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่โดยรอบ และสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง โดยสั่งการให้หน่วยงาน เช่น กรมชลประทาน สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช) และจังหวัด เฝ้าติดตามและแก้ไขโดยด่วน พร้อมทั้งเร่งเตือนประชาชน ให้ได้รับรู้ข่าวสารอย่างต่อเนื่อง และการรับมือในสถานการณ์ ทั้งนี้ หน่วยงานต่างๆ ได้รายงานผลการช่วยเหลือ และบรรเทาสาธารณภัย ให้นายกรัฐมนตรีทราบทุกระยะ และนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนทุกขณะ และระดมสรรพกำลังพล เครื่องมือ และหน่วยแพทย์ เพื่อช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือและเตรียมพร้อมอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลา ......
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36038
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​วันหยุด เราไม่หยุด​ วราวุธ รมว.ทส. ลงพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ​ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู (หินสามวาฬ) จ.​บึงกาฬ
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 ​วันหยุด เราไม่หยุด​ วราวุธ รมว.ทส. ลงพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ​ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู (หินสามวาฬ) จ.​บึงกาฬ ​วันหยุด เราไม่หยุด​ วราวุธ รมว.ทส. ลงพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ​ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู (หินสามวาฬ) จ.​บึงกาฬ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย​ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารกระทรวงฯ ลงพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ​ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์​ และป่าดงสีชมพู (หินสามวาฬ) เพื่อตรวจติดตามการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ และมอบแนวทางการดำเนินงานในการป้องกัน ดูแลรักษา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ พร้อมให้ขวัญกําลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หินสามวาฬ และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่​ จังหวัดบึงกาฬ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2563 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดล้อม (รมว.ทส.) กล่าวว่า​ หัวใจสำคัญของการท่องเที่ยวคือการอนุรักษ์ ดังนั้น​ ในการรองรับนักท่องเที่ยวจะต้องมีการบูรณาการระหว่างเจ้าหน้าที่ และชุมชนในพื้นที่​ เพื่อสร้างความรู้​ ความเข้าใจ​ และความร่วมมือในการปกป้อง ดูแล​ รักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีความมหัศจรรย์ให้คงอยู่อย่างสมบูรณ์ รมว.ทส.​ กล่าวต่อไปว่า​ หากมีใครเข้าไปท่องเที่ยวแล้ว ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีความมหัศจรรย์นี้​ เกิดความเสียหาย จะดำเนินการสั่งปิดแหล่งท่องเที่ยว เพราะจากนี้ไปคนไทยต้องรู้จักการเรียนรู้ ควบคู่กับการอนุรักษ์ เพื่อร่วมกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ของประเทศให้คงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์​และยั่งยืน​ ส่งต่อให้คนรุ่นหลัง ​ให้ลูกหลานของเราในอนาคตสืบไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35794
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมและตรวจติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานโครงการร่วมพัฒนาพื้นที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 ประชุมและตรวจติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานโครงการร่วมพัฒนาพื้นที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ระพีภัทร์ เป็นประธานการประชุมและตรวจติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานโครงการร่วมพัฒนาพื้นที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อดำเนินงานตาม "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้ นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมและตรวจติดตามความก้าวหน้าในการ ดำเนินงานโครงการร่วมพัฒนาพื้นที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อดำเนินงานตาม "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ณ ค่ายนเรศวร อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ทั้งนี้รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าในแปลงสาธิตการเกษตร และร่วมปลูกต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบุรี (ต้นหว้า) โดยมี ผู้บังคับการสนับสนุนทางอากาศกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จังหวัดเพชรบุรี ร่วมประชุม และลงพื้นที่ติดตามงานนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ในวันที่ 7 ต.ค. 2563)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35793
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิธีเปิดงาน “การขับเคลื่อนนโยบาย อาชีวศึกษายกกำลังสอง”
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิธีเปิดงาน “การขับเคลื่อนนโยบาย อาชีวศึกษายกกำลังสอง” คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิธีเปิดงาน “การขับเคลื่อนนโยบาย อาชีวศึกษายกกำลังสอง” คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิธีเปิดงาน “การขับเคลื่อนนโยบาย อาชีวศึกษายกกำลังสอง” วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมปทุมมาศ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสครบรอบพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ท่านรัฐมนตรีและท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวง ผู้บริหารภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานพิธีเปิดงาน“การขับเคลื่อนนโยบาย อาชีวศึกษายกกำลังสอง” ในวันนี้ ซึ่งจะเป็นการแสดงนโยบาย ด้านอาชีวศึกษา ถือเป็นโอกาสอันดีที่ทุกท่านจะได้ร่วมมือกันยกระดับคุณภาพอาชีวะไทยให้ก้าวไกล และเป็นกำลังสำคัญของประเทศ การศึกษาและการพัฒนาทุนมนุษย์เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชาติ สร้างประเทศ ระบบการศึกษาจะต้องผลิตบุคลากรออกมาให้สอดรับกับความต้องการ ของตลาดแรงงาน เพื่อให้คนไทยสามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคง มีรายได้ และสามารถยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของตนเองและครอบครัวได้ จากที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดงานอาชีวศึกษายกกำลังสอง ในครั้งนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาและอาชีวะไทย ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นการร่วมกันกำหนดอนาคตของชาติ จากการกำหนดการศึกษาของลูกหลานของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างและพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา ให้ได้มีโอกาสทบทวนองค์ความรู้ในการปฏิบัติงานด้านวิชาชีพที่เป็นระดับสากลและทันสมัย ตลอดจนนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาปรับใช้กับคนอาชีวะ อาชีวศึกษา เป็นการเรียนรู้ทักษะจากการปฏิบัติงานจริง นับเป็นแหล่งการผลิตบุคลากรที่สำคัญของตลาดแรงงาน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ อาชีวศึกษาจึงจำเป็นต้องมีการปรับรูปแบบให้สอดรับกับบริบทโลกและทันต่อการเปลี่ยนแปลง ต้องมีความเป็นเลิศในสาขาวิชาชีพของตน เป็นบุคลากรที่มีฝีมือ ตลอดจนมีทักษะที่เป็นที่ต้องการ และมีความคิดสร้างสรรค์นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ภารกิจในครั้งนี้ ผมยังถือว่าอยู่ในช่วงจังหวะของการเริ่มต้น ซึ่งยังมี อีกหลายเรื่อง หลายด้านที่ต้องบูรณาการความร่วมมือกันเดินไปข้างหน้า ผมและรัฐบาลมีหน้าที่ในการแก้ไข ขจัดปัญหาและอุปสรรค ที่เป็นสิ่งกีดขวางการดำเนินภารกิจ ด้านการศึกษา ซึ่งรวมถึงด้านการจัดสรรงบประมาณ หากคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปรับรูปแบบ ปรับแนวทางการบริหารการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รัฐบาลก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุน เช่นเดียวกับปัญหาอื่น ๆ ที่เป็นข้อติดขัดในการขับเคลื่อนด้านการศึกษาให้ไปข้างหน้า ขอให้สะท้อนปัญหามาถึงผมโดยเร็วหรือผ่านมาทางท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อผมจะได้หาแนวทางแก้ไขให้เดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว และคล่องตัวมากขึ้น การให้ความสำคัญกับ 7 สายอาชีพหลัก ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี จากที่มีภาคเอกชนมากกว่า 30 องค์กร ร่วมกับวิทยาลัยอาชีวะ ในลักษณะ 1 ต่อ 1 เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (Human Capital Excellence Center: HCEC และอีกสิ่งสำคัญที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการ คือ การเร่งผลิตบุคลากรคุณภาพ ให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ขณะเดียวกัน ผมคิดว่า เรายังสามารถขยายความเป็นเลิศในสายอาชีพอื่น ๆ ได้อีก รวมถึงสามารถสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนที่หลากหลาย และสามารถกระจายตัวไปได้ทั่วประเทศ เพราะตามเป้าหมายนั้น เราต้องมีศูนย์นี้ ครบ 100 ศูนย์ ในปี 2564 ดังนั้น สิ่งสำคัญ คือ ต้องคำนึงถึงความสามารถของท้องถิ่นในแต่พื้นที่ที่มีบริบทที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย ที่ยังสามารถส่งเสริม และสนับสนุนให้เกิดวงจรธุรกิจที่มีนวัตกรรม มีความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อการสร้างผลิตผลที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย และสอดคล้องกับอัตลักษณ์ในแต่ละพื้นที่ได้ด้วย ในภายภาคหน้า ความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และทุกภาคส่วน จะเป็นการร่วมกันผลิตกำลังคนอาชีวะทักษะสูง ที่เข้าถึงความต้องการที่เกิดขึ้น และตอบโจทย์ประเทศ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การพัฒนาอาชีวศึกษาในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของประเทศไทย จากการ มีบุคลากรที่มีองค์ความรู้ พร้อมต่อการปฏิบัติงาน และสามารถปฏิบัติงานได้จริง และยังสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมพัฒนาลงทุน ในประเทศไทย ซึ่งในระยะยาวจะช่วยให้ประเทศไทยมีความั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในโอกาสนี้ ผมขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาคราชการ และภาคเอกชน ตลอดจนผู้บริหารโรงเรียนทุกท่าน ที่เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาและสร้างการเปลี่ยนแปลง ระบบการศึกษาอาชีวะไทยและเยาวชนไทย และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้ปรากฎเป็นผลสัมฤทธิ์เกิดขึ้น โดยเฉพาะภาคเอกชน ที่ได้ให้ความร่วมมือเข้ามาสนับสนุoและให้โอกาสคนอาชีวะ ได้เป็นกำลังสำคัญที่มีคุณภาพและความพร้อมต่อการปฏิบัติงานจริง ผมมีหลักคิดว่า ฐานรากของการมีคนดี และคนเก่ง คือคุณภาพการศึกษา และฐานรากของระบบเศรษฐกิจที่ดีคือการมีคนดี และคนเก่ง เข้ามาเป็นกลไกขับเคลื่อนในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนระบบการศึกษา โดยเฉพาะงานอาชีวศึกษายกกำลังสองในวันนี้ จะเป็นส่วนเชื่อมต่อสำคัญในการนำพาประเทศให้เติบโต และก้าวหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง และจะเป็นการยกระดับความภาคภูมิใจ ยกระดับศักดิ์ศรีของผู้ที่ผ่านการศึกษาด้านอาชีวะ อันเป็นกำลังสำคัญของประเทศ บัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเปิดงาน“การขับเคลื่อนนโยบาย อาชีวศึกษายกกำลังสอง” นี้ และขออำนวยพรให้การสัมมนาสำเร็จลุล่วงด้วยดีเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาไทย อาชีวะไทย และเยาวชนไทย ต่อไป ขอบคุณครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35791
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หนุนเกษตรกรปลูกพืชแหนแดง
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 หนุนเกษตรกรปลูกพืชแหนแดง ‘รมช.ประภัตร’ หนุนเกษตรกรปลูกพืชแหนแดง ลดต้นทุนผลิตอาหารสัตว์ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันการเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรไทยยังคงประสบปัญหาด้านราคาวัตถุดิบอาหารที่มีราคาสูง ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อย ดังนั้น นโยบายการส่งเสริมอาชีพเลี้ยงสัตว์ ในโครงการภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ และกิจการที่เกี่ยวเนื่องฯ จึงมุ่งหาอาชีพให้กับเกษตรกรได้สร้างรายได้ ซึ่งการปลูกพืชอาหารสัตว์ อาทิ แหนแดง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หญ้าเนเปียร์ ถือเป็นอาชีพทางเลือกที่เป็นทางออกให้กับเกษตรกร ซึ่งแหนแดง เป็นพืชที่ใช้เวลาปลูกระยะสั้นเติบโตเร็ว 15-30 วัน สามารถขายได้ เป็นที่ต้องการของตลาด โปรตีนสูง และมีไนโตรเจนสูงถึง 5 % ในขณะที่ปุ๋ยพืชสดตระกูลถั่วมีธาตุอาหารไนโตรเจนประมาณ 2.5 - 3 % ขณะที่ราคาอาหารสัตว์ท้องตลาดราคา 12 บาท/กก. แต่หากเป็นอาหารที่ผสมเองราคา 4 บาท/กก. เป็นการลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกร สำหรับแหนแดง เป็นเฟิร์นชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็ก พบอยู่ตามบริเวณน้ำนิ่ง เช่น บ่อ หรือคูน้ำ สำหรับแหนแดงพันธุ์กรมวิชาการเกษตรให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์พื้นเมืองถึง 10 เท่า เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่บนผิวน้ำในนาข้าว 1 ไร่ จะให้ผลผลิตสดถึง 3 ตัน (150 กิโลกรัมแห้ง) ซึ่งเป็นปริมาณไนโตเจนได้ประมาณ 6 - 7 กิโลกรัม ประโยชน์คือ ทดแทนหรือลดการใช้ปุ๋ยเคมีไนโตรเจน เพิ่มอินทรีย์วัตถุให้แก่ดิน ใช้เป็นปุ๋นอินทรีย์สำหรับพืชผัก และไม้ผล ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมี ใช้เป็นแหล่งโปรตีนสำหรับเลี้ยงสัตว์ และมีต้นทุนต่ำ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35802
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ถกกุนซือ พัฒนากำลังคน รองรับ S-Curve
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 นฤมล ถกกุนซือ พัฒนากำลังคน รองรับ S-Curve รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ลุยแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ลั่น พร้อมร่วมมือทุกภาคส่วนเดินหน้าเต็มสูบ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย วันที่ 8 ตุลาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธาน จัดทำแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve โดยมีนายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และผู้แทนทั้งภาครัฐและเอกชนรวม 11 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมส่งเสริมการลงทุน คณะกรรมการอาชีวศึกษา สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ศ. นฤมล กล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้กำหนดทิศทางการพัฒนากำลังแรงงานของประเทศไว้ 3 ประการ ประกอบด้วย “สร้าง ยก ให้” โดย สร้างแรงงานคุณภาพให้มีความรู้และทักษะตามความต้องการของตลาดแรงงาน ยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงานเพื่อรองรับอัตราค่าจ้างที่สูงขึ้น และให้แรงงานกลุ่มเปราะบางทางสังคม ได้แก่ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย แรงงานสตรี ผู้สูงอายุ ได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะฝีมืออย่างเท่าเทียม เพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยกำลังประสบปัญหาการจ้างงานลดลง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย การแพร่ระบาดของโควิด-19 และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ภาครัฐจึงต้องใช้กลไกการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ร่วมกันวางแผนการพัฒนากำลังคนและจับคู่คนกับงานให้เหมาะสม ทำให้แรงงานไทยสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อให้เศรษฐกิจและสังคมไทยเดินหน้าต่อไปได้ในวิถีใหม่และเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การพัฒนากำลังคนสอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม จึงได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำหน้าที่กำหนดแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาแรงงานและประสานงานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ทำงานแบบบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและติดตามประเมินผล จึงจัดทำร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น โดยมีนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะทำงาน เพื่อขจัดปัญหาความซ้ำซ้อน และร่วมกันกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกี่ยวกับการพัฒนากำลังแรงงานของประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve เมื่อผ่านความเห็นชอบจากการประชุมในครั้งนี้แล้ว จะเสนอให้ กพร.ปช. ซึ่งมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ์ เป็นประธาน ได้พิจารณาต่อไป “การตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อนบางอุตสาหกรรม เช่น อนุกรรมการด้านอุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหรรมด้านโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมด้านเกษตร เป็นต้น ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถเริ่มขับเคลื่อนได้ก่อนนั้น ขอให้คณะอนุกรรมการร่วมได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อประกอบการตัดสินใจในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะการดูความพร้อมและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อแผนการขับเคลื่อนประเทศในระยะยาวทั้งด้านแรงงานและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ หลังจากนั้นจึงค่อยวางแผนตั้งคณะอนุกรรมการในอุตสาหกรรมอื่นๆ ในลำดับถัดไป โดยต้องเสนอต่อที่ประชุมของคณะกรรมการ กพร.ปช. ต่อไป สิ่งสำคัญที่ต้องฝากคณะกรรมการร่วมในชุดนี้คือ การกำหนดแผนพัฒนากำลังคนทั้งประเทศออกมาให้ได้ เพื่อนำเสนอในที่ประชุม กพร.ปช.ในครั้งต่อไปด้วย” รมช. แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35801
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” อบรมแกนนำอาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) ส่งเสริมและให้ความรู้การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแก่ประชาชนในพื้นที่ ขับเคลื่อนภารกิจสำคัญของกระทรวงฯ
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 “ดีอีเอส” อบรมแกนนำอาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) ส่งเสริมและให้ความรู้การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแก่ประชาชนในพื้นที่ ขับเคลื่อนภารกิจสำคัญของกระทรวงฯ “ดีอีเอส” อบรมแกนนำอาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) ส่งเสริมและให้ความรู้การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแก่ประชาชนในพื้นที่ ขับเคลื่อนภารกิจสำคัญของกระทรวงฯ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมแกนนำอาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) ภายใต้โครงการการพัฒนาอาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) ณ โรงแรม ทีเค พาเลซ & คอนเวนชั่น ทั้งนี้โครงการการพัฒนาเครือข่ายอาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) จัดทำขึ้นในปีงบประมาณ 2563 เพื่อสร้างแกนนำเครือข่ายอาสาสมัครดิจิทัลระดับอำเภอ จำนวน 880 คน ซึ่งจะเป็นผู้แทนกระทรวงดิจิทัลฯ ขับเคลื่อนนโยบายและภารกิจที่สำคัญของกระทรวงดิจิทัลฯ และหน่วยงานในสังกัด รวมถึงส่งเสริมและให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแก่ประชาชนในพื้นที่ *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35819
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ร่วมขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ หมุนเวียนอย่างยั่งยืน
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ร่วมขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ หมุนเวียนอย่างยั่งยืน พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เดินทางไปปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยในช่วงเช้า ได้เป็นประธานการประชุมผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๓ ณ ห้องประชุม วิรรธน์ ปฐมภาคย์ บก.พล.ร.ด๕ ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส และคณะกรรมการโครงการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันของ ๓ จังหวัดขายแดนภาคใต้ เพื่อรับทราบแผนงานแนวทางการดำเนินการตามโครงการของคณะกรรมการฯ แต่ละจังหวัดที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆให้สามารถขับเคลื่อนไปได้ตามเป้าหมายและกรอบวงเงินงบประมาณปี ๒๕๖๔ ที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประชาชนในพื้นที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด ช่วงบ่ายได้เดินทางไปเยี่ยมชมโครงการพัฒนาและส่งเสริมการเพาะเลี้ยงปูทะเลให้เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิชนิดใหม่ ร่วมกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูบำชายเลน เพื่อสร้างจังหวัดชายแดนภาคใต้สู่เมืองปูทะเลโลก ที่ ต.บางปู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ซึ่งหน่วยงานภาครัฐ ๓ หน่วยงาน (ศอ.บต. ม.สงขลานคริทร์, กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) ได้บูรณาการ ร่วมกันในการส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนพัฒนาการเพาะเลี้ยงปูทะเลอย่างครบวงจรในพื้นที่ชายฝั่งทะเลของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับการฟื้นฟูและใช้ประโยชน์จากฟื้นที่ป่าชายเลนอย่างเหมาะสม เพื่อให้เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจชนิดใหม่ที่จะสร้างรายได้ให้แก่เกษตรชาวประมงและผู้ประกอบการในอนาคต อันสอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ ๒๐ ปี (๘ ตค.๖๓)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35804
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กิจกรรมสร้างสุขในยุค New Normal
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 กิจกรรมสร้างสุขในยุค New Normal มีอะไรบ้างนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35823
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ทส.​ ประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ครั้งที่​ 4/2563 ยกระดับคุณภาพการดำเนินงานเข้มข้น​ รวดเร็ว​ มีประสิทธิภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 ​ทส.​ ประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ครั้งที่​ 4/2563 ยกระดับคุณภาพการดำเนินงานเข้มข้น​ รวดเร็ว​ มีประสิทธิภาพ ​ทส.​ ประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ครั้งที่​ 4/2563 ยกระดับคุณภาพการดำเนินงานเข้มข้น​ รวดเร็ว​ มีประสิทธิภาพ วันนี้​ (7​ ตุลาคม 2563) เวลา​ 16.00​ น.​นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ (รมว.ทส.)​ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ครั้งที่​ 4/ 2563​ และมอบกรอบแนวทางในการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ​ พ.ศ.2564 ณ​ ห้องอารีย์สัมพันธ์​ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม​ ​ เพื่อยกระดับคุณภาพการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ให้มีความเข้มเข้น​ รวดเร็ว​ มีคุณภาพ​ โดยโอกาสนี้​ รมว.ทส. กล่าวขอบคุณผู้บริหาร​ ข้าราชการ​ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ​ ทุกท่าน​ที่ร่วมกันขับเคลื่อนให้การทำงานของกระทรวงฯ​ในรอบปีที่ผ่านมา​ ทั้งนี้​ แนวทางในการดำเนินงานที่มอบในครั้งนี้มีหลายมิติ​ สรุปสาระสำคัญดังนี้ 1. การดำเนินงานโครงการในพระราชดำริ​ และโครงการที่อยู่ภายใต้พระบรมวงศานุวงศ์​ของทุกๆ​ พระองค์​ ขอให้ความสำคัญอันดับหนึ่ง​และให้ดำเนินงานอย่างเต็มกำลัง​ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน 2. การใช้ประโยชน์จากป่าชุมชน​ การสร้างงานสร้างอาชีพ​ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว​แหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติ​ในพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวง ขอให้สร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวอย่างมีคุณภาพ​ โดยขอให้เข้มงวดและปฏิบัติตามกฎ กติกา​อย่างเคร่งครัด​ เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ให้ลูกหลานในอนาคตต่อไป 3. เรื่องทรัพยากรน้ำ​ ขอให้เตรียมรับมือสถานการณ์ภัยแล้ง​ โดยให้ดำเนินการจัดหาแหล่งน้ำ​ สำรวจและขุดเจาะน้ำบาดาลในทุกๆ​ ตำบลในพื้นที่แล้งซ้ำซาก​ เพื่อให้ประชาชนมีน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค​ 4. เรื่องการลดมลพิษ​ ขอให้มีการควมคุมของเสียจากแหล่งกำเนิดมลพิษ​ทั้งขยะในครัวเรือน​ ขยะในประเทศ​ และขยะที่นำเข้าจากต่างประเทศ​ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 5. เรื่องงบประมาณ​ และเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง​ ขอให้เร่งรัดและดำเนินการอย่างรัดกุมและรอบคอบ 6. เรื่องกฎหมาย​ทั้งในส่วนของกฎหมายหลักและกฎหมายลูก​ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ​ ของเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ 7.​ การปรับโครงสร้างภายในหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ​ ขอให้เร่งดำเนินงาน​โดยให้สอดคล้องกับภารกิจและกฎหมาย​ อีกทั้งให้สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนด้วย 8.​ เรื่องคุณธรรมจริยธรรม​ ขอให้กำหนดแนวทางในการดำเนินงานให้ชัดเจน 9.​ การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและพื้นที่ทับซ้อน​ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวรับผิดชอบเดำเนินการให้แล้วเสร็จเป็นรายจังหวัดโดยเร่งด่วนต่อไป ทั้งนี้ การประชุมในครั้ง​มี นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ตลอดจนรองปลัดกระทรวงฯ ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ หัวหน้าหน่วยงานและรองหัวหน้า​ในสังกัดกระทรวงฯ​ ร่วมประชุม​และรับมอบแนวทางในการดำเนินงานด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35809
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 8 ตุลาคม 2563
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 8 ตุลาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา 1 ราย, อินเดีย 1 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย, ฮังการี 2 ราย, เนเธอแลนด์ 1 ราย, คูเวต 1 ราย) สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา 1 ราย, อินเดีย 1 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย, ฮังการี 2 ราย, เนเธอแลนด์ 1 ราย, คูเวต 1 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด และโรงพยาบาลทางเลือก มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 48 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,439 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.95 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 124 ราย หรือร้อยละ 3.42 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,622ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก สหรัฐอเมริกา 1 ราย เพศชาย อายุ 61 ปี สัญชาติอเมริกัน อาชีพพนักงานในสถานบันเทิง เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 19 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 1 ตุลาคม 2563 (วันที่ 12 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร อินเดีย 1 รายเพศหญิง อายุ 25 ปี สัญชาติไทย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 25 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 6 ตุลาคม 2563 (วันที่ 11 ของการกักตัว) มีอาการไอ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 2 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 รายเพศหญิง อายุ 23 ปี สัญชาติไทย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 25 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 6 ตุลาคม 2563 (วันที่ 11 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 1 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล ฮังการี 2 รายทั้ง 2 ราย มีสัญชาติไทย ออกเดินทางจากเนเธอร์แลนด์ถึงประเทศไทยวันที่ 1 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี รายแรก เพศชายอายุ 52 ปี อาชีพรับจ้าง พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 1 วันที่ 5 ตุลาคม 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี รายที่ 2 เพศหญิงอายุ 45 ปี อาชีพพนักงานนวด พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 1 วันที่ 6 ตุลาคม 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี เนเธอร์แลนด์ 1 ราย เพศหญิง อายุ 34 ปี สัญชาติไทย อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 1 วันที่ 5 ตุลาคม 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 6 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล คูเวต 1 รายเพศหญิง อายุ 45 ปี สัญชาติคูเวต ติดตามผู้ป่วยที่มารักษาด้วยโรคอื่น เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 5 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 5 ตุลาคม 2563 (วันแรกของการกักตัว) ไม่มีอาการ มีประวัติเคยติดเชื้อโควิค 19 เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา และพบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 7 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ของประเทศไทยขณะนี้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ มากกว่าร้อยละ 80 ไม่มีอาการ ภาครัฐยังคงใช้มาตรการกักตัวผู้เดินทางเป็นเวลา 14 วัน (ซึ่งอยู่ระหว่างการทบทวนจำนวนวันกักกันให้เหลือ 10 วันตามข้อมูลวิชาการ) ทั้งในส่วนผู้ที่เดินทางทางอากาศ และผ่านด่านพรมแดน จากรายงานของกรมควบคุมโรค ตั้งแต่เริ่มอนุญาตให้มีการเดินทางเข้าประเทศ ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2563 มีผู้เดินทางเข้าประเทศสะสม 107,770 ราย พบผู้ติดเชื้อ 684 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.63 ของผู้เดินทางเข้าประเทศ โดยทุกคนเข้ารับการกักตัวในสถานกักตัวรูปแบบต่างๆ ดังนี้ สถานกักตัวที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) 55,426 ราย, สถานกักตัวในท้องถิ่น (Local Quarantine) 30,871 ราย, สถานกักตัวที่รัฐกำหนดทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่น (Alternative State Quarantine / Alternative Local Quarantine) 18,380 ราย, โรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) 917 ราย และสถานกักตัวรูปแบบเฉพาะองค์กร (Organization Quarantine) 2,176 ราย นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า สถานการณ์บริเวณพื้นที่ชายแดนของประเทศขณะนี้ยังเป็นที่น่ากังวลเนื่องจากในประเทศเพื่อนบ้านยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าหน่วยงานภาครัฐจะคุมเข้มในพื้นที่ดังกล่าวแล้วแต่อาจมีลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายได้ ซึ่งกลุ่มนี้จะไม่ได้ผ่านการคัดกรองและกักกันโรคตามมาตรการ ซึ่งหากเกิดการแพร่เชื้อจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต และระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ กระทรวงสาธารณสุขจึงขอความร่วมมือหน่วยงานต่างๆ และประชาชนช่วยกันสอดส่องหากพบผู้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย หรือมีแรงงานผิดกฎหมายขอเข้าทำงานให้แจ้งเจ้าหน้าที่โดยเร็ว และให้ทุกคนยังคงต้องป้องกันตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ เลี่ยงสถานที่แออัดมีคนจำนวนมาก เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่และสัมผัสเชื้อ ขณะนี้ประเทศไทยมีอากาศเปลี่ยนแปลงอาจป่วยด้วยโรคไข้หวัดได้ง่าย ซึ่งโรคโควิด 19 และไข้หวัดผู้ป่วยจะมีอาการใกล้เคียงกันมาก ขอให้ทุกคนเฝ้าระวังสังเกตอาการป่วยของตนเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ โดยเฉพาะหากป่วยด้วยอาการ ไข้ ไอ เจ็บคอ มีอาการระบบทางเดินหายใจ ลิ้นรับรส หรือจมูกได้กลิ่นลดลง ภายหลังจากเดินทางไปในที่ชุมชน สถานที่แออัด ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาทันที ************************************ 8 ตุลาคม 2563 ************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35813
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมว.ทส. 'วราวุธ'​ ลงพื้นที่ถ้ำนาคา​เตรียมความพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยว​ 5 ตุลาคม​นี้​ ย้ำ​ หากพบความเสียหายอีกจะดำเนินการปิดทันที
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 ​รมว.ทส. 'วราวุธ'​ ลงพื้นที่ถ้ำนาคา​เตรียมความพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยว​ 5 ตุลาคม​นี้​ ย้ำ​ หากพบความเสียหายอีกจะดำเนินการปิดทันที ​รมว.ทส. 'วราวุธ'​ ลงพื้นที่ถ้ำนาคา​เตรียมความพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยว​ 5 ตุลาคม​นี้​ ย้ำ​ หากพบความเสียหายอีกจะดำเนินการปิดทันที นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.)​ พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหาร ทส. ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงานเตรียมความพร้อมการนำนักท่องเที่ยวเข้าชมบริเวณถ้ำนาคา พร้อมให้แนวทางในการป้องกัน ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณถ้ำนาคา เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2563 นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส.​ เปิดเผยว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ โดยกรมอุทยานแห่งชาติ​ สัตว์ป่า​ และพันธุ์พืช​ จะเปิดให้นักท่องเที่ยวและประชาชน​ เข้าชมถ้ำนาคาได้ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป โดยกำหนดให้เข้าชมได้ไม่เกินวันละ 350 คน ซึ่งจะแบ่งการเข้าชมออกเป็นรอบ​ๆ​​ละ10 คน โดยมัคคุเทศก์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดูแลนักท่องเที่ยว ไม่ให้​ทำลาย​ หรือทำให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณถ้ำนาคาและบริเวณพื้นที่​โดยรอบเกิดความเสียหาย​ ทั้งนี้​ ถ้าหากฝ่าฝืน​ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ดังกล่าวเสียหาย​ ตนจะมอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการปิดทันที​ เพื่อวางมาตรการในการอนุรักษ์​ ฟื้นฟู​ ดูแล​ รักษา​ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35799
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต ตรวจเยี่ยม รพ.พัทลุง และรพ.ตะโหมด พร้อมเยี่ยมเสริมพลัง อสม. สู้ภัยโควิด
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 รมช.สาธิต ตรวจเยี่ยม รพ.พัทลุง และรพ.ตะโหมด พร้อมเยี่ยมเสริมพลัง อสม. สู้ภัยโควิด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโรงพยาบาลพัทลุง และโรงพยาบาลตะโหมด พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเยี่ยมเสริมพลัง อสม.ด่านหน้าเฝ้าระวังโควิด 19 ข่าวเพื่อมวลชน Home ข่าวเพื่อมวลชน รายละเอียด พิมพ์ย้อนกลับRefresh รมช.สาธิต ตรวจเยี่ยม รพ.พัทลุง และรพ.ตะโหมด พร้อมเยี่ยมเสริมพลัง อสม. สู้ภัยโควิด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโรงพยาบาลพัทลุง และโรงพยาบาลตะโหมด พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเยี่ยมเสริมพลัง อสม.ด่านหน้าเฝ้าระวังโควิด 19 วันนี้ (8 ตุลาคม 2563) ที่ จ.พัทลุง ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโรงพยาบาลพัทลุง และโรงพยาบาลตะโหมด พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ว่า ขอชื่นชม โรงพยาบาลพัทลุง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดที่มีศักยภาพสูงเป็นศูนย์โรคหัวใจแบบครบวงจรระดับ 1 ให้บริการตรวจรักษา ตรวจสมรรถสภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเสียงสะท้อนความถี่สูง ทำการรักษาด้วยการสวนหัวใจและหลอดเลือด ผ่าตัดหัวใจแบบเปิด มีเตียงให้บริการจำนวน 11 เตียง ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้ทันถ่วงที ลดอัตราการเสียชีวิต ลดการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลศูนย์ ทำให้มีผู้ป่วยรอดชีวิตจากโรคหัวใจเฉลี่ย 160 คนต่อเดือน นอกจากนี้ โรงพยาบาลพัทลุง ยังเป็นต้นแบบศูนย์เครื่องมือแพทย์ระดับประเทศ ที่พัฒนาระบบการบริหารจัดการเครื่องมือแพทย์ให้เพียงพอพร้อมใช้ ได้มาตรฐานและปลอดภัยปัจจุบันยกระดับเป็นศูนย์เครื่องมือแพทย์ประจำจังหวัดพัทลุง ที่ดูแลระบบบริหารจัดการเครื่องมือแพทย์ในภาพรวมของจังหวัด โดยใช้ทรัพยากร บุคลากรร่วมกัน อบรมให้ความรู้ เป็นที่ศึกษาดูงานให้กับหน่วยงานต่างๆ และเครือข่ายในพื้นที่ ครอบคลุมทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและโรงพยาบาลชุมชน สำหรับโรงพยาบาลตะโหมด เป็นโรงพยาบาลชุมชนที่กำลังพัฒนายกระดับให้เป็นโรงพยาบาล 60 เตียง รองรับการรักษาประชาชนใน 6 อำเภอโซนใต้ ได้แก่ อำเภอตะโหมด อำเภอป่าบอน อำเภอบางแก้ว อำเภอเขาชัยสน อำเภอกงหรา และอำเภอปากพะยูนโดยจะเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการด้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน ผู้ป่วยโรคไต ที่ต้องฟอกเลือด ตรวจรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าถึงบริการของประชาชน และช่วยลดความแออัดของผู้ป่วยที่ต้องส่งต่อไปพบแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลพัทลุง ขณะนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมด้าน บุคลาการ โดยส่งแพทย์ไปศึกษาต่อเฉพาะทางอายุรกรรมแล้ว 1 คน ซึ่งจะจบการศึกษาในปี 2566 และได้รับการสนับสนุนอาคารอุบัติเหตุ สำหรับแผนพัฒนาต่อไปจะต้องส่งแพทย์ไปศึกษาต่อเฉพาะทางอีก 2 คน และมีอาคารสนับสนุนบริการและระบบบำบัดน้ำเสีย นอกจากนี้ ได้เยี่ยมเสริมพลังให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อำเภอเมืองพัทลุง อำเภอตะโหมด อำเภอป่าบอน และอำเภอปากพะยูนที่เป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนทำให้ประเทศไทยควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 ได้ดี จนได้รับคำยกย่องจากนานาประเทศ "ขอขอบคุณ อสม.ทุกท่านที่เป็นด่านหน้าคัดกรอง ค้นหาผู้ป่วยโควิด 19 เชิงรุกในพื้นที่ สำหรับค่าตอบแทนที่ท่านได้รับเกิดจากการทำงานที่เข้มแข็งขอให้ อสม.ทุกท่านรักษาจุดแข็ง ในการเป็นจิตอาสาดูแลสุขภาพประชาชนทั้งประเทศต่อไป นอกจากจะดูแล ป้องกันโรคโควิด19 แล้ว ขอให้ อสม.ช่วยดูแลให้คำแนะนำในการบริโภคอาหาร ลดหวาน มัน เค็ม และส่งเสริมออกกำลังกาย ป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิต และโรคอื่นๆ" ดร.สาธิตกล่าว ************************************ 8 ตุลาคม 2563 *** ข่าวเพื่อมวลชน Home ข่าวเพื่อมวลชน รายละเอียด พิมพ์ย้อนกลับRefresh รมช.สาธิต ตรวจเยี่ยม รพ.พัทลุง และรพ.ตะโหมด พร้อมเยี่ยมเสริมพลัง อสม. สู้ภัยโควิด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโรงพยาบาลพัทลุง และโรงพยาบาลตะโหมด พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเยี่ยมเสริมพลัง อสม.ด่านหน้าเฝ้าระวังโควิด 19 วันนี้ (8 ตุลาคม 2563) ที่ จ.พัทลุง ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโรงพยาบาลพัทลุง และโรงพยาบาลตะโหมด พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ว่า ขอชื่นชม โรงพยาบาลพัทลุง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดที่มีศักยภาพสูงเป็นศูนย์โรคหัวใจแบบครบวงจรระดับ 1 ให้บริการตรวจรักษา ตรวจสมรรถสภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเสียงสะท้อนความถี่สูง ทำการรักษาด้วยการสวนหัวใจและหลอดเลือด ผ่าตัดหัวใจแบบเปิด มีเตียงให้บริการจำนวน 11 เตียง ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้ทันถ่วงที ลดอัตราการเสียชีวิต ลดการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลศูนย์ ทำให้มีผู้ป่วยรอดชีวิตจากโรคหัวใจเฉลี่ย 160 คนต่อเดือน นอกจากนี้ โรงพยาบาลพัทลุง ยังเป็นต้นแบบศูนย์เครื่องมือแพทย์ระดับประเทศ ที่พัฒนาระบบการบริหารจัดการเครื่องมือแพทย์ให้เพียงพอพร้อมใช้ ได้มาตรฐานและปลอดภัยปัจจุบันยกระดับเป็นศูนย์เครื่องมือแพทย์ประจำจังหวัดพัทลุง ที่ดูแลระบบบริหารจัดการเครื่องมือแพทย์ในภาพรวมของจังหวัด โดยใช้ทรัพยากร บุคลากรร่วมกัน อบรมให้ความรู้ เป็นที่ศึกษาดูงานให้กับหน่วยงานต่างๆ และเครือข่ายในพื้นที่ ครอบคลุมทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและโรงพยาบาลชุมชน สำหรับโรงพยาบาลตะโหมด เป็นโรงพยาบาลชุมชนที่กำลังพัฒนายกระดับให้เป็นโรงพยาบาล 60 เตียง รองรับการรักษาประชาชนใน 6 อำเภอโซนใต้ ได้แก่ อำเภอตะโหมด อำเภอป่าบอน อำเภอบางแก้ว อำเภอเขาชัยสน อำเภอกงหรา และอำเภอปากพะยูนโดยจะเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการด้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน ผู้ป่วยโรคไต ที่ต้องฟอกเลือด ตรวจรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าถึงบริการของประชาชน และช่วยลดความแออัดของผู้ป่วยที่ต้องส่งต่อไปพบแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลพัทลุง ขณะนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมด้าน บุคลาการ โดยส่งแพทย์ไปศึกษาต่อเฉพาะทางอายุรกรรมแล้ว 1 คน ซึ่งจะจบการศึกษาในปี 2566 และได้รับการสนับสนุนอาคารอุบัติเหตุ สำหรับแผนพัฒนาต่อไปจะต้องส่งแพทย์ไปศึกษาต่อเฉพาะทางอีก 2 คน และมีอาคารสนับสนุนบริการและระบบบำบัดน้ำเสีย นอกจากนี้ ได้เยี่ยมเสริมพลังให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อำเภอเมืองพัทลุง อำเภอตะโหมด อำเภอป่าบอน และอำเภอปากพะยูนที่เป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนทำให้ประเทศไทยควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 ได้ดี จนได้รับคำยกย่องจากนานาประเทศ "ขอขอบคุณ อสม.ทุกท่านที่เป็นด่านหน้าคัดกรอง ค้นหาผู้ป่วยโควิด 19 เชิงรุกในพื้นที่ สำหรับค่าตอบแทนที่ท่านได้รับเกิดจากการทำงานที่เข้มแข็งขอให้ อสม.ทุกท่านรักษาจุดแข็ง ในการเป็นจิตอาสาดูแลสุขภาพประชาชนทั้งประเทศต่อไป นอกจากจะดูแล ป้องกันโรคโควิด19 แล้ว ขอให้ อสม.ช่วยดูแลให้คำแนะนำในการบริโภคอาหาร ลดหวาน มัน เค็ม และส่งเสริมออกกำลังกาย ป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิต และโรคอื่นๆ" ดร.สาธิตกล่าว ************************************ 8 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35815
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร ติดตามความคืบหน้าแก่งน้ำต้อน
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 รมช.ประภัตร ติดตามความคืบหน้าแก่งน้ำต้อน รมช.ประภัตร ติดตามความคืบหน้าแก่งน้ำต้อน เป็นแหล่งรองรับน้ำและเก็บกักน้ำ แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังรับฟังบรรยายสรุปและรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรและประชาชนแก่งน้ำต้อน ในโอกาสติดตามการดำเนินงานการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น คณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ บึงแก่งน้ำต้อน บ้านสะอาด ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.ขอนแก่น ว่า โครงการพัฒนาแก่งน้ำต้อนเป็นโครงการแก้มลิงขนาดใหญ่ และเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาแก้มลิงสองฝั่งลำน้ำชี จากทั้งหมด 34 โครงการ ที่กรมชลประทานได้ดำเนินการตามแนวพระราชดำริ ตั้งแต่ปี 2539 มีพื้นที่หนอง 6,196 ไร่ สภาพปัจจุบันตื้นเขิน ในช่วงฤดูน้ำหลากเกิดน้ำท่วมขัง พื้นที่ลุ่มต่ำบริเวณรอบหนองไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งเนื่องจากไม่มีอาคารบังคับน้ำ จึงทำให้ราษฎร 33,877 คน พื้นที่เกษตรโดยรอบกว่า 35,000 ไร่ ขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภค-บริโภค และการเกษตร ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมชลประทานได้ดำเนินการพัฒนาแก่งน้ำต้อนมาตั้งแต่ปี 2543 และในปี 2561-2562 ได้รับงบประมาณในการศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้น การสำรวจขอบเขตโครงการ รวมถึงการออกแบบโครงการแก้มลิงแก่งน้ำต้อนระยะที่ 1 ความก้าวหน้าปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำเอกสารรายละเอียดเพื่อเตรียมการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในปีงบประมาณ 2564 โดยมีแนวทางในการขุดลอกพื้นที่บึงแก่งน้ำต้อนพร้อมปรับปรุงคันดินโดยรอบ 6,196 ไร่ หากโครงการแล้วเสร็จ จะทำให้เกิดประโยชน์โดยเพิ่มปริมาณเก็บกักน้ำจากเดิม 7.431 ล้าน ลบ.ม. เป็น 35.02 ล้าน ลบ.ม. รวมทั้งเพิ่มพื้นที่ชลประทานใน 7 ตำบล 3 อำเภอ ประมาณ 35,000 ไร่ เป็นแหล่งรองรับน้ำและเก็บกักน้ำที่สำคัญของลำน้ำชี เพื่อช่วยลดปัญหาน้ำท่วมและปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคของราษฎร ทั้งยังเก็บกักน้ำไว้สำหรับสนับสนุนการเพาะปลูกในพื้นที่การเกษตร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของราษฎรในพื้นที่ให้ดีขึ้น หากได้รับการพัฒนาจะบรรจุน้ำได้อย่างเต็มศักยภาพ ตลอดจนบูรณาการร่วมกับท้องถิ่นในการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในอนาคต นายประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการแก้มลิงแก่งน้ำต้อน มีแผนพัฒนาแก้มลิงแก่งน้ำต้อนพร้อมอาคารประกอบ(ระยะที่ 1) ปี 2564-2567 แผนงานก่อสร้าง 4 ปี งบประมาณ 750 ล้านบาท ซึ่งจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ปี 2524-2560 รวมพื้นที่ชลประทาน 5,130 ไร่ ปริมาตรเก็บกักเพิ่มขึ้น 2.431 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ขุดลอก 566.50 ไร่ งบประมาณ 90.05 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ได้รับฟังรายงานและติดตามความคืบหน้าแล้วจะนำไปหารือกับกรมชลประทาน เพื่อเร่งรัดการดำเนินการโดยเร็วขึ้นจาก 4 ปี เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ และเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรและประชาชน ให้มีแหล่งเก็บกักน้ำเพื่อการเกษตร และอุปโภคบริโภค ต่อไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35797
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ เตือนการซื้อ-ขาย สลากผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ตัวแทนที่นำไปขายต่อจะถูกยกเลิกสัญญา และผู้ซื้ออาจไม่ได้รับสลากที่ตนสั่งซื้อ
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 สำนักงานสลากฯ เตือนการซื้อ-ขาย สลากผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ตัวแทนที่นำไปขายต่อจะถูกยกเลิกสัญญา และผู้ซื้ออาจไม่ได้รับสลากที่ตนสั่งซื้อ ต่อกรณีที่มีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ เป็นช่องทางในการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยมีการลงรูปภาพและข้อความเชิญชวนให้มีการซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวนมาก นั้น วันนี้ (8 ตุลาคม 2563) ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พันตำรวจเอกบุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า การที่ตัวแทนจำหน่ายสลากฯ หรือผู้ที่ทำรายการซื้อจองล่วงหน้าฯ ได้ นำสลากที่ได้รับจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ไปขายต่อ เป็นการกระทำที่ผิดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาการรับสลากไปจำหน่าย ที่กำหนดให้ ผู้ขายมีหน้าที่ต้องไปขายด้วยตนเองทุกงวดตลอดอายุสัญญา และต้องขายในลักษณะขายปลีกให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงเท่านั้น ห้ามนำไปขายส่งหรือขายให้แก่ผู้ที่ซื้อสลากเพื่อนำไปขายต่อเป็นอันขาด หากตรวจพบว่าไม่ได้ขายด้วยตนเองจะถือว่าผิดสัญญา และสำนักงานฯ จะบอกเลิกสัญญา รวมถึงยกเลิกสิทธิการลงทะเบียน กรณีเป็นผู้ซื้อจองล่วงหน้าฯ ซึ่งขณะนี้ สำนักงานฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ และผู้ที่จำหน่ายสลากเกินราคา มีความผิดตามกฎหมาย ระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อไปอีกว่า ในส่วนของผู้ซื้อสลากนั้น ขอให้ระมัดระวังในการซื้อสลากผ่านระบบการจำหน่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งนี้ หากผู้ซื้อยังไม่ได้รับใบสลากมาไว้ในครอบครอง เมื่อถูกรางวัล ท่านอาจไม่สามารถนำสลากขอรับเงินรางวัลได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35811
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 500 บาท (ต.ค.-ธ.ค. 63) เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้มีรายได้น้อย
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 กรมบัญชีกลางเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 500 บาท (ต.ค.-ธ.ค. 63) เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้มีรายได้น้อย ครม.มติเห็นชอบมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ตามโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรมให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14 ล้านคน นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ตามโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรมให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14 ล้านคน จำนวน 500 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2563 โดยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี จะได้รับ (300+500) รวมเป็น 800 บาท/เดือน และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้เกิน 30,000 บาท/ปี จะได้รับ (200+500) รวมเป็น 700 บาท/เดือน “สำหรับเดือนตุลาคม ผู้มีสิทธิจะได้รับวงเงินเพิ่มเติม จำนวน 500 บาท ในวันที่ 8 ตุลาคม 2563 และในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม จะได้รับวงเงินเพิ่มเติมในวันที่ 1 ของเดือน และขอย้ำว่า วงเงินที่ได้รับ ไม่สามารถกดเป็นเงินสดได้ การใช้จ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ที่ร้านธงฟ้าประชารัฐที่รับชำระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) หรือร้านค้าที่รับชำระเงินผ่านแอพฯ ถุงเงินประชารัฐ หากมีข้อสงสัย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35812
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​คณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ อนุมัติแนวทางการจัดทำแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 7
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 ​คณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ อนุมัติแนวทางการจัดทำแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 7 ​คณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ อนุมัติแนวทางการจัดทำแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 7 วันนี้ (8 ต.ค. 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมด้วย ที่ประชุมได้รับทราบการขับเคลื่อนการดำเนินงานกิจการและกิจกรรมด้านการกีฬา ในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และ (ร่าง) แผนการปฏิรูปประเทศด้านการกีฬา ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อกำหนดกิจกรรมปฏิรูปที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) คือ การส่งเสริมประชาชนเป็นศูนย์กลางในการสร้างวิถีชีวิตทางการกีฬาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และการสร้างโอกาสทางการกีฬาและการพัฒนานักกีฬา โดยกิจกรรมดังกล่าวจะมุ่งเน้นให้ท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการกีฬาเพื่อประชาชน และการสร้างนักกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ รวมทั้งการจัดกิจกรรมกีฬาเพื่อการออกกำลังกายและเพื่อการแข่งขัน ตลอดจนการพัฒนาการกีฬาเพื่อสร้างเศรษฐกิจอย่างครบวงจร นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาแนวทางการจัดทำแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2565-2570) โดยกรอบแนวคิดในการศึกษาจะยึดโยงกับประเด็นสำคัญ ทั้งยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (14) ประเด็นศักยภาพการกีฬา (พ.ศ. 2561 - 2580) (ร่าง) แผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 (พ.ศ. 2564 - 2565) (ร่าง) แผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และด้านวัฒนธรรม กีฬา และแรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) พระราชบัญญัตินโยบายการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. 2561 และประกาศกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต่อสถานการณ์ โควิด-19 โดย ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการกีฬา เพื่อแต่งตั้งอนุกรรมการการจัดทำแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2565 - 2570) (โดยให้เสนอที่ประชุมทราบอีกครั้ง ก่อนประธานฯ ลงนาม) ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้ยังกำชับถึงการกำหนดการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬาว่า เป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งการกีฬาแห่งประเทศไทยจะต้องเร่งดำเนินการหาวิธีการให้นักกีฬา อาจรวมไปถึงประชาชนได้ทราบเกี่ยวกับรายการสารต้องห้ามมีอะไรบ้าง เนื่องจากเป็นเรื่องที่อาจส่งผลกระทบต่อการกีฬาของประเทศได้ -------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35803
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” ร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงไซเบอร์ครั้งที่ 5
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 “พุทธิพงษ์” ร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงไซเบอร์ครั้งที่ 5 “พุทธิพงษ์” ร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงไซเบอร์ครั้งที่ 5 รมว.ดีอีเอส หน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ครั้งที่ 5 (The 5th ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity : AMCC) และการประชุม AMCC วาระพิเศษ ที่ประชุมเห็นพ้องยึดหลัก 4P ในการร่วมมือด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ครอบคลุม Principle (หลักการ), Practice (การปฏิบัติ), Process (กระบวนการขับเคลื่อน) และ People Partnership and Pandemic (การพัฒนาศักยภาพบุคลากร) วานนี้ (7 ตุลาคม 2563) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วานนี้ (7 ตุลาคม 2563) ได้ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ครั้งที่ 5 (The 5th ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity : AMCC) และการประชุม AMCC วาระพิเศษ ร่วมกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน โดยมี นายเอส อิสวารัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของสาธารณรัฐสิงคโปร์ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง โดยที่ประชุมฯ ได้ให้ความสำคัญในหลัก “4P” ในการดำเนินความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ประกอบด้วย 1.Principle ความมุ่งมั่นในการดำเนินการตามบรรทัดฐานของรัฐบนโลกไซเบอร์ เพื่อให้การใช้พื้นที่บนโลกไซเบอร์เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย 2. Practice การแปลงนโยบาย/หลักการสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม 3. Process กระบวนการดำเนินงาน ในการขับเคลื่อนการปฏิบัติตามบรรทัดฐานความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ผ่านการเสริมสร้างความร่วมมือทั้งในระดับพหุภาคีและระดับภูมิภาค และ 4. People Partnership and Pandemic การพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและเตรียมความพร้อมต่อการปฏิบัติตามบรรทัดฐานขององค์การระหว่างประเทศ โดยการศึกษา ปรับปรุงกฎหมายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ให้สอดคล้องตามบรรทัดฐานดังกล่าว พร้อมทั้งการเสริมสร้างความเข้มแข็งของหุ้นส่วนความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาหรือองค์กรภายนอก เพื่อรับมือกับโลกไซเบอร์ต่อความท้าทายที่เกิดขึ้นใหม่ในปัจจุบันอย่างเป็นองค์รวม และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้ร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในภูมิภาค ให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ และเน้นย้ำถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศ ซึ่งเป็นฐานรากสำคัญต่อการรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์ รวมทั้งการยกระดับความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในอาเซียน โอกาสนี้ รมว.ดีอีเอส ได้มีบทบาทสำคัญในระหว่างการประชุมฯ ดังนี้ การร่วมนำเสนอและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานด้านการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (CII Protection) ของไทย โดยเน้นย้ำถึงการศึกษาเรื่อง ASEAN CII Protection Framework ที่จะสามารถสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งและความเชื่อมั่นของ CII ในภูมิภาคได้ โดยเฉพาะการตอบสนองต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคในปัจจุบัน นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ในการประชุมฯ ตนยังได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลงอย่างสั้นเพื่อผลักดันให้เกิดการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในความปกติใหม่ (New Normal) โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากรบุคคลผ่านการต่อยอดและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ของภูมิภาคอาเซียน เช่น ศูนย์ ASEAN - Japan Cybersecurity Capacity Building Centre (AJCCBC) กับศูนย์ ASEAN - Singapore Cybersecurity Centre of Excellence (ASCCE) เพื่อรองรับความต้องการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในภูมิภาค สำหรับการประชุมครั้ง นี้มีรัฐมนตรี/ผู้แทนระดับสูงจากหน่วยงานที่ดูแลความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศจากอาเซียน 10 ประเทศ และเลขาธิการอาเซียนเข้าร่วม รวมทั้งประเทศคู่เจรจาของอาเซียน ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ สหภาพยุโรป องค์การสหประชาชาติ (UNGGE, UN OEWG) ซึ่งการประชุมหารือดังกล่าวเป็นการต่อยอดผลการศึกษาจากการประชุม AMCC ครั้งที่ 4 เมื่อปี 2562 *********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35821
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ทส.​ ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 2/2563
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 ​ทส.​ ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 2/2563 ​ทส.​ ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 2/2563 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 2/2563 โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่รองประธานกรรมการคนที่ 1 ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่รองประธานกรรมการคนที่ 2 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่กรรมการ​ และเลขานุการ ดร. รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายเกียรติชาติ ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ทำหน้าที่กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ตลอดจนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2563 ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม​ โดยที่ประชุมได้มีมติการประชุมที่สำคัญ จำนวน 4 เรื่อง ได้แก่ 1. เห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558 – 2593 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2563) โดยมีแนวทาง 3 ด้าน ได้แก่ (1) การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (2) การลดก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการเติบโตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ และ (3) การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. เห็นชอบ (ร่าง) รายงานความก้าวหน้ารายสองปี ฉบับที่ 3 (Draft Third Biennial Update Report) และให้จัดส่งรายงานดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ต่อไป โดยผลการลดก๊าซเรือนกระจกจากมาตรการภาคพลังงาน ปี พ.ศ. 2561 จำนวนทั้งสิ้น 57.84 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 15.76 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของ NAMAs 3. เห็นชอบเอกสารถ้อยแถลงเพื่อการดำเนินงาน (Statement of Undertaking : SoU) ภายใต้ข้อริเริ่ม Nitric Acid Climate Action Group (NACAG) Initiative และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ เห็นชอบให้ รมว.ทส. หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนประเทศไทย ลงนามในเอกสารถ้อยแถลงเพื่อการดำเนินงาน (Statement of Undertaking: SoU) ดังกล่าว 4. เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจการจัดการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference) เพื่อเตรียมการจัดการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference) โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ริเริ่มให้มีการจัดประชุมขึ้นในปี พ.ศ. 2564 เพื่อเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจ ความตระหนักรู้ถึงเหตุผลและความสำคัญของกรอบอนุสัญญา UNFCCC และความตกลงปารีส
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35800
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร’ ขับเคลื่อนโครงการโคขุนกู้วิกฤต COVID-19
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 รมช.ประภัตร’ ขับเคลื่อนโครงการโคขุนกู้วิกฤต COVID-19 ‘รมช.ประภัตร’ ขับเคลื่อนโครงการโคขุนกู้วิกฤต COVID-19 จ.ขอนแก่น ปล่อยสินเชื่อแล้ว 16 ล้านบาท นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้เลี้ยงโคบ้านหนองน้ำขุ่นเหนือ ต.บ้านหัน อ.โนนศิลา จ.ขอนแก่น ว่า จ.ขอนแก่น มีเกษตรกรจำนวน 86,025 ราย มีโคเนื้อ 213,704 ตัว โคนม 36,851 ตัว กระบือ 34,731 ตัว สุกร 239,932 ตัว ไก่ 6,081,462 ตัว เป็ด 561,601 ตัว แพะ 15,313 ตัว แกะ 157 ตัว ปลูกพืชอาหารสัตว์ 4,494 ไร่ ซึ่ง จ.ขอนแก่น ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ฯ โดยมีการประชาสัมพันธ์โครงการสู่เกษตรกรไปแล้วจำนวน 258 กลุ่ม มีกลุ่มที่ยื่นใบสมัครเข้าร่วมโครงการพร้อมส่งแผนธุรกิจจำนวน 145 กลุ่ม ได้รับการเห็นชอบแผนธุรกิจแล้ว 41 กลุ่ม แบ่งเป็น 1. โคเนื้อ 33 กลุ่ม วงเงินสินเชื่อธุรกิจ 93.4 ล้านบาท 2. โคนม 2 กลุ่ม วงเงินสินเชื่อธุรกิจ 12 ล้านบาท 3. แพะ 2 กลุ่ม วงเงินสินเชื่อธุรกิจ 4.8 ล้านบาท 4. กระบือ 2 กลุ่ม วงเงินสินเชื่อธุรกิจ 2 ล้านบาท และ 5 ไก่เนื้อ วงเงินสินเชื่อธุรกิจ 1.8 ล้านบาท นอกจากนี้ มีกลุ่มวิสาหกิจที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อธุรกิจแล้วรวมทั้งหมด 4 กลุ่ม วงเงินสินเชื่อธุรกิจ 16 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการอนุมัติสินเชื่อรวม 37 กลุ่ม วงเงินสินเชื่อธุรกิจ 98 ล้านบาท ในการนี้ รมช.เกษตรฯ ได้มอบสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย จำนวนรวม 3 ล้านบาท ให้กับวิสาหกิจชุมชนโคขุนบ้านหนองน้ำขุ่นเหนือ หมู่ 16 และหมู่ 8 ต.บ้านหัน อ.โนนศิลา จ.ขอนแก่น นายประภัตร กล่าวว่า วันนี้เกษตรกรทุกคนตื่นตัวในการเลี้ยงวัวและให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่องฯ เพิ่มขึ้น ซึ่งหลังจากการเก็บเกี่ยวในฤดูนี้แล้ว เกษตรกรต้องหาอาชีพทางเลือกเพื่อให้มีรายได้ โดยเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ได้มอบนโยบายให้กับหน่วยงานในสังกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมอาชีพให้กับเกษตรกร 6 ทางเลือก ได้แก่ 1. เลี้ยงสัตว์ (วัว แพะ แกะ ไก่ หมู กระบือ 2. ปลูกถั่วเขียวใช้น้ำน้อย 3. ปลูกขิง 4. หญ้าเนเปียร์ ข้าวโพด มันสำปะหลัง (เพื่อผลิตอาหารสัตว์) 5. แหนแดง และ 6. เลี้ยงจิ้งหรีด โดยจะมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ขับเคลื่อน “กระทรวงเกษตรฯ ขอเชิญชวนเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ ต้องจดวิสาหกิจชุมชน 7 คนขึ้นไป และเลือกเมนูอาชีพที่สนใจ ซึ่งแต่ละอาชีพเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก เช่น จิ้งหรีด มีการส่งออกปีละกว่า 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังลดต้นทุนอาหาร โดยการส่งเสริมปลูกพืชอาหารสัตว์ ซึ่งมอบหมายให้กรมปศุสัตว์ ดำเนินการจัดทำอาหารสัตว์ต้นทุนต่ำให้กับเกษตรกร ใช้อาหารผสมสำเร็จรูปตามอัตราส่วน TMR โดยใช้วัตถุดิบภายในพื้นที่ ขณะนี้ กรมปศุสัตว์โดย ศูนย์วิจัยอาหารสัตว์ทั่วประเทศได้เร่งคิดสูตรอาหารที่มีประสิทธิภาพและต้องมีต้นทุนไม่เกิน 4 บาท/กก.” นายประภัตร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35816
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ ปลื้ม 3 เดือน แรงงานไทยโกยเงินกลับเกือบ 800 ลบ. หลังจากเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์และสวีเดน
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 ‘จับกัง1’ ปลื้ม 3 เดือน แรงงานไทยโกยเงินกลับเกือบ 800 ลบ. หลังจากเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์และสวีเดน รมว.แรงงาน เผย นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ ชื่นชมแรงงานไทยมีทักษะฝีมือเป็นที่ยอมรับของนายจ้างต่างชาติ กำชับเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิดูแล 895 แรงงานไทยกลับจากเก็บผลไม้ป่าที่ฟินแลนด์ สวีเดน เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ โดยจะจัดส่งไปอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ซึ่งขณะนี้ มีหลายประเทศแสดงความสนใจแรงงานไทย เนื่องจากแรงงานไทย มีวินัยในการทำงานและมีทักษะฝีมือดี และประเทศไทยมีมาตรการต่างๆ ที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 ได้ ทั้งนี้ ในการส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศนั้น จะดำเนินการโดยยึดหลักความปลอดภัยของแรงงานไทยเป็นสำคัญ นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้มีแรงงานไทยเดินทางกลับจากประเทศฟินแลนด์ เวลา 13.00 น. จำนวน 365 คน และกลับจากสวีเดน กลุ่มแรก เวลา 11.30 น. จำนวน 254 คน กลุ่มสอง เวลา 14.40 น. จำนวน 276 คน ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รวมสองประเทศจำนวนทั้งสิ้น 895 คน โดยตั้งแต่วันที่ 1-7 ตุลาคมที่ผ่านมา มีแรงงานทั้งสองประเทศเดินทางกลับไทยแล้ว 3,270 คน กลับจากฟินแลนด์ 689 คน และสวีเดน 2,581 คน แรงงานเหล่านี้ได้เดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศฟินแลนด์ ฤดูกาล 2020 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นเวลา 3 เดือน โดยได้รับค่าจ้างเดือนละประมาณ 80,000 บาท คิดเป็นเม็ดเงินที่นำรายได้เข้าประเทศเกือบ 800 ล้านบาท สำหรับการดูแลอำนวยความสะดวกแก่แรงงานไทยกลุ่มนี้ นอกจากด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานแล้ว ยังมีการท่าอากาศยาน ที่สนับสนุนชุด PE และเจ้าหน้าที่ทหารจากกระทรวงกลาโหมมาดูการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน และดูแลอำนวยความสะดวกให้พร้อมสนับสนุนชุดหน้ากากอนามัย และถุงมือยางให้อีกหากไม่เพียงพอ ซึ่งการปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ แรงงานไทยทุกคนเมื่อเดินทางถึงประเทศไทยแล้วจะต้องเข้าสู่ขั้นตอนการกักตัว 14 วันตามสถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ต่อไป “ท่านนายกฯ ได้ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศและชื่นชมแรงงานไทยทุกคนที่มีทักษะฝีมือจนเป็นที่ยอมรับของนายจ้างต่างชาติ และไทยเป็นประเทศที่ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ได้ ในวันนี้ผมได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ กรมการจัดหางาน ดูแลแรงงานไทยทุกคนที่เดินทางกลับจากเก็บผลไม้ป่าที่ฟินแลนด์และสวีเดน เพราะพวกเขาเหล่านี้ถือว่าเป็นคนไทยที่เสียสละไปทำงานในต่างแดนและส่งรายได้กลับมาเลี้ยงดูครอบครัว รวมทั้งเป็นการนำรายได้เข้าประเทศเป็นเม็ดเงินมหาศาล” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35822
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเร่งด่วน การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 นโยบายเร่งด่วน การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย เป็นนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา ได้ออกมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่เป้าหมาย โดยเปิดจุดจ่ายน้ำบาดาล บริการฟรี สนับสนุนน้ำเพื่อการเกษตร ขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล เติมน้ำใต้ดิน จัดหาแหล่งน้ำ และระบบกระจายน้ำนอกเขตชลประทาน รวมถึงจัดให้มีระบบติดตามสถานการณ์ด้านอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาตั้งแต่การป้องกันก่อนเกิดภัย การให้ความช่วยเหลือระหว่างเกิดภัยและการแก้ไขปัญหาระยะยาว เช่น จัดทำแผนสนับสนุนการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉินกลุ่มจังหวัด โครงการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และระบบแจ้งเตือนและอพยพประชาชน เป็นต้น “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35792
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร้านค้าลงทะเบียนในโครงการคนละครึ่งแล้วกว่า 2แสนร้านในช่วง 1- 6ตค. 63
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 ร้านค้าลงทะเบียนในโครงการคนละครึ่งแล้วกว่า 2แสนร้านในช่วง 1- 6ตค. 63 ร้านค้าลงทะเบียนในโครงการคนละครึ่งแล้วกว่า 2แสนร้านในช่วง 1- 6ตค. 63 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) กระทรวงการคลังได้รายงานความคืบหน้าโครงการคนละครึ่งว่า ตั้งแต่ที่ได้เริ่มให้ร้านค้าเริ่มลงทะเบียนได้ในวันที่ 1 ตค. 63 เป็นต้นมานั้น ล่าสุด ณ วันที่ 6 ตค. 63 มีร้านค้าลงทะเบียนทั้งหมดแล้ว 210,010 ร้าน แบ่งเป็นร้านค้าที่ลงทะเบียนที่สำเร็จแล้ว 152,795 ร้าน โดยส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างการตรวจสอบ กิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จแบ่งออกเป็นกิจการที่มีหน้าร้านจำนวน 127,852 ร้าน และหาบเร่ แผงลอย จำนวน 24,943ร้าน ประเภทของร้านค้าที่ลงทะเบียนสำเร็จ ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 90,052ร้าน ส่วนร้านธงฟ้ามีจำนวน 41,331ร้าน ร้าน OTOP มีจำนวน 4,991ร้าน และเป็นร้านค้าทั่วไปจำนวน 16,421ร้าน หากดูตามภูมิภาค ร้านค้าส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลางจำนวน 73,092ร้าน คิดเป็นร้อยละ 34.8 รองลงมาอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 73,092ร้าน คิดเป็นร้อยละ 25.0 และภาคใต้จำนวน 37,229ร้าน คิดเป็นร้อยละ 17.7 โดยในรายจังหวัดนั้นพบว่า ร้านค้าที่ลงทะเบียนส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานครจำนวน 25,526ร้านคิดเป็นร้อยละ 12.2 รองลงมาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่จำนวน 7,105ร้าน คิดเป็นร้อยละ 3.4 และจังหวัดสงขลาจำนวน 6,516ร้าน คิดเป็นร้อยละ 3.1 ทั้งนี้นายอนุชา กล่าวว่า ร้านค้ารายย่อย หาบเร่ แผงลอย สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่ www.คนละครึ่ง.com หรือติดต่อที่ธนาคารกรุงไทยได้ทุกสาขา ส่วนประชาชนทั่วไปสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ที่ www.คนละครึ่ง.com เช่นกัน ตั้งแต่วันที่ 16 ตค. 63 เป็นต้นไป และรอรับ SMS ยืนยัน โดยจะเริ่มใช้สิทธิใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 23 ตค. 63 เป็นต้นไป จนถึง 31 ธค. 63 และหากไม่ใช้สิทธิ์ภายใน 14วัน จะถูกตัดสิทธิ์ทันที โดยโครงการคนละครึ่งนี้ รัฐบาลจะช่วยจ่าย 50% แต่ไม่เกิน 150บาทต่อวันต่อคน รวมไม่เกิน 3,000บาทต่อคน ตลอดโครงการ สำหรับประชาชนคนไทยอายุ 18ปีขึ้นไป และไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งนี้สามารถนำไปใช้จ่ายซื้ออาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป โดยไม่รวมถึงสลากกินแบ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ และบริการต่างๆ .......................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35796
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ เคียงข้างคุณ ออกมาตรการรวมหนี้ ช่วยลูกค้ารายย่อย ขยายเวลาผ่อนชำระ พร้อมปรับลดอัตรากำไร
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 ไอแบงก์ เคียงข้างคุณ ออกมาตรการรวมหนี้ ช่วยลูกค้ารายย่อย ขยายเวลาผ่อนชำระ พร้อมปรับลดอัตรากำไร ไอแบงก์ออกมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายย่อยด้วยวิธีการรวมหนี้ (Debt Consolidation) โดยปรับลดอัตรากำไรและขยายระยะเวลาผ่อนชำระ พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียม เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบุคคลของธนาคาร ตามมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ออกมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายย่อยด้วยวิธีการรวมหนี้ (Debt Consolidation) โดยปรับลดอัตรากำไรและขยายระยะเวลาผ่อนชำระ พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียม เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบุคคลของธนาคาร ตามมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย มาตรการ Debt Consolidation เป็นมาตรการที่ไอแบงก์ช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบุคคลของธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 สงครามการค้า หรือภัยธรรมชาติ ตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย ในการที่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่างวดให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำรงชีวิตประจำวัน โดยลูกหนี้ที่จะเข้าร่วมมาตรการต้องเป็นลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและเป็นลูกหนี้สินเชื่ออเนกประสงค์แบบไม่มีหลักประกันกับธนาคาร ที่ยังคงมีศักยภาพในการชำระหนี้ ซึ่งมาตรการนี้จะเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ โดยการนำสินเชื่ออเนกประสงค์แบบไม่มีหลักประกันที่มีภาระหนี้คงเหลือไม่เกินส่วนต่างของมูลค่าหลักประกันของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย มารวมกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และปรับลดอัตรากำไรสินเชื่ออเนกประสงค์จากเดิม SPRR + 12% ตลอดอายุสัญญา คิดอัตรากำไรใหม่เท่ากับ SPRR ตามประกาศธนาคาร (ปัจจุบัน SPRR = 8.00 ต่อปี) พร้อมขยายระยะเวลาผ่อนชำระออกไปไม่เกิน 5 ปี จากสัญญาคงเหลือเดิม และไม่เกินระยะเวลาคงเหลือตามสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลูกหนี้ นอกจากนี้ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมนิติกรรมสัญญา ค่าธรรมเนียมชำระคืนเสร็จสิ้นก่อนครบกำหนดอายุสัญญา (Prepayment Fee) อีกด้วย ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อขอเข้าร่วมมาตรการได้ที่ ไอแบงก์ ทุกสาขาใกล้บ้านทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2564 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. ibank Call Center 1302
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35817
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ นฤมล มอบนโยบาย อสร. มุ่งพัฒนาฝีมือแรงงาน
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 ​ นฤมล มอบนโยบาย อสร. มุ่งพัฒนาฝีมือแรงงาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มอบนโยบายพัฒนาฝีมือแรงงานแก่อาสาสมัครแรงงาน มุ่งยกระดับฝีมือกลุ่มแรงงานนอกระบบ กลุ่มเปราะบาง และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้มีอาชีพ มีรายได้ที่ยั่งยืน วันที่ 8 ตุลาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มอบนโยบายการพัฒนาฝีมือแรงงานและรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับความต้องการพัฒนาฝีมือแรงงานของกลุ่มแรงงานนอกระบบ กลุ่มแรงงานที่มีความเปราะบาง และแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผ่านอาสาสมัครแรงงาน โดยมีตัวแทนอาสาสมัครแรงงานที่ทำหน้าที่ประสานงานในชุมชน จำนวน 69 คน และเครือข่ายกลุ่มจักรยานยนต์รับจ้าง 5 คน รวมทั้งสิ้น 74 คน เข้ารับมอบนโยบาย ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า อาสาสมัครแรงงานเป็นผู้ที่สมัครใจทำงานให้กับกระทรวงแรงงาน มีบทบาทสำคัญในการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงแรงงาน ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและในต่างประเทศ ในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนหรือผู้ใช้แรงงานที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนด้านแรงงานในพื้นที่ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่สำคัญในการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านแรงงานให้ประชาชนในพื้นที่ทราบ สร้างความรู้ ความเข้าใจในสาระความรู้เกี่ยวกับการให้บริการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เบื้องต้น ตามกฎหมายแรงงานให้แก่คนหางานและการใช้แรงงาน อีกทั้งเป็นผู้ประสานงานเบื้องต้นระหว่างคนหางาน ผู้ใช้แรงงาน ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ รวมถึงทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการและความเคลื่อนไหวด้านแรงงานเบื้องต้น เพื่อนำไปพิจารณาว่างแผนการดำเนินงานด้านแรงงานในพื้นที่ รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานครมีจำนวนทั้งสิ้น 2,066 คน ประกอบด้วย อาสาสมัครแรงงานในชุมชนของกรุงเทพมหานคร จำนวน 953 คน และอาสาสมัครแรงงานที่เป็นเครือข่ายแท็กซี่ จำนวน 1,113 คน ซึ่งท่านรองนายกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ทราบดีว่ากระทรวงแรงงานให้โอกาสแรงงานทุกกลุ่ม เช่น กลุ่มเปราะบาง ที่อาจจะไม่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง โดยดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการประชุมคณะกรรมการพัฒนา แรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตั้งคระกรรมการร่วมระหว่างกระทรวงแรงงาน และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำเงินกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มาพัฒนาทักษะอาชีพคนพิการ รวมถึงกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการ ซึ่งกระทรวงแรงงานได้เข้าไปช่วยเหลือตั้งแต่ปี 2561-2562 เป็นต้นมาและยังคงดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กลุ่มดังกล่าวเข้าถึงการมีงานทำและแรงงานกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ชุมชนพื้นที่ห่างไกล และขณะนี้กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้มีหลักสูตรการขายออนไลน์ E-Commerce เพื่อให้แรงงานมีช่องทาง การขายเพิ่มขึ้นร่วมมือกับโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทย เสมอมอบทุน 300 ทุน ให้นักศึกษาเรียนหลักสูตรนักอภิบาล ซึ่งปกติหลักสูตรนี้จะมีค่าเล่าเรียนประมาณ 9,500 บาท โดยนักศึกษาที่เรียนจบแล้วส่วนหนึ่งโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทยจะรับเข้าทำงาน และส่งไปทำงานยังที่ต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรฝึกอบรมจากบริษัทต่างๆ เช่น หลักสูตรติดตั้งเสา 5G ของบริษัทหัวเว่ย หลักสูตรช่างเชื่อมของชิโนเปค เป็นต้น “ขอเป็นกำลังใจให้ อสร. ทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่เป็นสื่อกลาง นำข้อมูลข่าวสารแจ้งให้ประชาชนในชุมชน ได้รับรู้ถึงภารกิจและบริการที่ภาครัฐช่วยเหลือดูแลและอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ช่วยให้ประชาชนติดต่อหรือขอรับความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงเข้ารับการพัฒนาแรงงานทักษะฝีมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ที่มีหลักสูตรการฝึกที่หลากหลาย และมีหน่วยงานกระจายอยู่ทุกพื้นที่ของประเทศ และอสร. คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงให้บรรลุเป้าหมาย โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในระดับพื้นที่และระดับประเทศ สอดรับการดำเนินงานตามนโยบาย สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ ตลอดจนยุทธศาสตร์ชาติ ท่ามกลางวิกฤติการณ์ของประเทศที่กำลังเกิดขึ้น” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35820
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ตั้งหน่วยปฐมพยาบาลดูแลประชาชนอพยพจากเหตุก๊าซแอมโมเนียรั่วในพื้นที่ อ.เขาค้อ
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 สธ.ตั้งหน่วยปฐมพยาบาลดูแลประชาชนอพยพจากเหตุก๊าซแอมโมเนียรั่วในพื้นที่ อ.เขาค้อ กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์ก๊าซแอมโมเนียรั่วในพื้นที่ อ.เขาค้อเริ่มคลี่คลาย ระดับความเข้มข้นแอมโมเนียในพื้นที่ 25 ส่วนในล้านส่วน เตรียมอพยพประชาชนกลับที่พัก มอบโรงพยาบาลเขาค้อ ตั้งหน่วยปฐมพยาบาลดูแลประชาชนที่อพยพ ตลอด 24 ชั่วโมง กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์ก๊าซแอมโมเนียรั่วในพื้นที่ อ.เขาค้อเริ่มคลี่คลาย ระดับความเข้มข้นแอมโมเนียในพื้นที่ 25 ส่วนในล้านส่วน เตรียมอพยพประชาชนกลับที่พัก มอบโรงพยาบาลเขาค้อ ตั้งหน่วยปฐมพยาบาลดูแลประชาชนที่อพยพ ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมติดตามเฝ้าระวังและประเมินสุขภาพประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นระยะจนกว่าจะปลอดภัย นายแพทย์ภานุมาศ ญาณเวทย์สกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 ให้สัมภาษณ์ว่า ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ กรณี เหตุก๊าซแอมโมเนียรั่วไหล ณ โรงน้ำแข็งยั่งยืนเขาค้อ ตำบลแคมป์สน อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 เวลาประมาณ 13.30 น โดยการอำนวยการนายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้บูรณาการหน่วยงานในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าดำเนินการ โดยพบผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย เป็นผู้ปฏิบัติงานในโรงงานและเจ้าหน้าที่ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ทั้ง 2 รายได้รับการรักษาปลอดภัยแล้ว นอกจากนี้ ได้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนให้ประชาชนในระยะ 500 เมตรจากที่เกิดเหตุ จำนวน 48 ราย ปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิด และอพยพไปอยู่พื้นที่ปลอดภัย ณ วัดแคมป์สน พร้อมสั่งการให้โรงพยาบาลเขาค้อ เตรียมพร้อมรองรับเหตุฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบสาเหตุเกิดจากรอยรั่วจากวาล์วถังก๊าซในโรงงาน ขนาดบรรจุประมาณ 2 ตัน ที่ไม่สามารถปิดได้เนื่องจากชำรุดเสียหาย เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการฉีดน้ำบริเวณโดยรอบอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาจนความเข้มข้นของก๊าซแอมโมเนียไม่เป็นอันตราย ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ขณะนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย พบระดับความเข้มข้นแอมโมเนียในพื้นที่ 25 ส่วนในล้านส่วน เตรียมอพยพประชาชนกลับที่พัก โดยมอบหมายให้โรงพยาบาลเขาค้อ ตั้งหน่วยปฐมพยาบาลดูแลประชาชนที่อพยพ ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมติดตามเฝ้าระวังและประเมินสุขภาพประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นระยะจนกว่าจะปลอดภัยพร้อมแนะนำหากมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจติดขัด ไอ แสบตา ใจสั่น รีบไปพบแพทย์ทันทีหรือโทรสายด่วน 1669 สำหรับอันตรายของไอระเหยของแอมโมเนีย หากสูดดมเข้าไปจะทําให้เกิดการระคายเคืองและเกิดแผลไหม้ต่อระบบทางเดินหายใจ มีเสมหะ เจ็บหน้าอก ชักหมดสติ และอาจทําให้เสียชีวิตได้ หากสัมผัสแอมโมเนียจะทําให้ผิวหนังและตาไหม้และสูญเสียการมองเห็น และถ้าสัมผัสกับแอมโมเนียในสภาพของเหลวจะทําให้เกิดแผลไหม้เนื่องจากความเย็นจัด(Cold Burn) ส่วนระดับความเข้มข้นของแอมโมเนียที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ในระดับ 50 ส่วนในล้าน ส่วนกลิ่นรุนแรงมากจนรู้สึกอึดอัด ระดับ 400 – 700 ส่วนในล้านส่วน จะแสบตาและจมูกรู้สึกระคายเคือง ระดับ 5,000 ส่วนในล้านส่วน กล้ามเนื้อเกร็งและหายใจไม่ออก อาจเสียชีวิตได้ภายใน 2 – 3 นาที ขอแนะนำประชาชนหากเกิดเหตุการณ์สารแอมโมเนียรั่วให้รีบออกจากพื้นที่ ใช้ผ้าชุบน้ำปิดจมูก ปาก รีบอาบน้ำชำระล้างร่างกายทันที ************************************ 8 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35818
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ย้ำ! เดือนสุดท้าย ต่างด้าว 3 สัญชาติ ต้องขออนุญาตทำงานภายใน 31 ต.ค. นี้
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 รมว.แรงงาน ย้ำ! เดือนสุดท้าย ต่างด้าว 3 สัญชาติ ต้องขออนุญาตทำงานภายใน 31 ต.ค. นี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ย้ำ แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) 4 กลุ่ม ที่เคยมีใบอนุญาตทำงาน แต่การอนุญาตสิ้นสุด และยังอยู่ในราชอาณาจักร ให้สามารถอยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราว และให้ทำงานได้เป็นการเฉพาะ เพื่อติดต่อขอรับใบอนุญาตทำงาน ตามมติครม. 4 สิงหาคม 2563 ให้นายจ้าง/สถานประกอบการ ต้องรีบดำเนินการยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานกับกรมการจัดหางานให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 เพื่อไปดำเนินการขั้นตอนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป หากพ้นกำหนด พบจ้างคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน มีโทษปรับสูงสุด 100,000 บาท นายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในประเทศไทยคลี่คลายลง และเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานของนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่มีความจำเป็นต้องใช้แรงงานต่างด้าวในการดำเนินกิจการ คณะรัฐมนตรีจึงได้เห็นชอบมาตรการผ่อนปรนตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านกำลังแรงงานในการฟื้นฟูประเทศ และเป็นการลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ที่มาจากคนต่างด้าวรายใหม่ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ใกล้จะสิ้นสุดระยะเวลาการยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานแล้ว “ กระทรวงแรงงาน ขอย้ำ เตือนให้ นายจ้าง/สถานประกอบการ ที่มีแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 ได้แก่ กลุ่มที่ 1) แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทำงานตามข้อตกลง MoU ซึ่งครบวาระการจ้างงาน 4 ปี กลุ่มที่ 2) แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ ถือเอกสารประจำตัวได้แก่ หนังสือเดินทาง (Passport : PP) เอกสารเดินทาง (TD) เอกสารรับรองบุคคล (CI) ที่ใบอนุญาตทำงานและการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดในช่วงตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 แต่ไม่ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 กลุ่มที่ 3) แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทำงานตามข้อตกลง MoU ที่การอนุญาตทำงานสิ้นสุดลงโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 50 มาตรา 53 หรือมาตรา 55 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เช่น ออกจากนายจ้างรายเดิม แต่หานายจ้างรายใหม่ไม่ได้ภายใน 30 วัน เป็นต้น กลุ่มที่ 4) แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาและเมียนมา ที่เข้ามาทำงานในลักษณะไป - กลับ หรือตามฤดูกาล โดยใช้บัตรผ่านแดน (Border Pass) ตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดน ตามมาตรา 64 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ซึ่งครบวาระการจ้างงาน และการอนุญาตให้พำนักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด รีบมาดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานกับกรมการจัดหางาน ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 และไปดำเนินการขั้นตอนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อให้สามารถอยู่และทำงานในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการว่า แรงงานต่างด้าวกลุ่มที่ 1 – 3 ต้องยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 ตามที่ตั้งของสถานประกอบการ ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ซึ่งใบอนุญาตทำงานจะสามารถใช้ได้ตั้งแต่ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 – 31 มีนาคม 2565 หลังจากนั้นคนต่างด้าวต้องตรวจสุขภาพ /ประกันสุขภาพกับโรงพยาบาลของรัฐที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด (กรณีไม่มีประกันสังคม) และยื่นขอรับการตรวจอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป (Visa) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ภายในวันที่ 31 มกราคม 2564 และขั้นตอนสุดท้ายคือ การจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ ออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ที่มีใบอนุญาตทำงานด้านหลังบัตร กับกรมการปกครอง ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 - 31 มีนาคม 2564 ส่วน คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาลบริเวณชายแดน ที่ถือบัตรบัตรผ่านแดน (Border Pass) ต้องยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 และคนต่างด้าวต้องตรวจสุขภาพ /ประกันสุขภาพ (กรณีไม่มีประกันสังคม) ภายในวันที่ 31 มกราคม 2564 โดยใบอนุญาตทำงานมีอายุครั้งละ 3 เดือน แต่สามารถขอต่อเนื่องได้ไม่เกินวันที่ 31 มีนาคม 2565 ซึ่งข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2563 พบว่า แรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ได้ขอรับใบอนุญาตทำงานไปแล้วทั้งสิ้น 61,193 คน โดยแยกเป็นสัญชาติ กัมพูชา 17,463 คน ลาว 3,517 คน และเมียนมา 40,213 คน “ หากพ้นกำหนดระยะเวลาการดำเนินการดังกล่าวแล้ว เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบ แรงงานต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกผลักดันกลับประเทศ ส่วนนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และถ้ายังพบกระทำผิดซ้ำจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี “ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermitหรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35810
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ไปต่อ พัฒนาทักษะ 4.0 ใช้พลังงานทดแทน
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 ก.แรงงาน ไปต่อ พัฒนาทักษะ 4.0 ใช้พลังงานทดแทน กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พัฒนาทักษะแรงงานยุค 4.0 ด้านพลังงานทดแทน ลดพึ่งพาน้ำมัน นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มีนโยบายพัฒนายกระดับฝีมือแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพ มีงานทำ มีความมั่นคงทางรายได้ และเป็นกำลังสำคัญ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมอบหมายให้ กพร. เร่งฝึกอบรมฝีมือแรงงาน Up – skill และ Re – skill เน้นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำงานและการประกอบอาชีพซึ่งเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทน กำลังได้รับความสนใจ จากทุกภาคส่วนและมีความสำคัญต่อภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน รวมถึงความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศอีกด้วย นายธวัช กล่าวต่อไปว่า พลังงานทดแทนมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละภูมิประเทศ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานไฟฟ้าจากขยะ เป็นต้น ปัจจุบันประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญและใช้พลังงานทดแทนเหล่านี้เพิ่มขึ้นและ กพร.เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ร่วมส่งเสริมการประยุกต์ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ โดยจัดฝึกอบรมให้ความรู้และพัฒนาทักษะฝีมือแก่แรงงานเพื่อทันต่อยุคเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงไปการพึ่งพาการใช้น้ำมัน และนำไปประกอบอาชีพได้จริง โดยปี 2563 ได้มอบหมายให้หน่วยงาน ในสังกัดของ กพร. ได้แก่ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน (สพร.) สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน (สนพ.) ใน 12 จังหวัด ได้แก่ สุพรรณบุรี ราชบุรี อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี อุดรธานี เชียงราย ตราด มุกดาหาร ศรีสะเกษ กาฬสินธุ์ บึงกาฬ และพัทลุง นำร่องการฝึกอบรมให้แก่แรงงานทั่วไปที่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับด้านงานช่างหรือด้านการเกษตร ในหลักสูตร การออกแบบติดตั้งและประยุกต์ใช้งานโซลาร์เซลล์ ระยะเวลาการฝึก 18 ชั่วโมง ดำเนินการแล้ว 842 คน ผู้รับการอบรมได้เรียนรู้ภาคทฤษฎี และปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการออกแบบในการติดตั้งอุปกรณ์โซลาร์เซลล์ การประยุกต์ใช้งานเพื่อการเกษตร อาทิ การติดตั้งเพื่อการเกษตรแบบอัตโนมัติ การสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการประกอบอาชีพได้ ทั้งนี้ การฝึกอบรมดังกล่าว ได้กำชับหน่วยฝึกและครูผู้ฝึกให้มุ่งเน้นคุณภาพ พัฒนาการฝึกให้สอดคล้อง กับเทคโนโลยีและความต้องการของตลาดแรงงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เข้ารับการฝึกซึ่งจากความตั้งใจและ การใส่ใจในรายละเอียดของกระบวนการฝึกดังกล่าว ส่งผลให้ กพร.ได้รับรางวัลการบริการภาครัฐ ประเภทพัฒนา การบริการ ระดับดี ชุดฝึกภาคปฏิบัติการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ ของ สพร.2 สุพรรณบุรี จากสำนักงาน ก.พ.ร. โดย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มอบฯ จากรางวัลแห่งความภาคภูมิใจดังกล่าว เป็นกำลังใจและแรงผลักดันให้ กพร.มุ่งมั่นพัฒนาการบริการเพื่อยกระดับทักษะฝีมือแรงงานให้สูงขึ้นและก้าวทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงการพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อสร้างโอกาสให้คนไทยมีงานทำ มีรายได้ที่มั่นคง เป็นพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศต่อไป ขณะนี้ กพร.เปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเข้ารับการอบรมหลักสูตรดังกล่าวในหลายจังหวัด อาทิ จังหวัดสระบุรี หลักสูตร การออกแบบและติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ระดับ 1 จังหวัดกาฬสินธุ์ หลักสูตร การประยุกต์ระบบโซล่าร์เซลล์เพื่อการเกษตร จังหวัดสุรินทร์ หลักสูตร เทคนิคการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ระยะเวลาการฝึกตั้งแต่ 11-30 ชั่วโมง สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน www.dsd.go.th หัวข้อ กำหนดการเปิดฝึกอบรม หรือ สอบถามสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 อธิบดี กพร.กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35814
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีบำเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรำลึก เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 พิธีบำเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรำลึก เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ พิธีบำเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรำลึก เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35795
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประเทศไทยมีการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ แล้วหรือไม่ ??
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2563 ประเทศไทยมีการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ แล้วหรือไม่ ?? ประเทศไทยมีการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวแล้วหรือไม่ ?? Q : ประเทศไทยมีการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ แล้วหรือไม่ ?? A : ไม่ โดยหลังวันที่ 25 ต.ค. จะมีการหารือเพื่อเตรียมความพร้อมการวางมาตรการในที่ประชุม ศบศ. โดยจะกำหนดการเข้าประเทศและที่พักอาศัยให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35806
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 6 ตุลาคม 2563
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 6 ตุลาคม 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (6 ตุลาคม 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 รวม 5 ฉบับ 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางกร่าง อำเภอเมืองนนทบุรี ตำบลบางเลน และตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่ และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่าอำเภอท้ายเมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมการค้าภายใน พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลมีชัย ตำบลหนองกอมเกาะ และตำบลโพธิ์ชัย อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย พ.ศ. .... 7. เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. .... เศรษฐกิจ - สังคม 8. เรื่อง การเลื่อนเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬายูธโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) 9. เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ และเพื่อจัดตั้ง สถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ ของนายลำพูน กองศาสนะ ที่จังหวัดสตูล 10. เรื่อง นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลือง ปลาป่น และ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ปี 2564 – 2566 11. เรื่อง ยุทธศาสตร์การจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศในระยะยาว (5 - 10 ปี) 12. เรื่อง ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าร้อยเอ็ด 13. เรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของการประปานครหลวง 14. เรื่อง รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญฯ (เดือนเมษายน – มิถุนายน 2563) 15. เรื่อง เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 16. เรื่อง มอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 17. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 23/2563 ต่างประเทศ 18. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค เรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Virtual Ministers Responsible for Trade Meeting on Covid-19: VMRT ) แต่งตั้ง 19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ) 20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ) 21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี) 23. เรื่อง การรับโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ) 24. เรื่อง การแต่งตั้งผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นกรรมการในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ 25. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ 26. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี 27. เรื่อง การรับโอนข้าราชการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร (นักบริหาร ระดับสูง) (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) 29. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงคมนาคม) ******************* สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบ ดังนี้ 1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. โดยคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ 2. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. โดยคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างระเบียบ เป็นการปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. 2551 และให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 ดังนี้ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกา ปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. 2551 ดังนี้ 1.1 กำหนดนิยามคำว่า “จังหวัด” “กลุ่มจังหวัด” “ภาค” “แผนพัฒนาจังหวัด” “แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด” “แผนพัฒนาภาค” “ภาคประชาสังคม” ฯลฯ 1.2 กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ เรียกโดยย่อว่า “ก.บ.บ.” ประกอบด้วย (1) นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ (2) รองนายกรัฐมนตรีทุกคน รัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการ ก.พ.ร. และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (3) นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย นายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย (4) ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และประธานสภาเกษตรแห่งชาติ (5) ผู้ทรงคุณวุฒิจาก ก.พ.ร. ซึ่งประธาน ก.พ.ร. กำหนดหนึ่งคน (6) ผู้ทรงคุณวุฒิที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่เกินสองคน (7) ผู้แทนภาคประชาสังคมที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่เกินสองคน เป็นกรรมการ ให้เลขาธิการ สศช. เป็นกรรมการและเลขานุการ รองเลขาธิการ สศช. ที่เลขาธิการ สศช. กำหนด ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนสำนักงาน ก.พ.ร. เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ 1.3 กำหนดหน้าที่และอำนาจของ ก.บ.บ. เช่น เพิ่มเติมอำนาจในการกำหนดกรอบนโยบายและวางระบบในการบริหารงานภาคแบบบูรณาการ, กำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ และวิธีการในการจัดทำแผนพัฒนาภาค, บูรณาการแผนของส่วนราชการและแผนพัฒนาระดับพื้นที่ เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนในพื้นที่ของกระทรวง กรม สอดคล้องกับศักยภาพหรือประเด็นปัญหาในพื้นที่และเชื่อมโยงให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ 1.4 กำหนดหน้าที่งานธุรการของ ก.บ.บ. จากสำนักงาน ก.พ.ร. เป็น สศช. และให้แก้ไขระยะเวลาของแผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด จาก 4 ปี เป็น 5 ปี 1.5 กำหนดให้ผู้ให้ความเห็นชอบแผน เดิมเป็นคณะรัฐมนตรี เปลี่ยนเป็นให้ ก.บ.บ. เป็นผู้ให้ความเห็นชอบแทน และให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และกำหนดให้แก้ไขปรับปรุงแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดหรือแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นหัวหน้ากลุ่มจังหวัดนำเสนอ ก.บ.จ. หรือ ก.บ.ก. พิจารณาแล้วแต่กรณี แล้วส่ง ก.บ.บ. ให้ความเห็นชอบ และกำหนดให้เพิ่มเติมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดทำแผนพัฒนาภาค และระยะเวลาของแผนพัฒนาภาค ให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงในปัจจุบัน 1.6 กำหนดให้ประกาศ หลักเกณฑ์ แนวทาง มติ หรือคำสั่ง ซึ่งได้ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. 2551 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณการ พ.ศ. 2560 ซึ่งมีอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไป จนกว่าจะมีการออกประกาศ หลักเกณฑ์ แนวทาง มติ หรือคำสั่ง ตามพระราชกฤษฎีกานี้ 2. ร่างระเบียบ กำหนดให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 ทั้งนี้ ก.พ.ร. เสนอว่า 1) พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. 2551 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดหลักการการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ รวมทั้งการจัดทำงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ซึ่งกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เป็นกรรมการและเลขานุการ และกำหนดให้สำนักงาน ก.พ.ร. ทำหน้าที่รับผิดชอบงานธุรการของ ก.น.จ. และหน้าที่อื่นตามที่ ก.น.จ. กำหนด และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (8) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ประกอบกับมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. 2551 ได้กำหนดหลักการเกี่ยวกับแผนพัฒนาภาค โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บภ.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ 2) สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า โดยที่ในปัจจุบันการจัดทำและให้ความเห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาภาค แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด การจัดทำและบริหารงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด รวมทั้งการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัด จะต้องปฏิบัติตามนโยบาย หลักเกณฑ์ วิธีการ และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการทั้ง 2 คณะ ตามข้อ 1) ได้แก่ ก.น.จ. และ ก.บ.ภ. แต่โดยที่องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการทั้ง 2 ชุดดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกัน จึงเห็นควรยุบรวมคณะกรรมการทั้ง 2 คณะดังกล่าว แล้วจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่ เรียกว่า คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ (ก.บ.บ.) และกำหนดให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รับผิดชอบงานเลขานุการของ ก.บ.บ. เพียงหน่วยงานเดียว 3) ในการประชุม ก.พ.ร. ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2563 ได้พิจารณา เรื่อง แนวทางการโอนภารกิจของ ก.น.จ. จากสำนักงาน ก.พ.ร. ไปยัง สศช. ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสนออนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ เกี่ยวกับการตีความและวินิจฉัยปัญหากฎหมายในการบริหารราชการแผ่นดิน (อ.ก.พ.ร.) พิจารณา ก่อนเสนอ ก.พ.ร. ให้ความเห็นชอบและให้ดำเนินการต่อไปได้ 4) สำนักงาน ก.พ.ร. จึงได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. 2551 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 และกำหนดให้จัดตั้ง ก.บ.บ. ขึ้น โดยยุบรวม ก.น.จ. แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. 2551 กับ ก.บ.ภ. แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 ให้เหลือเพียงคณะกรรมการเดียว และกำหนดให้ สศช. รับผิดชอบงานเลขานุการของ ก.บ.บ. ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการโอนงานภารกิจของ ก.น.จ. จากสำนักงาน ก.พ.ร. ไปยัง สศช. ตามข้อ 3) ซึ่งร่างพระราชกฤษฎีกาฯ จะทำให้การดำเนินการตามแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาภาค แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด การจัดทำและบริหารงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด รวมทั้งการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัด มีการบูรณาการการทำงาน ลดความซ้ำซ้อนและดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 5) อ.ก.พ.ร. ได้ดำเนินการตามที่ ก.พ.ร. มีมติมอบหมายตามข้อ 3) โดยได้พิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 พ.ศ. .... โดยมีผู้แทนจาก สศช. สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ เข้าร่วมประชุมด้วย และเห็นด้วยกับร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี รวม 2 ฉบับดังกล่าว และให้นำเสนอ ก.พ.ร. เพื่อพิจารณาต่อไป 6) ในการประชุม ก.พ.ร. ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 พ.ศ. .... ตามข้อ 5) และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อสังเกต เรื่อง องค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) ว่า ก.บ.จ. มีความจำเป็นต้องมีผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รูปแบบพิเศษ เช่น เมืองพัทยา เข้าร่วมเป็นองค์ประกอบของ ก.บ.จ. เหมือนดังเช่นคณะกรรมการบริหารงานกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.ก.) หรือไม่ ทั้งนี้ ควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหารือเรื่องดังกล่าวร่วมกันในชั้นการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ต่อไป จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี รวม 2 ฉบับ มาเพื่อดำเนินการ 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 รวม 5 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 รวม 5 ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงจำนวน 5 ฉบับ ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เป็นการออกกฎกระทรวงเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการดำเนินงานและการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนเกี่ยวกับการใช้เงินกู้และให้สินเชื่อ การรับฝากเงิน ก่อหนี้ และสร้างภาระผูกพัน รวมถึงการกู้ยืมเงินหรือการค้ำประกัน การบริหารสินทรัพย์และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง การจัดชั้นสินทรัพย์และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง และการจำกัดปริมาณการทำธุรกรรมกับลูกหนี้และเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่ง ของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน อันเป็นการสร้างเสถียรภาพแก่สหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 89/2 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 (เรื่อง แนวทางการปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน) รวมถึงข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2562 ซึ่งสั่งการว่า ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน รวมถึงกองทุนออมทรัพย์อื่น ๆ ที่ประสบปัญหาทางการเงินให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินงานและกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ดังนี้ 1. ร่างกฎกระทรวงการให้กู้และการให้สินเชื่อของสหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... 1.1 กำหนดให้สหกรณ์จะให้เงินกู้แก่สมาชิกได้ 3 ประเภท ตามวัตถุประสงค์และเงื่อนไข ดังนี้ 1.1.1 เงินกู้เพื่อเหตุฉุกเฉิน เป็นการให้เงินกู้ในกรณีสมาชิกมีเหตุฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วนจะกำหนดงวดชำระนี้ได้ไม่เกิน 12 งวด 1.1.2 เงินกู้สามัญ เป็นการให้เงินกู้แก่สมาชิกมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้จ่ายหรือการอันจำเป็นหรือมีประโยชน์ต่าง ๆ จะกำหนดงวดชำระหนี้ได้ไม่เกิน 150 งวด 1.1.3 เงินกู้พิเศษ เป็นการให้เงินกู้แก่สมาชิก มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพ หรือการเคหะ หรือประโยชน์ในความมั่นคงหรือพัฒนาคุณภาพชีวิต จะกำหนดงวดชำระหนี้ได้ไม่เกิน 360 งวด 1.2 กำหนดให้ผู้ขอกู้จะต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อย ดังนี้ 1.2.1 มีความมั่นคงทางการเงิน และมีความสามารถในการชำระหนี้ 1.2.2 มีความสามารถในการบริหารจัดการที่ดี และได้ปฏิบัติตามกฎหมายข้อบังคับ ระเบียบของสหกรณ์หรือชุมนุมสหกรณ์ และระเบียบของทางราชการโดยเคร่งครัดสม่ำเสมอ 2. ร่างกฎกระทรวงการรับฝากเงิน การก่อหนี้ และการสร้างภาระผูกพัน ซึ่งรวมถึงการกู้ยืมเงินหรือการค้ำประกันของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... 2.1 กำหนดให้สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์กำหนดดอกเบี้ยเงินรับฝากทุกประเภทเป็นไปตามที่นายทะเบียนสหกรณ์ประกาศกำหนด 2.2 กำหนดให้สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ผู้กู้เงินสามารถกู้เงินได้เฉพาะจากสหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ทุกประเภท ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ สถาบันการเงินของรัฐที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นในนิติบุคคลอื่นที่มีวัตถุประสงค์ว่าด้วยการให้กู้ยืมเงิน กองทุนพัฒนาสหกรณ์หรือกองทุนอื่นตามที่นายทะเบียนสหกรณ์ประกาศกำหนด 2.3 กำหนดให้การก่อหนี้และภาระผูกพันของสหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์จะต้องอยู่ภายในหลักเกณฑ์ ดังนี้ 2.3.1 สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์จะก่อหนี้และภาระผูกพันได้ไม่เกิน 1.5 เท่า ของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรองของสหกรณ์ 2.3.2 สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนจะก่อหนี้และภาระผูกพันได้ไม่เกิน 5 เท่า ของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรองของสหกรณ์ 2.3.3 สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ไม่เกิน 3 ปี 3. ร่างกฎกระทรวงการบริหารสินทรัพย์และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... 3.1 กำหนดให้สหกรณ์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องที่ปราศจากภาระผูกพัน เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร เงินฝากชุมนุมสหกรณ์หรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยชุมนุมสหกรณ์ และหลักทรัพย์หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นต้น โดยเฉลี่ยรายเดือนไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของยอดเงินรับฝากทุกประเภท 3.2 กำหนดให้ชุมนุมสหกรณ์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องที่ปราศจากภาระผูกพัน เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร และหลักทรัพย์หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย ธปท. หรือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นต้น โดยเฉลี่ยรายเดือนไม่น้อยกว่าร้อยละ 6 ของยอดเงินรับฝากทุกประเภท 4. ร่างกฎกระทรวงการจัดชั้นสินทรัพย์และกันเงินสำรองของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... 4.1 กำหนดให้สหกรณ์จัดชั้นลูกหนี้เงินกู้ ได้แก่ ลูกหนี้จัดชั้นปกติ ลูกหนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ ลูกหนี้จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน ลูกหนี้จัดชั้นสงสัย ลูกหนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญ และลูกหนี้จัดชั้นสูญ 4.2 กำหนดให้สหกรณ์ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจากต้นเงินคงเหลือสำหรับลูกหนี้จัดชั้น ดังนี้ 4.2.1 ลูกหนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ ร้อยละ 2 4.2.2 ลูกหนี้จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน ร้อยละ 20 4.2.3 ลูกหนี้จัดชั้นสงสัย ร้อยละ 50 4.2.4 ลูกหนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญ ร้อยละ 100 4.2.5 ลูกหนี้จัดชั้นสูญ ร้อยละ 100 5. ร่างกฎกระทรวงการกำกับการกระจุกตัวธุรกรรมทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... 5.1 สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์จะฝากเงินหรือให้กู้เงินแก่สหกรณ์ทุกประเภทหรือชุมนุมสหกรณ์ทุกประเภทรวมกันแล้วแต่ละแห่งได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของทุนเรือนหุ้น รวมกับทุนสำรองของสหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ผู้ฝากเงินหรือให้กู้เงิน แต่ไม่นับรวมถึงการฝากเงินในชุมนุมสหกรณ์ที่สหกรณ์นั้นเป็นสมาชิก 5.2 สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ก่อหนี้และภาระผูกพันกับสหกรณ์ทุกประเภทหรือชุมนุมสหกรณ์ทุกประเภทรวมกันแล้วแต่ละแห่งได้ไม่เกินร้อยละ 25 ของทุนเรือนหุ้น รวมกับทุนสำรองของสหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ผู้ก่อหนี้และภาระผูกพัน ยกเว้นกรณีสหกรณ์ก่อหนี้และภาระผูกพันกับชุมนุมสหกรณ์ที่สหกรณ์นั้นเป็นสมาชิกรวมกันแล้ว ให้ทำได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรองของสหกรณ์ผู้ก่อหนี้และภาระผูกพัน 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางกร่าง อำเภอเมืองนนทบุรี ตำบลบางเลน และตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางกร่าง อำเภอเมืองนนทบุรี ตำบลบางเลน และตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางกร่าง อำเภอเมืองนนทบุรี ตำบลบางเลน และตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี เพื่อสร้างทางหลวงชนบท ตามโครงการก่อสร้างถนนต่อเชื่อมสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณถนนนนทบุรี 1 (สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์) กับถนนกาญจนาภิเษก ทั้งนี้ คค. เสนอว่า 1. เนื่องจากปัจจุบันการจราจรในพื้นที่บนเส้นทางของถนนรัตนาธิเบศร์ ถนนนครอินทร์ ถนนราชพฤกษ์ ถนนกาญจนาภิเษก และจุดตัดทางแยกต่าง ๆ ในบริเวณใกล้เคียง มีสภาพติดขัดค่อนข้างมาก ซึ่งมีสาเหตุจากปริมาณรถส่วนหนึ่งต้องเดินทางผ่านถนนสายหลักเดิม เพื่อมุ่งสู่พื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร แต่เนื่องจากถนนสายหลักเดิมมีปริมาณการจราจรเกินความจุของถนนที่จะสามารถรองรับได้ จึงเป็นเหตุให้เกิดสภาพการจราจรติดขัดต่อเนื่องและสะสมเป็นบริเวณกว้าง ประกอบกับกรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณถนนนนทบุรี 1 (สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์) เสร็จแล้ว ซึ่งจะก่อให้เกิดปริมาณจราจรเข้ามาใช้เส้นทางโดยรอบมากขึ้น ดังนั้น เพื่อบรรเทาปัญหาสภาพการจราจรติดขัด และอำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง อันเป็นกิจการสาธารณูปโภค รวมถึงเพิ่มอัตราความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางบนโครงข่ายถนนโดยรอบพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนถนนดังกล่าว รวมทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายระบบคมนาคมระดับพื้นที่และภูมิภาค รองรับปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากการเจริญเติบโตของเมือง จึงจำเป็นต้องสร้างทางหลวงชนบท ตามโครงการก่อสร้างถนนต่อเชื่อมสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณถนนนนทบุรี 1 (สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์) กับถนนกาญจนาภิเษก 2. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบท ตามโครงการก่อสร้างถนนต่อเชื่อมสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนนนทบุรี 1 (สะพานมหาเจษฎา บดินทรานุสรณ์) กับถนนกาญจนาภิเษก และทำการศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจในการดำเนินโครงการ ซึ่งจากผลการวิเคราะห์พบว่า มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีค่า 1,152.23 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ (EIRR) มีค่า 16.60% อัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) มีค่า 1.45 ซึ่งถือได้ว่าโครงการดังกล่าวนี้มีความเหมาะสมในการดำเนินการ 3. การคาดการณ์ปริมาณการจราจรในอนาคต กรณีที่มีโครงการฯ กับกรณีที่ไม่มีโครงการฯ บนถนนโครงข่าย ผลการคาดการณ์พบว่า กรณีมีโครงการจะทำให้จำนวนของยานพาหนะ (Passenger Car Unit: PCU) ลดน้อยลง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการจราจรที่ติดขัดในตัวเมือง ทำให้การเดินทางมีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น ดังนี้ เส้นทาง ปริมาณการจราจร (pcu/วัน)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมหารือผู้แทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เตรียมจัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมหารือผู้แทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เตรียมจัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมหารือผู้แทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เตรียมจัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลร่วมกับผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย โดยมี Mr.Noah Geesaman รองที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย Mr.Brandon Megordem จากสำนักงานส่งเสริมการค้าและการพัฒนาแห่งสหรัฐอเมริกา พร้อมคณะฯ เข้าพบเพื่อหารือถึงความร่วมมือกับประเทศไทยเพื่อพัฒนาสถาปัตยกรรมด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่เข้มแข็งผ่านการแบ่งปันประสบการณ์ในเชิงนโยบายและการสร้างระบบของสหรัฐฯ ในการนี้ผู้แทนจากสหรัฐฯได้เสนอร่างแผนกำหนดการในการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) พร้อมร่างประเด็น เช่น ภาพรวมกฎเกณฑ์และนโยบายของไทยต่อความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ภาพรวมมาตรฐานโลกและอุตสาหกรรม และประเด็นความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว ทั้งนี้ฝ่ายไทยสามารถปรับเปลี่ยนร่างประเด็นหารือและร่างกำหนดการเพื่อให้สอดคล้องต่อความสนใจและความต้องการของฝ่ายไทยได้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นการจัดประชุมทางไกลจำนวน 3 วัน ณ ห้องประชุม MDES 2 ชั้น 9 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35744
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้ประสานงานหลักของ ASLOM ประเทศไทย จัดการประชุมสำหรับคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๑๙ (The 19th ASEAN Senior
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 กระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้ประสานงานหลักของ ASLOM ประเทศไทย จัดการประชุมสำหรับคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๑๙ (The 19th ASEAN Senior กระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้ประสานงานหลักของ ASLOM ประเทศไทย จัดการประชุมสำหรับคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๑๙ (The 19th ASEAN Senior Law Offcials Meeting : ASLOM) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบ Video ในวันจันทร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรมมอบหมายให้ นายอัสนีย์ สังขเนตร ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมคณะทำงานว่าด้วยการพิจารณาต้นแบบในการสร้างความสอดคล้องในเรื่องกฎหมายการค้าของอาเซียน ครั้งที่ ๙(9th ASLOM WORKING GROUP MEETING ON EXAMINING MODALITIES FOR HARMONISATION OF ASEAN TRADE LAW) และมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยเข้าร่วมการประชุมฯ อาทิ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงการต่างประเทศ กรมบังคับคดี และกองกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้ประสานงานหลักของ ASLOM ประเทศไทย จัดการประชุมสำหรับคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๑๙ (The 19th ASEAN Senior Law Offcials Meeting : ASLOM) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบ Video Conference ระหว่างวันที่ ๕ - ๗ ตุลาคม ๒๕๖๓ สำหรับการประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเกี่ยวกับการอนุญาโตตุลาการและการระงับข้อพิพาท การซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce) โดยแต่ละประเทศรวมทั้งประเทศไทยได้รายงานพัฒนาการของการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ การพัฒนากฎหมาย การแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม นอกจากนี้ สมาคมกฎหมายอาเซียน (ASEAN Law Association : ALA) ยังได้นำเสนอแนวทางว่าด้วยต้นแบบที่เป็นเลิศในการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ รวมถึงการจัดตั้งคณะที่ปรึกษาในเรื่องอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้การประสานงานระหว่าง ASLOM กับ ALA เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35726
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนตุลาคม 2563
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนตุลาคม 2563 ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส.ชี้ปัญหาภัยธรรมชาติ ภาวะตลาดโลกและนโยบายรัฐ ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเดือน ต.ค.2563 เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ยางพาราแผ่นดิบ แนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ชี้ปัญหาภัยธรรมชาติ ภาวะตลาดโลกและนโยบายรัฐ ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเดือนตุลาคม 2563 เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ยางพาราแผ่นดิบ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ำตาลทรายดิบ สุกรและกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนตุลาคม 2563 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 9,479 - 9,628 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.05 - 1.63 เนื่องจากปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรงในประเทศออสเตรเลีย ส่งผลให้ผลผลิตข้าวลดลงร้อยละ 90 จึงมีสต็อกข้าวไม่เพียงพอต่อการบริโภค ทำให้ประเทศออสเตรเลียอาจนำเข้าข้าวจากประเทศไทยในช่วงเดือนตุลาคม ยางพาราแผ่นดิบ ชั้น 3 ราคาอยู่ที่ 48.00 - 48.25 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.23 - 0.75 เนื่องจากความต้องการใช้ยางพาราภายในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากมาตรการภาครัฐ ประกอบกับคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดลดลงจากภาวะฝนตกชุกซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการกรีดยางพารา มันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 1.77 - 1.82 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.57 - 3.41 เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาลผลิตปี 2563/64 ผลผลิตยังออกสู่ตลาดไม่มาก ประกอบกับความต้องการผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากต่างประเทศยังมีอย่างต่อเนื่อง และปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่ 4.07 - 4.15 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.25 - 2.22 เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มดิบยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้พลังงานไบโอดีเซลภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น จึงผลักดันให้ราคาปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 13,067 - 13,365 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.57 - 2.79 เนื่องจากผลผลิตข้าวหอมมะลิเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวช่วงปลายเดือนตุลาคม ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น ประกอบกับโรงสียังคงประสบปัญหาสภาพคล่องซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการกดดันราคาข้าวในตลาด ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 14,777 - 15,091 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.77 - 2.83 เนื่องจากผลผลิตข้าวเหนียวนาปีเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวช่วงปลายเดือนตุลาคม ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 7.56-7.60 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50 - 1.00 เนื่องจากปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นในช่วงช่วงฤดูเก็บเกี่ยวรุ่นแรก (เดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน) ขณะที่ความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อผลิตอาหารสัตว์คาดว่าทรงตัวตามสภาวะการบริโภคเนื้อไก่ที่ทรงตัว น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ 11.74 - 11.86 เซนต์/ปอนด์ ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50 - 1.50 (8.80-8.85 บาท/กก.) เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความต้องการเอทานอลที่ลดลงในบราซิล ซึ่งอาจกระตุ้นให้โรงงานน้ำตาลของบราซิลเพิ่มสัดส่วนการผลิตน้ำตาลมากกว่าผลิตเอทานอล ประกอบกับคาดว่าจะมีผลผลิตน้ำตาลในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ทำให้มีผลผลิตน้ำตาลส่วนเกิน สุกร ราคาอยู่ที่ 76.12 - 76.86 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.28 - 2.23 เนื่องจากเข้าสู่เทศกาลกินเจปี 2563 (ช่วงวันที่ 17 - 25 ตุลาคม 2563) ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งงดการบริโภคเนื้อสุกร เนื้อไก่ และไข่ไก่ ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรลดลง และกุ้งขาวแวนนาไม ราคาอยู่ที่ 137.50 - 138.50 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.36 - 1.08 เนื่องจากความต้องการบริโภคในประเทศชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ และเข้าสู่เทศกาลกินเจ ประกอบกับสถานการณ์ราคากุ้งโลกยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องเป็นปัจจัยกดดันให้ราคากุ้งในประเทศลดลง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35713
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสร้างสะพานข้ามคลองมหาสวัสดิ์ ในซอยชัยพฤกษ์ ๓๓ แยก ๔ ตลิ่งชัน
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 การสร้างสะพานข้ามคลองมหาสวัสดิ์ ในซอยชัยพฤกษ์ ๓๓ แยก ๔ ตลิ่งชัน สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง การสร้างสะพานข้ามคลองมหาสวัสดิ์ ในซอยชัยพฤกษ์ ๓๓ แยก ๔ ตลิ่งชัน ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายคำนูณ สิทธิสมาน ถาม นายกรัฐมนตรี ผู้ตอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายทรงศักดิ์ ทองศรี) ผู้ถาม : นายคำนูณ สิทธิสมาน ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ตามที่ได้มีการสร้างสะพานข้ามคลองมหาสวัสดิ์ ในซอยชัยพฤกษ์ ๓๓ แยก ๔ เขตตลิ่งชันเป็นสะพานเชื่อมระหว่างองค์การบริหารส่วนตำบลมหาสวัสดิ์ จังหวัดนนทบุรี และเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร การเปิดใช้สะพานดังกล่าวทำให้มียานยนต์เข้ามาสัญจรมากขึ้น ถนนภายในชุมชนที่คับแคบเกิดความแออัดไม่สะดวกต่อการสัญจร รวมทั้งมิจฉาชีพได้ใช้สะพานดังกล่าวหลบหนีจากการลักทรัพย์ในบ้านเรือนประชาชนทั้งสองฝั่งมากยิ่งขึ้น และรูปแบบของช่วงลงสะพานที่เป็นโค้งหักศอกอาจไม่ปลอดภัยต่อการสัญจร กระทบต่อการสัญจรทางน้ำทำลายวิถีการท่องเที่ยวทางเรือของผู้ประกอบการสมาคมเรือไทยในพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนชุมชนตลิ่งชันที่ได้รับความเดือดร้อน ขอฝากให้ท่านรัฐมนตรีลงพื้นที่ในวันทำงานให้เห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อหาวิธีการเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน นอกจากนี้ขอให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมายื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะ และวัฒนธรรมวุฒิสภา เพื่อพิจารณาหาทางออกให้กับประชาชนต่อไป อีกทั้งความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์ของคลองมหาสวัสดิ์ ซึ่งเป็นคลองขุดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๒ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับการยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากกรมศิลปากรว่าคลองมหาสวัสดิ์เป็นโบราณสถาน โดยความเป็นโบราณสถานไม่ได้ขึ้นอยู่กับการจดทะเบียนโบราณสถาน คลองมหาสวัสดิ์จึงได้รับการพิจารณาแล้วว่าเป็นโบราณสถาน ตามนิยามในพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ พ.ศ. ๒๕๐๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ แม้ยังไม่ได้ประกาศรายชื่อโบราณสถานก็ถือว่าเป็นโบราณสถาน ดังเช่น วัดชัยพฤกษ์มาลาราชวรวิหาร ดังนั้น การดำเนินการกับโบราณสถานต้องขออนุญาตจากกรมศิลปากรก่อนแต่สะพานแห่งนี้ไม่ได้รับการอนุญาตจากกรมศิลปากรก่อนการก่อสร้างจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ขอเรียนถามว่า เมื่อเกิดการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน ตามคำนิยามในพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ ๒๕๓๕ โดยชัดแจ้งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอย่างไร และจะมีวิธีเยียวยาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดใช้สะพานดังกล่าวอย่างไร โดยเฉพาะฝั่งตลิ่งชัน อีกทั้งนโยบายในภาพรวมต่อคลองมหาสวัสดิ์ ที่เคยได้รับการสำรวจจากกระทรวงคมนาคมให้คลองมหาสวัสดิ์เป็น ๑ ใน ๑๒ คลองที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาเส้นทางสัญจรทางน้ำและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในเชิงเกษตรวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นจะมีการดำเนินการต่อไปอย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายทรงศักดิ์ ทองศรี) ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า โครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองมหาสวัสดิ์ กรมเจ้าท่าได้ตรวจสอบในเบื้องต้นแล้วพบว่า อยู่ในพื้นที่ของสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ ๒ สาขานนทบุรี และได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำจากองค์การบริหารส่วนตำบลมหาสวัสดิ์ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑๗ ตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ซึ่งได้มอบอำนาจ “เจ้าท่า” ให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ตามคำสั่งกรมเจ้าท่าที่ ๑๘๕/๒๕๔๘ ทั้งนี้ สะพานแห่งนี้เอกชนได้ดำเนินการสร้างโดยได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นการดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และได้มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั้งฝั่งจังหวัดนนทบุรีและฝั่งเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร โดยประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการสร้างสะพาน ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมโยงกันระหว่างสองฝั่งทำให้ได้รับความสะดวก นอกจากนี้ ประชาชนขอให้ดำเนินการตีเส้นจราจรติดไฟสัญญาณ หรือมีป้ายเตือนเรื่องความปลอดภัยในการใช้สะพาน ส่วนเรื่องการสัญจรทางน้ำมีเรือที่ใช้เส้นทางนี้เป็นประจำประมาณ ๖ ลำ สามารถสัญจรผ่านสะพานได้ตามปกติ ส่วนประเด็นโบราณสถานนั้น ได้มีหนังสือจากกรมศิลปากรว่าสะพานดังกล่าวอยู่นอกเขตพื้นที่สำคัญของวัดชัยพฤกษ์มาลาราชวรวิหาร จึงไม่มีผลกระทบต่อโบราณสถานดังกล่าว และได้ดำเนินการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวนั้น เนื่องจากมีหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้องจึงขอนำประเด็นที่ท่านเสนอแนะเพื่อส่งต่อรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35717
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมแนวทางการส่งเสริมการลงทุนใน EEC ในยุค New Normal
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมแนวทางการส่งเสริมการลงทุนใน EEC ในยุค New Normal คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมแนวทางการส่งเสริมการลงทุนใน EEC ในยุค New Normal คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมแนวทางการส่งเสริมการลงทุนใน EEC ในยุค New Normal วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 เวลา 09.45 น ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 4 สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี *************************** ท่านรองนายกรัฐมนตรี ท่านรัฐมนตรี ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และนักลงทุนทุกท่าน ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสมาพบปะกับผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งล้วนเป็นนักลงทุนรายสำคัญในพื้นที่ EEC ในวันนี้ ในนามของรัฐบาล ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ให้ความเชื่อมั่น ในศักยภาพของประเทศไทย และขยายการลงทุน โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC อย่างต่อเนื่อง ในภาวะที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 รัฐบาลได้พยายามมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาอย่างเต็มกำลัง ทั้งการควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากทุกฝ่ายจนเราประสบความสำเร็จและได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติ นอกจากนี้ ยังได้ระดมทุกฝ่ายมาช่วยกันแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ผ่านทางมาตรการด้านการเงินและการคลัง รวมทั้ง เร่งส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานใหม่ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงแรงงานได้จัดงาน JOB EXPO รวบรวมงานทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 1 ล้านอัตรา รวมถึงการจ้างงานกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนเป็นอย่างดีอีกด้วย นอกเหนือจากมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้น รัฐบาลยังได้ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในระยะยาว ตามทิศทางของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อยกระดับประเทศให้พ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ทั้งการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ การส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายการยกระดับขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม และอีกหนึ่งโครงการที่สำคัญของรัฐบาล คือ โครงการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่รัฐบาลได้ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2560 รัฐบาลมุ่งหวังให้ EEC เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ใหญ่และทันสมัยที่สุด เพื่อให้เป็นฐานการลงทุนของอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต และเป็น Logistics Hub ของภูมิภาค ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ EEC เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งในช่วงวิกฤติ COVID ในปีนี้ การลงทุนใน EEC ก็ยังอยู่ในระดับสูง ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา (มกราคม - มิถุนายน 2563) มีคำขอรับการส่งเสริมใน EEC จำนวน 225 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 และมีมูลค่าเงินลงทุนกว่า 85,000 ล้านบาท ลดลงเพียงร้อยละ 3 โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 54 ของคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศ นอกจากนี้ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่างๆ ใน EEC ต่างก็มีความก้าวหน้าตามแผนงานอย่างน่าพอใจและได้ตัวผู้ชนะการประมูลครบถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการเมืองการบินอู่ตะเภา โครงการขยายท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด รวมทั้งโครงการพัฒนาเขตนวัตกรรม EECi ที่จังหวัดระยอง การแพร่ระบาดของ COVID ในครั้งนี้เป็นทั้งวิกฤติและโอกาส อีกทั้งโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่ผมกล่าวมา จะก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ผลิตภัณฑ์สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ไปจนถึงอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ เกษตรและอาหาร ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพและมีความพร้อมที่จะรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล่านี้ สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ได้ตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นแหล่งลงทุนระยาว และให้ความเชื่อมั่นในการขยายการลงทุนในประเทศไทยเสมอมา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านทั้งหลายจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็งต่อไป *******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35720
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ ผ่าน (ITA) ระดับ A ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสฯ ประจำปีงบประมาณ 2563
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 ไอแบงก์ ผ่าน (ITA) ระดับ A ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสฯ ประจำปีงบประมาณ 2563 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา สำนักงานป.ป.ช. ได้ประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปีงบประมาณ 2563 พบว่า ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) มีคะแนนอยู่ที่ 93.00 หรือระดับ A เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา สำนักงานป.ป.ช. ได้ประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปีงบประมาณ 2563 พบว่า ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) มีคะแนนอยู่ที่ 93.00 หรือระดับ A จากรายงานรายละเอียดผลประเมิน ประจำปีงบประมาณ 2563 สำนักงาน ปปช.ได้ประเมินธนาคารจาก 3 แบบวัด คือ แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนร่วมได้ส่วนเสียภายใน (IIT) แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (EIT) และแบบตรวจการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (OIT) รวมจำนวนทั้งสิ้น 10 ตัวชี้วัด พบว่า มีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์เป้าหมาย (ร้อยละ 85) ทุกตัวชี้วัด ซึ่งสะท้อนถึงการตระหนักรู้ของบุคลากรในการปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต มุ่งผลสัมฤทธฺ์สูงสุดและคำนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลักอย่างชัดเจน อีกทั้งยังคำนึงถึงคุณภาพในการให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตลอดจนเห็นความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะและการให้บริการผ่านระบบ e-service อย่างดียิ่ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35725
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 โครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง โครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้ตอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายถาวร เสนเนียม) ผู้ถาม : นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ด้วยกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีโครงข่ายรถไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งในส่วนของการรถไฟแห่งประเทศไทยรับผิดชอบโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง สายเหนือ บางซื่อ - รังสิตสายใต้ บางซื่อ - หัวลำโพง - มหาชัย สายตะวันออก บางซื่อ - มักกะสัน - ฉะเชิงเทรา และสายตะวันตกบางซื่อ - ตลิ่งชัน - ศาลายา โดยทุกเส้นทางเริ่มต้น ที่สถานีกลางบางซื่อซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียนกรณีโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน และ บางซื่อ - รังสิต มีการก่อสร้างเสร็จแล้วแต่ยังไม่เปิดการเดินรถไฟฟ้า ทั้งนี้ จากความล่าช้าของโครงการเดินรถไฟฟ้าจะทำให้เสียโอกาสในทุก ๆ ด้าน ขอเรียนถามว่า โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน และ บางซื่อ - รังสิตเริ่มโครงการก่อสร้างเมื่อไร ก่อสร้างเสร็จเมื่อไร และใช้งบประมาณจำนวนเท่าไร นอกจากนี้ ช่วงบางซื่อ - รังสิต มีแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินการจากที่ใด กำหนดเปิดการเดินรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงจะเริ่มได้เมื่อไรมีวิธีการบริหารการเดินรถอย่างไร และปัจจุบันมีความคืบหน้าในการเตรียมการเดินรถอย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายถาวร เสนเนียม) ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมตอบชี้แจงว่า กรณีโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงบางซื่อ - ตลิ่งชัน ได้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๒ แล้วเสร็จเมื่อ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ งบประมาณเป็นเงิน ๙,๐๘๗ ล้านบาทเศษในส่วนความล่าช้าของโครงการ เกิดจากการเชื่อมต่อให้เป็นระบบเดียวกันกับรถไฟฟ้าสายสีแดงบางซื่อรังสิต ซึ่งเมื่อช่วงบางซื่อ - รังสิตยังไม่แล้วเสร็จ ส่งผลให้เส้นทางฝั่งตะวันตกบางซื่อ - ตลิ่งชัน จึงยังเดินรถไม่ได้ ในส่วนรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ - รังสิต มีทั้งหมด ๓ สัญญา โดยสัญญาที่ ๒ งานแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ และสัญญาที่ ๑ กำหนดแล้วเสร็จวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ สำหรับสัญญาที่ ๓ กำหนดแล้วเสร็จในปี ๒๕๖๓ กรณีปัญหาความล่าช้าของโครงการเกิดจากการเชื่อมการใช้ไฟฟ้ากับการไฟฟ้านครหลวง รวมถึงการประสานงานเพื่อเข้าพื้นที่ของผู้รับจ้าง (การส่งมอบพื้นที่) รวมทั้งการหากระแสไฟฟ้าเพื่อทดสอบระบบการเดินรถ ในด้านงบประมาณโครงการ ในสัญญาที่ ๑ และ สัญญาที่ ๒ ใช้เงินกู้จาก JICA ๙๑ % และการรถไฟแห่งประเทศไทย สมทบ ๙ % ในส่วนสัญญาที่ ๓ ใช้เงินกู้ JICA ๑๐๐ % โดยรวมใช้งบประมาณทั้งหมด ๙๓,๙๕๐ ล้านบาทเศษ ในส่วนการเดินรถภายหลังจากการดำเนินการโครงการแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ จะเปิดการเดินรถไฟฟ้าได้ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ทำสัญญาซื้อรถไฟฟ้าทั้งหมด ๒๕ ขบวน และทยอยส่งมอบแล้ว ๑๕ ขบวน นอกจากนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ใช้ระบบการเดินรถแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนกับรัฐ (PPP) ซึ่งได้ผ่านขั้นตอนการศึกษาแล้ว อยู่ระหว่างขั้นตอนเสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณา สำหรับกรณีความล่าช้าของโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองส่งผลให้ต้องสูญเสียโอกาสในด้านต่าง ๆ นั้น กระทรวงคมนาคมจะมีการถอดบทเรียนดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความล่าช้าขึ้นมาอีก (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35716